Masukหลายวันต่อมา ว่าที่ฮูหยินคนใหม่ของท่านแม่ทัพก็เข้าพำนักในเรือนหลังเล็กที่อยู่ไม่ห่างจากเรือนหลักมากนัก บัดนี้ท่านย่าพอจะทำใจได้บ้างแล้ว และด้วยจินเยว่นั้นมาบอกว่านางไม่ได้ติดใจอะไรแล้ว หากท่านแม่ทัพไม่ต้องการนาง ก็ไม่อยากจะฝืนใจเขา ต่างคนต่างไปมีหนทางของตนเองเช่นนี้ก็ดีแล้ว
นั่นทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าสบายใจขึ้นแม้จะไม่ได้ต้องการให้เรื่องมันกลับกลายมาเป็นเช่นนี้เลย แต่ด้วยไม่อยากจะบังคับใจหลานชาย จึงได้แต่เฝ้าดูเหตุการณ์ว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป และก็พยายามบ่ายเบี่ยงไม่ให้การแต่งงานของหลานชายเกิดขึ้นเร็วนัก เพราะอยากให้เขาแน่ใจตัวเองจริง ๆ ว่าต้องการสตรีนางนั้นเป็นฮูหยินของเขาจริง ๆ ก่อน จึงจะจัดการแต่งงานให้กับหลานชายเพียงคนเดียว
แม้ในใจส่วนลึกก็ยังอยากจะได้จินเยว่กลับมาเป็นหลานสะใภ้ของตัวเองเช่นเดิม แต่เมื่อมองดูแล้วความฝันนี้ก็ช่างเลือนลางเหลือเกิน เพราะวัน ๆ เห็นแต่หลานชายเฝ้าเอาอกเอาใจสตรีคนใหม่ของเขา เหมือนรักใคร่นางเสียมากมาย
วันหนึ่งจินเยว่เดินออกจากเรือนของตนเองเพื่อจะไปที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อจะอ่านหนังสือยามบ่ายให้กับฮูหยินผู้เฒ่าฟังเช่นปกติ ขณะเดินตัดผ่านสวนดอกไม้ระหว่างทาง ก็พบเข้ากับสตรีคนใหม่ของแม่ทัพเจ้าของจวน สตรีนางนั้นบัดนี้มีสาวใช้แล้ว ได้ยินว่าท่านแม่ทัพจัดหาให้นาง แต่จินเยว่ก็ไม่อยากจะเก็บเรื่องราวของแม่ทัพผู้นั้นกับคนรักของเขามาคิดให้รกสมอง จึงพยายามไม่สนใจพวกเขา
ขณะที่นางกำลังเดินมาและสบตาเข้ากับสตรีนางนั้น ที่นางเองก็เคยคิดว่าเป็นสตรีที่น่ารักและเรียบร้อยบอบบางดังคุณหนูในห้องหอทั่ว ๆ ไปที่นางเคยเห็น ก็ดูเหมาะสมกับชายคนนั้นดี จินเยว่คิิดขณะที่กำลังจะเดินผ่านนางกับสาวใช้ที่ยืนอยู่ริมทางเดินนั้นไป
“ เจ้าชื่อจินเยว่ใช่หรือไม่ เจ้านี่ช่างเย่อหยิ่งจริง ๆ เลยนะ ได้ยินว่าเจ้าเป็นแค่หลานสาวของแม่นม ก็คงจะเปรียบเป็นแค่กาฝากที่มาอาศัยจวนแม่ทัพแห่งนี้อยู่ และเจ้าก็ควรรู้ว่าข้าคือนายหญิงคนใหม่ของจวนแม่ทัพแห่งนี้ อีกไม่่นานข้ากับท่านพี่มู่หยางก็จะแต่งงานกันแล้ว และข้าก็จะกลายเป็นฮูหยินคนใหม่ของจวนแม่ทัพแห่งนี้ เหตุใดเจ้าเดินเชิดหน้าผ่านข้าไปโดยไม่ทำความเคารพข้าเลย ”
สตรีนางนั้นเอ่ยขึ้น ดวงตาวาววับดูเอาเรื่อง ผิดจากสตรีคนที่เห็นในวันแรกลิบลับ วันนี้นางแต่งกายด้วยอาภรณ์ที่ดูดีมีราคา และยังสวมเครื่องประดับอีกหลายชิ้น ดูแล้วคงจะเป็นชายผู้นั้นที่มอบให้กับนาง
“ อ่อ….คารวะว่าที่ฮูหยินคนใหม่ พอใจแล้วหรือไม่ ข้าจะรีบไปเรือนท่านย่า ” จินเยว่บอกกับสตรีนางนั้น ด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไม่ได้มีทีท่าอ่อนน้อมอย่างเช่นที่อีกฝ่ายต้องการ
“ เหอะ !! คารวะส่ง ๆ อย่างนี้หรือเรียกว่าคารวะ แต่ก็ช่างเถอะ ข้ามีอะไรจะคืนให้กับเจ้า เพราะเจ้าของมันก็คงไม่ต้องการแล้ว ”
สตรีนางนั้นทำเสียงไม่ค่อยพอใจ แล้วก็ดึงผ้าผืนน้อย ๆ ที่นางเหน็บเอวเอาไว้ออกมายื่นส่งให้กับจินเยว่ที่จ้องมองมันอย่างงง ๆ และแล้วนางก็จดจำผ้าผืนนั้นได้ แม้ไหมปักที่รุ่ยแล้วอยู่ที่ขอบผ้านั้นจะเปลี่ยนสีไปบ้าง แต่นางก็พอจะจดจำได้ว่ามันคือผ้าเช็ดหน้าที่นางทำเองกับมือและมอบมันให้กับชายคนนั้นในวันที่เขาออกเดินทางไปสู้ศึกที่ชายแดน แต่ตอนนี้มันมาอยู่ที่สตรีนางนี้ได้อย่างไรกัน
จินเยว่ยื่นมือไปรับเอามา “ ผ้าผืนนี้มาอยู่กับเจ้าได้อย่างไรกัน ”
จินเยว่เงยหน้าขึ้นถามสตรีนางนั้น เมื่อเพ่งพิศผ้าเช็ดหน้าที่ดูเก่าและมีรอยเปื้อนหลายรอยที่บนผ้าผืนนั้น
“ อ๋อ….ท่านพี่ใช้มันเช็ดเลือดให้ข้า เพราะข้าหกล้มเลือดออกที่ขา พอข้าซักแล้วมันก็ไม่กลับมาสะอาดดังเดิม แต่พอจะเอาไปคืน เขาก็บอกว่าเขาไม่ต้องการมันอีกแล้ว ตอนแรกเขาบอกให้ข้าโยนมันทิ้งไป แต่ข้าสังเกตุเห็นตัวอักษรที่ปักเอาไว้ที่ขอบผ้าเสียก่อน จึงได้ถามท่านพี่ เขาบอกว่ามันไม่ได้สำคัญอะไร แต่แล้วเขาก็สารภาพกับข้าว่าเจ้านำมันมามอบให้กับเขา แต่ในเมื่อเขาบอกเองว่าไม่ต้องการมันแล้ว ข้าจึงนำมันมาคืนให้กับเจ้า ”
หนิงอันบอกกับจินเยว่ด้วยใบหน้าที่เยาะหยันน้อย ๆ นางเปลี่ยนท่าทางจากสตรีเรียบร้อยอ่อนหวานมาเป็นนางมารได้ภายในเวลาไม่กี่วันเท่านั้น ช่างเป็นสตรีที่ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่างโดยแท้
แม้ในใจของจินเยว่จะปวดแปลบไม่น้อย ที่ได้ยินสตรีนางนี้บอกว่า แม่ทัพมู่หยางอดีตคนรักของตนเองบอกว่าเขาไม่ต้องการผ้าเช็ดหน้าผืนนี้อีกต่อไปแล้ว ซึ่งมันก็คงจะจริง เพราะแม้แต่ตัวเจ้าของ ๆ มัน เขาเองก็ไม่ต้องการอีกต่อไปแล้วเดียวเช่นกัน แล้วแค่ผ้าเช็ดหน้าผืนเก่า ๆ เขาก็คงจะไม่อยากเก็บเอาไว้ให้รกหูรกตาเขาหรอก
แต่แม้จะเจ็บปวดมากเพียงใด นางก็เก็บมันเอาไว้แต่เพียงในใจด้วยใบหน้าที่เฉยชาดุจเดิม แล้วออกเดินมุ่งหน้าไปตามทางเดิน เพราะไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับสตรีที่ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่างเช่นนี้อีก แต่แล้วฝ่ายนั้นกลับคว้าข้อมือของนางไว้ แล้วดึงอย่างแรงให้ตวัดฝ่ามือไปถูกใบหน้าของนางเข้า
จินเยว่ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ตกใจที่ถูกดึงมือให้ตวัดตบสตรีนางนั้นเข้า นางจ้องมองอีกฝ่ายที่บัดนี้ทรุดลงไปนั่งกับพื้นแล้วร้องไห้เสียงดังเหมือนกับถูกใครรังแกอย่างนั้นแหละ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนจินเยว่ตกตะลึงนิ่งค้าง แต่แล้วนางก็เริ่มจะเข้าใจว่าเพราะเหตุใดสตรีแพศยานางนี้ถึงได้ทำการแสดงใหญ่โตนี้ขึ้นเหมือนกับต้องการใส่ร้ายนางเช่นนั้นแหละ
เพราะอยู่ ๆ ก็ปรากฎร่างของบุรุษผู้นั้น ที่รีบวิ่งตรงมาหาสตรีที่กำลังร้องไห้กระซิก ๆ อย่างน่าสงสาร เหมือนกับถูกใครรังแก
“ เกิดอะไรขึ้น หนิงอันเจ้าเป็นอะไร เหตุใดจึงล้มลงไปเช่นนั้นเล่า ”
ร่างสูงสง่านั้นตรงเข้าประคองร่างของสตรีที่บัดนี้กลับมายืนซวนเซเหมือนกับจะทรงกายไม่ไหว จินเยว่จ้องมองคนทั้งสองด้วยสีหน้าประหลาดใจจนปิดไม่มิด เพราะนางไม่เคยเห็นว่าใครจะตลบแตลงได้เช่นนี้มาก่อน และอย่างไม่ละอายใจตัวเองเลยสักนิดอีกด้วย
“ เกิดอะไรขึ้น ใครทำร้ายเจ้า บอกพี่มา พี่จะจัดการให้เจ้าเอง ”
บุรุษผู้นั้นที่ยังคงจับร่างงามที่ทำท่าทางอ่อนแอเหมือนกับช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อยู่ตรงหน้าของจินเยว่ แต่สตรีนางนั้นแค่เพียงเหลือบสายตามองมาทางจินเยว่แต่ก็ไม่ปริปากพูดอะไร ทำเพียงร้องไห้กระซิกกระซิก เหมือนกับกลัวว่าหากพูดอะไรไปก็เกรงจะถูกทำร้าย ท่าทางดูน่าสงสารมาก
แต่คนที่เป็นลูกคู่ของนางคือสาวใช้คนใหม่ ที่เพียงได้เป็นสาวใช้ของสตรีนางนี้ได้ไม่กี่วันก็เข้ากันได้ดีเป็นอย่างมาก
“ คุณหนูจินเยว่เจ้าค่ะ ที่ตบคุณหนูหนิงอันของข้าจนนางล้มลงไปเลย คุณหนูของข้าคงจะทั้งตกใจและเจ็บมากเจ้าค่ะ ”
สาวใช้นางนั้นที่เพิ่งจะเข้ามาอยู่ใหม่ จีบปากจีบคอฟ้องบุรุษที่ยังประคับประคองสตรีบอบบางข้างกายด้วยความเป็นห่วงเป็นใยกันอย่างเห็นได้ชัด
การแสดงที่เห็นตรงหน้าทำเอาจินเยว่แทบจะอ้าปากค้าง ไม่เคยเห็นใครแพศยาได้เท่าสองนายบ่าวคู่นี้เลยตั้งแต่เกิดมา ไม่รู้ว่าแม่ทัพผู้นี้ไปคว้าสตรีเช่นนี้มาจากที่ใด ไม่เคยพบไม่เคยเห็น
บุรุษที่จินเยว่กำลังคิดคำนึงถึงอยู่ ก็พลันเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองใบหน้าของจินเยว่ด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“ เยว่เอ๋อ เจ้าแกล้งหนิงอันหรือ เหตุใดเจ้าเป็นคนอย่างนี้ เจ้าไม่พอใจที่นางแย่งข้ามาจากเจ้าหรือ ถึงได้กล้าตบนาง เจ้ากล้ามากนะ กล้าลงมือกับว่าที่ภรรยาของข้า ทำเช่่นนี้แล้วอย่าคิดว่าท่านย่าจะคุ้มครองเจ้าได้นะ ”
แม่ทัพมู่หยางตวาดจินเยว่ทันที ใบหน้าหล่อคมคายของเขาดุดันนัก ดวงตาคู่คมที่อดีตเคยมองนางอย่างรักใคร่ แต่บัดนี้มันมีแต่ความโกรธเคือง ไม่เหลือร่องรอยของคนที่เคยรักกันอยู่เลย
ตอนแรกมู่หลันเม้มปากของนางเอาไว้แน่นไม่ยินยอมให้เจ้าคนร้ายกาจนั่น สอดลิ้นสากที่ไล้เลียริมฝีปากของนางอยู่เข้าไปในปากจิ้มลิ้มของนางอย่างเด็ดขาด แต่แล้วเพียงไม่นาน มู่หลันก็เคลิบเคลิ้มยอมเผยอริมฝีปากอิ่มของนางให้ลิ้นสากที่ร้อนรุ่มของเล่อถงเข้ามาชิมความหวานในปากของตนเอง ทั้งยังเข้าเกี่ยวพันลิ้นเล็กแสนนุ่มนิ่มของนาง จนร่างงามสั่นสะท้านไปหมด ในที่สุดก็ไร้เรี่ยวแรงเอนกายพิงอกแกร่งของเขาอย่างเต็มใจเพราะที่จริงแล้วภายในใจของมู่หลันนั้น แทบจะเต้นระบำรำฟ้อน เพราะนางหลงรักจางเล่อถงมานานแล้ว แต่เขาไม่เคยสนใจนางเลย เอาแต่ตามติดจินเยว่ทั้ง ๆ ที่รู้ว่านางกับพี่ใหญ่รักกัน เขาไม่เคยหันมามองมู่หลันเลยสักครั้ง จนนางเคยน้อยใจว่านางไร้ความงามจนถึงขนาดที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาเลยหรือ แม้นางจะรักจินเยว่มาก แต่นางก็อดที่จะน้อยใจไม่ได้ ว่าเหตุใดสหายวัยเด็กที่อยู่ร่วมกันมาตั้งแต่ยังเล็ก ๆทั้งพี่ใหญ่ ทั้งเล่อถง เอาแต่ตามติดและคอยเอกอกเอาใจแต่จินเยว่ นางเหมือนไร้ตัวตน พี่ใหญ่นั้นนางไม่ว่าอะไรเพราะนางเต็มใจที่จะได้จินเยว่เป็นพี่สะใภ้ แต่เล่อถง บุรุษไร้หัวใจผู้นั้น ไม่เคยมองมาที่นางเลย แม้นางจะเฝ้าปรุงแต่งโฉมเพ
หนิงอันเชื่อตามสัญชาตญาณของตนเองว่าสาวใช้นางนี้ไม่ได้พูดปด จึงพยักหน้าแล้วก็ตัดสินใจก้าวกลับขึ้นไปบนรถม้า แล้วบอกกับคนขับว่านางจะว่าจ้างให้ไปส่งที่เมืองใกล้ชายแดนแทน ที่นั่นเป็นบ้านเกิดของนาง คนขับรถพยักหน้า แล้วหนิงอันก็ก้าวกลับเข้าไปในรถม้าตามเดิม เมื่อทรุดนั่งลงแล้ว นางก็เปิดผ้าม่านข้างรถม้าออกจ้องมองไปที่จวนแม่ทัพเฉินเป็นครั้งสุดท้าย แม้นางจะรักชายผู้นั้นมาก แต่นางเองก็รู้แก่ใจว่าเขาไม่ได้รักนาง เพียงแต่นางใช้ยาเสน่หารัญจวนเพื่อชักจูงจิตใจเขาเท่านั้น แต่หากมันหมดฤทธิ์ไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์ที่จะพบหน้ากันอีกเพราะเขาไม่ได้รักนางด้วยหัวใจที่แท้จริงของเขา แต่มันคือการบังคับเขาด้วยฤทธิ์ของยาพิษ มือบางขอหนิงอันปล่อยผ้าม่านลงให้มันปิดสนิทดังเดิม แล้วก็นั่งเอนกายพิงรถม้าแล้วก็หลับตาลงอย่างปลงกับชีวิตที่พลิกผันของตนเองแล้วตัดสินใจว่าอย่างน้อยนางก็ไม่ถูกโทษทัณฑ์ ไปจากที่นี่แล้วไปเริ่มต้นใหม่ที่เมืองอื่น อย่างน้อยนางพอมีวิชาแพทย์และความรู้เรื่องสมุนไพรติดตัวอยู่บ้าง คงจะพอใช้มันเลี้ยงชีพได้ หนิงอันหลับตาลงน้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาอาบแก้มของนาง นางยกมือขึ้นเช็ดมันทิ้งไปอย่างรวดเร็วและสลัดความคิดค
แม่ทัพหนุ่มเหยียดยิ้ม แล้วก็เอ่ยขึ้นอย่างหน้าตาเฉยว่า“บังเอิญข้า มีความชอบไม่เหมือนผู้อื่นเสียด้วย ข้าชอบมีอะไรกับคนที่เกลียดข้า มันสะใจดี ข้าไม่ชอบคนที่ชอบข้า เกลียดกันก็มีอะไรกันได้ไม่จำเป็นต้องรักกัน อย่างที่เจ้าก็เห็นเมื่อคืนนี้ด้วยตนเองแล้ว ว่ามันสุขสมเพียงไร เจ้าก็เตรียมตัวเป็นนางบำเรอข้าเช่นนี้ หากข้าอยากนอนกับเจ้าเมื่อใดข้าก็จะมาหา แต่เจ้าอย่าหวังจะได้พบบุรุษที่ไหนอีกเลย ข้าจะให้องครักษ์เฝ้าเจ้าไว้ไม่ให้ออกนอกจวนเด็ดขาดข้าจะสั่งให้บ่าวจับตามองเจ้าทุกฝีก้าว เจ้าอยากได้อะไรก็บอกสาวใช้ก็แล้วกัน ข้าจะให้พ่อบ้านหาไว้รับใช้เจ้าสักคน แต่ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าออกไปจากจวนเด็ดขาด ข้าจะบอกผู้อื่นว่าเจ้าเป็นเมียข้า แต่แท้จริงแล้วเจ้ามีฐานะเป็นเพียงนางบำเรอของข้าเท่านั้น พอใจเจ้าหรือยังเล่า”แม่ทัพหนุ่มบอกกับนางด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน เมื่อง้องอนดี ๆ แล้วไม่ยอมคืนดีสักที ไม่ยอมรับว่าเป็นฮูหยินของเขา เช่นนั้นก็เป็นนางบำเรอก็ได้ แต่อย่างไรก็ได้ชื่อว่าเมียเหมือนกัน และเขาจะไม่ยอมให้นางหนีไปมีบุรุษใดได้อีก อย่าคิดฝันว่าจะได้สมหวังกับเจ้าเล่อถงนั่นเลย ข้ารู้นะว่ามันหลงรักเจ้า มันถึงยอมทุ่มเทช่วยเจ้
แม่ทัพหนุ่มก็ทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว เพราะเขาสะกดกลั้นความต้องการของตนมานานแล้ว เพราะต้องการสั่งสอนภรรยาแสนดื้อเช่นนาง เขายกสะโพกหนาขึ้นเสยเข้าหานางแล้วเร่งความเร็ว ๆ ขึ้นเรื่อย ๆ เป็นบดขยี้ ถี่ยิบและเน้นหนัก ขึ้นหานางจนกระทั่งแตกระเบิดพร่างพรายไปด้วยกันอีกครั้งแล้วพลิกร่างอวบอิ่มของนางลงด้านล่าง แล้วก็สอดอาวุธคู่กายของเขากลับเข้าไปอีกครั้ง แล้วโยกขย่มนางอย่างเร่าร้อน เร่งกระแทกกายแกร่งเข้าสุดออกสุด และบดขยี้อย่างเน้นย้ำทุกจังหวะที่โจ้นจ้วง ตอกย้ำแรง ๆ ถึงความมีตัวตนของตนเอง ดังจะย้ำเตือนกับนางว่าเขาคือสามีของนาง สามีที่ยังรักนาง โหยหาและต้องการนางสุดหัวใจ“เยว่เอ๋อ โอ้วววว โอ้ววว เยว่เอ๋อ ยอดรักของข้า เจ้าคือภรรยาเพียงหนึ่งเดียวของข้า ข้ารักเจ้า โอ้ววว โอ้ววว”แม่ทัพหนุ่มร้องครวญครางเรียกสตรีในหัวใจด้วยเสียงแหบพร่าดุจโหยหานางเหลือเกิน บั้นเอวสอบโยกไหวรัวเร็วและถี่ยิบแต่สิ่งที่นางตอบสนองเขาก็คือ “อ๊าย อ๊ะ อ๊ะ ข้าเกลียดท่าน ข้าเกลียด อ๊าย อ๊ะ”แม่ทัพหนุ่มยกยิ้มน้อย ๆ ที่นางบอกว่าเกลียดเขา เขาจึงยิ่งกระแทกเข้าออกแรงขึ้นอีก เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังก้องในห้องน้อยนั้น เตียงสี่เสาหลังใหญ่ในห้
“ อ๊าย ข้าเจ็บ อย่านะ ไม่ อย่าทำเช่นนี้ ไม่….. ” นางดิ้นรนไปมา พยายามจะดิ้นหนีออกไปให้ไกลจากการรุกรานของเขาแต่แล้วก็พบว่าข้อมือตนเองถูกมัดติดกับหัวเตียง นางกรีดร้องเสียงดังยิ่งขึ้นเพราะตกใจ ที่อยู่ ๆ ก็ตื่นมาพบว่าตนเองถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้ และนอนแผ่กางแขนและขาอยู่บนเตียงในห้องที่ใดก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ห้องพักห้องเล็กที่อยู่บนร้านผ้าไหมแน่ ๆ “ ช่วยด้วย อย่านะ ท่านแม่ทัพ อย่านะ อย่า อ่่าาา อ่าาาาห์ ” เมื่อเขาสอดนิ้วเข้าไป เขาพบว่ามันแห้งสนิทและคับแน่นยิ่งนัก นิ้วแกร่งของเขาแทบจะดันเข้าไปไม่ได้ เขายกยิ้มพอใจ นางยังมิได้ถึงกับมีอะไรกับเจ้าจางเล่อถงนั่น ตอนนี้เขาสบายใจขึ้นมากเพราะลงมือพิสูจน์ด้วยตนเองแล้ว ว่านอกจากเขาแล้วยังมิมีชายใดมากล้ำกลายนาง ถ้าเช่นนั้นวันนี้จะต้องตอกย้ำความเป็นสามีของนาง เพื่อให้นางรู้ว่านางมีเจ้าของแล้ว และเขาจะไม่ยอมให้นางหนีเขาไปได้อีกเป็นอันขาด เขาจะขังนางเอาไว้ที่จวนของสหายของเขาที่เมืองหนิงโจวแห่งนี้ เพราะที่นี่ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครจะติดตามทั้งเขาและนางมาได้ ที่นี่เป็นจวนของสหายของเขา ที่เขาส่งจดหมายไปขอยืมเพื่อจะพำนักชั่
“แต่ข้าไปก็ได้นะ แต่เจ้าก็ต้องกลับไปกับข้าด้วย เจ้ากลับข้าก็กลับ หากเจ้าไม่กลับข้าก็จะปักหลักอยู่กับเจ้าที่นี่แหละ”แม่ทัพหนุ่มยืนกราน เพราะเขาไม่มีทางถอยแน่ ๆ เพราะดูท่าแล้ว นางกำลังจะหนีเขาไป เพราะถึงกับย้ายออกมาอยู่ที่ร้านแห่งนี้ และคงวางแผนที่จะหนีไปแต่งงานหรือไม่ก็ยอมเข้าเรือนหลังของเจ้าเล่อถงแน่ ๆ ซึ่งเขาไม่มีทางยอมหรอก หากนางจะทำเช่นนั้น เขาจะอาละวาดให้งานแต่งของนางล่มแน่ ๆ หรือก็จะตามไปอาละวาดทุกๆ ที่ ที่นางไปอยู่กับชายใดก็ตาม ให้มันรู้กันไปสิ เมียคนเดียวเขาจะพากลับไปไม่ได้“ข้าไม่กลับไปกับท่าน เราไม่ได้เป็นอะไรกัน เพราะฉะนั้นท่านจะมาบังคับข้าไม่ได้ กลับไปเสีย หาไม่ ข้าจะฟ้องท่านย่าว่าท่านมาวุ่นวายรบกวนการทำงานของข้า”แม่ทัพหนุ่มยักไหล่ ฟ้องก็ฟ้องไปสิ เขาไม่ได้สนใจ เพราะเขาบอกท่านย่าแล้วว่านางเป็นภรรยาของเขาแล้ว เขามาเฝ้าเมียไม่ให้คิดจะคบชู้ มันผิดตรงไหน และนางก็ไม่ใช่คนตัวเปล่า สามีก็มานั่งเฝ้าอยู่ตรงนี้ ยังคิดจะหว่านเสน่ห์ชายอื่นได้อีก ใครผิดกันแน่ ๆ ก็เห็น ๆ อยู่ อย่างไรเขาก็ไม่ยอม จะให้ไปพบเจ้าเล่อถงที่จวนเขาก็ยินดี ไปบอกมันว่าสตรีที่มันหมายปองมีสามีแล้วหลังจากนั้นแม่ทัพ







