'คุณคณาธิป วิรุฬห์โยธิน หรือ คุณคินทร์ ลูกชายคนโตของคุณรังสรรค์ วิรุฬห์โยธิน เจ้าของธุรกิจส่งออกเครื่องประดับรายใหญ่อันดับต้น ๆ ของประเทศ และยังเป็นเจ้าของอสังหาริมทัพย์อีกหลายแห่ง เพิ่งได้ขึ้นรับตำแหน่งรองผู้บริหารหลังจากเรียนจบได้ไม่นาน มีผู้มาร่วมแสดงความคิดเห็นยินดีกันถ้วนหน้า ทั้งยังขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์กับแฮชแท็ก คุณคินทร์คือสามีแห่งชาติคนต่อไป เห็นแบบนี้ก็รู้ได้ทันทีว่าถูกใจสาว ๆ หนุ่ม ๆ กันทั่วประเทศ...'
ข่าวบันเทิงในเช้าวันนี้มีแต่เรื่องของคินทร์เกือบทุกช่อง เด็กหนุ่มปิดหน้าจอมือถือนอนถอนหายใจยาวอย่างเบื่อหน่าย นาน ๆ ทีจะเปิดมือถือดูสื่อโซเชียลต่าง ๆ
อยู่ที่บ้านใหญ่หลังนี้มาได้สามวันเต็ม ๆ เขายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนที่นี่เลยสักนิด อย่างเรื่องที่คินทร์เป็นถึงลูกเศรษฐีพันล้าน คุณรังสรรค์มีธุรกิจมากมายหลายแห่ง เขาก็เพิ่งจะรู้จากข่าวที่ได้เปิดดู ทว่าแค่พิมพ์ชื่อกดค้นหาในเว็บไซต์ประวัติต่าง ๆ ของคุณ ๆ ที่บ้านหลังนี้ก็ขึ้นเรียงรายมาให้อ่าน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
“คุณหนูน่านคะ ตื่นหรือยังคะ” คนตัวเล็กหย่อนขาลงจากเตียงเดินมาเปิดประตูให้แม่บ้านสาวที่ขึ้นมาเรียกถึงห้อง “อีกเดี๋ยวจะเป็นมื้อเช้านะคะ คุณหนูน่านจะลงไปทานพร้อมคุณ ๆ คนอื่นด้วยไหมคะ”
“วันนี้น่านไปทานในครัวได้ไหมครับ”
“คะ? นิ่มว่าคงไม่ดีมั้งค่ะ”
เธอลำบากใจเล็กน้อยที่ต้องพูดอย่างนี้ไม่ใช่ว่ารังเกียจหรือไม่อยากให้ไปทานด้วยกันในครัว แต่มันคงจะไม่ดีเท่าไรที่เจ้านายจะไปนั่งร่วมวงกับพวกสาวใช้คนสวน
“งั้นเดี๋ยวน่านลงไปครับ”
สีหน้าผิดหวังเด่นชัดบนใบหน้าจิ้มลิ้มของเด็กหนุ่ม นึกเห็นใจกับสถานการณ์ตอนนี้ การเข้ามาอยู่ในบ้านคนไม่รู้จัก แถมยังต้องนั่งทานข้าวด้วยกันวันละสองมื้อ ก็คงจะอึดอัดใจไม่น้อย
คนตัวเเล็กเก็บที่นอนเสร็จถึงได้เดินลงมาชั้นล่าง ตรงไปที่โต๊ะทานข้าว สมาชิกทุกคนที่บ้านนั่งกันอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา
“ขอโทษที่มาช้าครับ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ นั่งสิ”
คุณหญิงกนกอรส่งยิ้มให้ ไม่ได้คิดจะตำหนิที่เด็กน้อยคนนี้มาช้ากว่าคนอื่น ๆ
บนโต๊ะอาหารยังคงเป็นเหมือนสามวันที่ผ่านมา ทุกคนต่างทานกันอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครพูดขึ้นมาระหว่างรับประทานอาหาร นี่คงเป็นอีกข้อที่แตกต่างจากครอบครัวของเขา เพราะเมื่อก่อนเวลาทานข้าวกับพ่อแม่พวกเขามักจะมีเรื่องให้คุยกันเพื่อเพิ่มอรรถรสบนโต๊ะอาหาร
ทานข้าวเสร็จทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง บ้านหลังใหญ่เหลือเพียงสาวใช้สองสามคน คนสวน และลูกชายคนกลางกับคนเล็กที่แยกออกไปนั่งเล่นเกมกันที่ห้องนั่งเล่นตามประสา
น่านน้ำออกมาเดินสำรวจรอบ ๆ บ้าน ที่นี่มีพื้นที่กว้างกว่าบ้านของเขาพอสมควร ทั้งที่อยู่มาสามวันแล้วแต่เขายังเดินดูได้ไม่ครบทุกที่
เด็กหนุ่มเดินไปเรื่อย ๆ จนเจอกับลุงแช่มคนสวนเก่าแก่ของที่นี่กำลังตัดแต่งกิ่งไม้อยู่ในสวนหลังบ้านเล็ก
“สวัสดีครับลุงแช่ม”
“อ้าว คุณหนูน่านสวัสดีครับ”
“น่านบอกแล้วไงครับว่าอย่าเรียกคุณหนู”
“คุณหนูเป็นเจ้านายต้องเรียกแบบนี้ถูกแล้วครับ”
“ที่น่านมาอยู่ที่นี่น่านไม่ได้ต้องการจะเป็นเจ้านายของใคร เพราะงั้นอย่าเรียกคุณหนูเลยนะครับ เรียกแค่น่านก็พอ”
อย่างที่เขาบอกลุงแช่มไป เขามาอยู่ที่นี่ในฐานะอะไรยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ คุณรังสรรค์ก็แค่รับเขามาเลี้ยงดูเฉย ๆ เขาไม่ได้ต้องการจะมาเป็นเจ้านายของใครที่นี่ เขาไม่ใช่คุณหนูของที่นี่
“แต่...”
“ถ้าลุงแช่มไม่สบายใจ เรียกแค่ตอนที่ไม่มีคุณคนอื่น ๆ อยู่ก็ได้ครับ”
“เอาแบบนั้นก็ได้ครับ”
ลุงแช่มเป็นเพียงคนเดียวที่น่านน้ำกล้าพูดกล้าคุยด้วยมากที่สุด อาจจะเพราะลุงแกมีอะไรหลาย ๆ อย่างคล้ายพ่อของเขา คำพูดคำจาที่เป็นมิตรรอยยิ้มมองแล้วรู้สึกอบอุ่น ท่าทีอ่อนโยนของลุงแช่มทำให้น่านน้ำไม่กลัวที่จะเข้าหา สามวันที่ผ่านมาน่านน้ำมักจะมาอยู่สวนทุกครั้งที่เห็นลุงแช่ม
“มาครับเดี๋ยวน่านช่วย”
“ไม่เป็นไร นี่มันหน้าที่ลุง หนูน่านไปนั่งเถอะ”
ทุกครั้งที่เสนอตัวขอช่วยทำงานก็โดนปฏิเสธทุกครั้ง เขาเพียงอยากทำตัวให้มีประโยชน์บ้าง อย่างสุภาษิตที่ว่า อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น อย่างน้อย ๆ เขาก็ไม่ควรจะนั่งกินนอนกินเฉย ๆ แบบนี้ แม้ว่าคุณหญิงกนกอรกับคุณรังสรรค์ไม่เคยเอ่ยปากบอกให้เขาทำงานอะไรสักอย่าง แต่ความเกรงอกเกรงใจที่มีมันมากเกินกว่าจะอยู่อย่างสบายโดยไม่รู้สึกอะไรได้
.
.
หลังจากเข้ามาอยู่ที่บ้านวิรุฬห์โยธินได้เกือบเดือนคุณรังสรรค์ก็พาน่านน้ำไปสมัครเรียนเข้ามอสี่ที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ทั้งที่ตัวเขาไม่มีเอกสารอะไรติดตัวมาสักอย่างแต่คุณรังสรรค์กลับทำให้เขาเข้าเรียนได้ง่าย ๆ
แม้จะละอายใจที่ตัวเองอยู่อย่างสุขสบาย กินอิ่ม นอนหลับในทุก ๆ วัน ยังได้รับเงินไว้ใช้ทุกอาทิตย์เหมือนลูกชายคนกลางกับคนเล็ก ทั้งที่เขาไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้ตระกูลนี้เลย ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับใครในบ้านหลังนั้นเลยสักคน
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรับน้ำใจที่ถูกหยิบยื่นมาให้ เพียงเพราะคิดถึงอนาคตข้างหน้า หากเขายังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปบนโลกนี้อย่างน้อยการศึกษาก็มีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิต เด็กที่ไม่เคยทำงานหนักหรือแม้แต่ออกไปผจญภัยโลกกว้างคนเดียวอย่างเขา คิดไม่ออกเลยว่าจะไปหางานที่ไหนได้ด้วยความรู้ที่มีแค่วุฒิมอสาม เพราะงั้นเมื่อมีโอกาสได้เรียนเขาก็จะตั้งหน้าตั้งตาเรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบและสามารถหางานให้ตัวเองในอนาคตได้ อย่างน้อยก็ขอให้จบมอหก พออายุครบสิบแปดปีเขาจะลองศึกษาหางานที่พอทำได้เพื่อส่งตัวเองเรียนต่อมหา'ลัย
เปิดเทอมวันแรกยังไม่มีการเรียนการสอนทางโรงเรียนเลยปล่อยให้กลับบ้านได้ตั้งแต่ช่วงบ่าย น่านน้ำเดินออกมาหน้าโรงเรียนด้วยตัวคนเดียว ฝั่งตรงข้ามประมาณห้าร้อยเมตรมีป้ายรถเมล์อยู่ เขาตั้งใจจะนั่งรถเมล์กลับหลังจากศึกษาวิธีขึ้นรถเมล์จากอินเทอร์เน็ต
ครั้นเดินมาถึงรถเมล์ก็มาพอดี คนตัวเล็กต่อแถวเพื่อขึ้นไป เลือกเดินไปนั่งที่ว่างแถวกลาง รู้สึกประหม่าเล็กกน้อยที่ทำอะไรแบบนี้ครั้งแรก เพราะเมื่อก่อนตอนอยู่กับพ่อแม่พวกท่านก็คอยรับคอยส่ง อยากไปไหนพวกท่านจะเป็นคนพาไป ส่วนตอนที่ย้ายไปอยู่กับป้าษาเขาก็อยู่แค่ที่บ้านไม่เคยออกไปไหนเลย และตั้งแต่มาอยู่บ้านคุณรังสรรค์เคยออกมาซื้อน้ำเต้าหู้เป็นเพื่อนคีนลูกชายคนเล็กของบ้านเพียงสามครั้ง
ทว่าปัญหาที่ไม่คิดว่าจะเกิดก็เกิดขึ้นแล้วเมื่อกระเป๋ารถเมล์ถามว่าเขาจะลงป้ายไหน แต่เขาดันไม่รู้ซะงั้นได้แต่อึก ๆ อัก ๆ จนคนรอฟังคำตอบพอจะเดาได้ว่าเด็กคนนี้คงไม่รู้อีโหน่อีเหน่แล้วขึ้นรถเมล์สายผิด ทั้งยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปลงที่ไหน
สุดท้ายน่านน้ำก็ต้องลงมาตั้งแต่ป้ายแรกที่รถจอด ยืนป้ำ ๆ เป๋อ ๆ มองซ้ายมองขวาไม่คุ้นกับเส้นทางนี้เลยสักนิด
ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน...
.
.
“ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์มารับน่าน”
ทันทีที่ขึ้นมานั่งบนรถ เด็กหนุ่มยกมือไหว้คนอายุมากกว่าที่ทิ้งงานเพื่อมารับเขา ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่สร้างปัญหาแต่ก็ทำตัวเป็นปัญหาให้คนอื่นมาเดือดร้อนเพราะตัวเองจนได้
คนขับเลื่อนมือจากพวงมาลัยรถมาวางบนกลุ่มผมนุ่มเพียงครู่ก่อนจะผละออก เหลือบมองกันเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก
“ตกใจหรือเปล่า” ปากบางเม้มติดกันเป็นเส้นตรง ก้มหน้ามองมือพลางตำหนิตัวเองอยู่ในใจ “เก่งมากนะเนี่ยที่กล้านั่งรถเมล์มาคนเดียว”
แทนที่จะโดนต่อว่าที่โทรไปกวนเวลาทำงาน กลับกันเขาได้รับคำชมที่ไม่น่าชื่นชมเลยสักนิด น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยพูดคลอเคล้าไปกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ทำให้เด็กหนุ่มคลายอาการตกใจลงได้บ้าง
“ขอโทษนะครับเฮียคินทร์”
“ขอโทษเรื่องอะไรครับ”
“ที่น่านสร้างปัญหา”
คินทร์ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย เด็กคนนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยตั้งแต่วันแรกที่รู้จักจนถึงตอนนี้
หลังจากที่เงียบมาหลายนาที ครั้นรถจอดนิ่งเมื่อติดไฟแดง คินทร์ก็รีบหันไปพูดกับเด็กที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ให้หยุดความคิดที่ฟุ้งซ่านอยู่ตอนนี้
“น่านไม่ได้สร้างปัญหาอะไรเลย”
“ถ้าน่านไม่ขึ้นรถเมล์มาคนเดียวโดยที่ไม่รู้อะไรเลยแม้แต่ป้ายที่ตัวเองจะลง คงไม่ต้องรบกวนเฮียคินทร์ให้มารับทั้งที่เฮียกำลังทำงานอยู่”
“เอาเป็นว่าน่านไม่ได้รบกวนอะไรเฮีย เฮียตั้งใจมารับน่านเพราะงั้นไม่ต้องคิดมากหรอกนะ”
คำพูดอ่อนโยนปลอบใจเด็กคนนี้เป็นอย่างดี เฮียคินทร์ก็เป็นแบบนี้ตั้งแต่วันแรกที่เขาก้าวขาเข้ามาอยู่ในบ้าน คินทร์ใจดีกับเขาเหมือนน้องชายของตัวเองมาตลอด หรือถ้าคิดอีกมุมอาจเป็นเพราะคินทร์เป็นพี่ชายคนโตที่ปีนี้อายุของคินทร์ก็ยี่สิบสองแล้ว และด้วยประสบการณ์การทำงาน หรือการใช้ชีวิตต่าง ๆ ของคินทร์ทำให้คินทร์ดูเป็นผู้ใหญ่เกินกว่าอายุ
“งั้นต่อไปนี้เลิกเรียนเฮียจะมารับน่านกลับบ้านเองน่านจะได้ไม่ต้องนั่งรถเมล์กลับคนเดียว ถ้าวันไหนเฮียไม่ว่างเฮียจะบอกให้คนรถที่บ้านมารับ”
“แต่แบบนั้น...”
“ถ้าน่านไม่สบายใจแค่ช่วงหนึ่งก็ได้ หลังจากนั้นเฮียจะสอนให้น่านลองกลับบ้านเองคนเดียว”
ทั้งหาวิธีช่วย ทั้งหาทางออกให้กันคนละครึ่งทาง คินทร์รู้ดีว่าเด็กคนนี้คงเกรงใจที่จะพึ่งพาคนอื่นโดยที่ไม่รู้สึกอะไรเลย กลับกันเขาอยากเป็นคนที่ยื่นมือเขาไปช่วยเหลือให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ส่วนหนึ่งก็อาจจะมาจากความสงสาร.. หรือจะเพราะเหตุผลอะไรก็ตามแต่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาอยากทำมันอย่างเต็มที่เท่าที่จะทำได้
ทั้งที่อยู่ด้วยกันมาเกือบเดือน น่านน้ำยังทำตัวห่างเหินกับทุกคนในบ้าน แต่ใช่จะทำตัวหยิ่งผยอง ทว่าเป็นเพียงความกลัวในใจลึก ๆ ของน่านน้ำที่ไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไงถึงจะเหมาะสมและพอดี
จากที่คินทร์สังเกตดูมาตลอดก็เห็นว่าน่านน้ำสนิทกับลุงแช่มคนสวนของที่บ้านมากที่สุด เวลาว่างก็ไปนั่งเล่นพูดคุยกับลุงแกบ่อย ๆ ตอนนั้นเองที่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นท่าทีผ่อนคลายของเด็กคนนี้
ในบรรดาสามพี่น้องยังโชคดีหน่อยที่ดูเหมือนว่าคินทร์จะได้เป็นคนที่น่านน้ำคุยด้วยมากที่สุด เพราะกับเคนน้องคนกลางเป็นพวกไม่เข้าสังคม เก็บตัวเงียบรักชีวิตสันโดดพอตัว มีคุยกันบ้างในเรื่องที่จำเป็น ทว่าเจอกันก็เดินสวนกันไปเฉย ๆ ไม่ใช่ไม่ชอบกันแต่ก็แค่ไม่มีเรื่องให้พูด ส่วนน้องคนเล็กอย่างคีนที่พูดมากซะจนคนฟังหูชา เป็นคนที่ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาเลยก็ว่าได้ คอยหาเรื่องชวนคุยกับน่านน้ำอยู่บ่อย ๆ แต่คนพูดน้อยอย่างเด็กคนนี้จะไปพูดทันคีนได้ยังไง
“เอาแบบที่เฮียว่าก็ได้ครับ” ดวงตากลมใสมองคนอายุมากกว่าที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว
“น่านได้กินอะไรมาบ้างหรือยัง” จู่ ๆ คินทร์ก็เปลี่ยนเรื่องไม่พูดอะไรต่อ มองเด็กหนุ่มส่ายหน้าไปมาก่อนเอ่ยถามอีกครั้ง “อืม.. งั้นแวะหาอะไรทานกันก่อนกลับดีไหม เฮียก็ยังไม่ได้ทานอะไรเหมือนกัน”
“ครับ”
ถึงอยากจะปฏิเสธแต่ทำได้ซะที่ไหน ก็อีกฝ่ายบอกยังไม่ทานเหมือนกันคงใจร้ายรบเร้าให้พาตัวเองกลับก็ไม่ได้ แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่ต่อให้เฮียคินทร์จะบอกว่าไม่ต้องคิดมาก แต่เขาทำได้ที่ไหนกัน
ร้านอาหารไทยแห่งหนึ่งที่ถูกตกแต่งสวยงามตามสไตล์เจ้าของร้าน เขาเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก ดวงตากลมกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ชื่นชมความสวยงาม และบรรยากาศของที่นี่
“น่านอยากทานอะไรสั่งได้เลยนะ”
“ครับ”
เปิดเมนูพลิกไปพลิกมา สุดท้ายได้แค่ข้าวเปล่าจานเดียว เพราะฟังจากที่คินทร์สั่งไปเพียงเท่านั้นก็พอแล้ว เขาไม่ใช่คนเรื่องมากเท่าไรนัก สั่งอะไรมาก็ทานอย่างนั้น
“ไปโรงเรียนวันแรกเป็นไงบ้าง”
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศเงียบเกินไปคินทร์จึงได้เอ่ยถามขึ้นมาระหว่างรออาหาร
“ก็ดีครับ”
“ชอบที่นั่นไหม”
คำตอบของน่านน้ำดูสวนทางกับสีหน้าที่แสดงออกมา ไม่รู้ว่ามันดีอย่างที่บอกจริง ๆ หรือเปล่า แต่เขาก็พอจะเดาออกอยู่แล้วว่าต่อให้ไม่ชอบคำตอบที่จะได้ไปในทางที่ทำให้คนฟังสบายใจเสียมากกว่า และน่านก็คงจะตอบว่า ...ชอบ
“ชอบครับ”
มุมปากยกยิ้มเมื่อเดาสิ่งที่คิดไว้อย่างถูกต้อง เขาไม่ได้คิดจะเซ้าซี้เค้นเอาความจริงจากปากเด็กคนนี้ เพราะถึงยังไงน่านน้ำก็ไม่มีทางพูดในสิ่งที่ตัวเองเก็บเอาไว้ในใจอย่างแน่นอน
อาหารค่อย ๆ ทยอยมาเสิร์ฟจนครบ ทั้งสองคนต่างคนต่างทานของตัวเอง ไม่ได้พูดจากันแม้แต่คำเดียว มีเพียงคินทร์ที่ชำเลืองมองน่านน้ำอยู่ตลอด ข้าวในจานของอีกฝ่ายหายไปไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ
กินข้าวน้อยขนาดนี้จะเอาแรงมาจากไหน..
คนอายุมากกว่าถือวิสาสะตักเนื้อปลาในแกงส้มใส่จานน่านน้ำ ใบหน้าจิ้มลิ้มมองกันอย่างสงสัย
“กินเยอะ ๆ จะได้โตไว ๆ”
พูดเพียงเท่านั้นพร้อมยิ้มให้กันก่อนก้มหน้าก้มตาทานข้าวของตัวเอง
ไม่ใช่นึกเบื่ออาหารถึงได้ทานน้อย แต่เพราะยังไม่หิวขนาดนั้น ทว่าเฮียคินทร์อุตส่าห์ตักให้ก็ต้องทานเข้าไป อีกคนจะได้ไม่เสียน้ำใจ
.
.
หลังทานข้าวเสร็จคินทร์แวะไปทำธุระที่บริษัทปล่อยให้น่านน้ำนั่งรออยู่ในรถ แต่เพียงไม่นานก็กลับมา ก่อนจะพากันกลับบ้าน
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับเฮีย”
“ด้วยความยินดีครับ”
ไม่ว่าเปล่ายังยกมือขึ้นลูบหัวเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดู เมื่อก่อนนี้น่านน้ำอาจจะตกใจจนต้องกระถดตัวหนี อาจจะเป็นเพราะความเคยชินของเฮียคินทร์ เขาเคยเห็นคนพี่ลูบหัวน้องชายคนเล็กบ่อย ๆ หลัง ๆ มานี้เลยปล่อยไปเลยตามเลย คิดไปเองว่าอีกคนคงเผลอตัวเอ็นดูเขาเหมือนน้องชายคนหนึ่ง
เด็กหนุ่มลงมาจากรถก่อนจะเดินเข้าบ้าน ทว่าถอยหลังเดินกลับมาเมื่อได้ยินเสียงรถที่เคลื่อนตัวออกไปอีกครั้ง นึกว่าจะเข้าบ้านมาด้วยกันซะอีก แต่งานที่บริษัทคงยังไม่เสร็จเพราะระหว่างกลับบ้านคินทร์ต้องรับโทรศัพท์คุยเรื่องงานตลอดทาง
เราคงไปรบกวนเวลาทำงานของเฮียคินทร์จริง ๆ ...
แสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาแยงตาคนที่ยังคงสะลึมสะลืออยู่บนเตียง ร่างกายเล็กค่อย ๆ ขยับกายทว่ารู้สึกได้ถึงแรงกอดรัดบริเวณเอว ดวงตาบวมช้ำพยายามลืมขึ้นเพื่อมองช่วงล่าง ท่อนแขนแข็งแรงของชายหนุ่มร่างใหญ่ที่นอนซ้อนหลังกอดเขาเอาไว้ไม่ปล่อย น่านน้ำจำเหตุการณ์เมื่อคืนได้ แต่ไม่คิดว่าคินทร์ยังคงอยู่ที่นี่ นึกว่ากลับไปแล้วเสียอีก ทั้งที่ปกติชายหนุ่มไม่ใช่คนขี้เซาแต่เช้านี้กลับยังไม่ตื่น อาจเป็นเพราะเพิ่งจะได้นอนเมื่อตอนตีห้า เพราะเมื่อคนนี้น่านน้ำนอนละเมอเกือบทั้งคืน กว่าจะหลับสนิทดีก็ตีสี่กว่าแล้ว น่านน้ำนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน คิดถึงสิ่งที่เพลงขิมบอกเมื่อคืนนี้ เรื่องทั้งหมดในวันนั้นเป็นเพียงการเข้าใจผิดที่ถูกจัดฉากขึ้นมาเพียงเพราะพ่อของเพลงขิมต้องการที่จะเกี่ยวดองเรื่องธุรกิจ ส่วนคินทร์ต้องก้มหน้ารับผิดเพราะจำไม่ได้จึงไม่แน่ใจว่าตัวเองทำลงไปจริง ๆ หรือเปล่า อีกทั้งความใจร้อนของเขาที่เชื่อสิ่งที่ตาเห็นโดยไม่ได้ถามอะไรให้ได้ความชัดเจนก่อน กลายเป็นว่าเขาเองที่เชื่อใจคินทร์ไม่มากพอ เพราะความโง่เง่าของเขาเองที่ถูกปั่นหัวได้ง่าย ๆ แทนที่จะหนักแน่นให้มากกว่านี้ คนที่ทำผิดพลาดมากที
ตั้งแต่เช้าเมื่อวานจนถึงวันนี้คินทร์ยังคงวิ่งวุ่นเรื่องดำเนินคดีความเรื่องที่ตนไปแจ้งจับพ่อของเพลงขิม หลังจากสืบสวนแล้วถึงรู้ว่าสุรินทร์ก่อเหตุเอาไว้หลายกระทง แต่ถูกปกปิดทั้งหมด นั่นเพราะผู้กำกับคนเก่าซึ่งเป็นเส้นสายของตนเองช่วยเอาไว้ หลังจากรังสรรค์รู้เรื่องทุกอย่างจากลูกชาย ก็ช่วยอย่างเต็มที่เพราะเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่มีเส้นมีสาย แอบตำหนิไปเล็กน้อยที่เพิ่งมาบอกกัน ที่ผ่านมารังสรรค์คิดว่าตัวเองจัดการทุกอย่างเรียบร้อยตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว ทว่าความจริงคนผิดที่อยู่เบื้องหลังอุบัติเหตุการตายของพ่อแม่น่านน้ำตัวจริงคือสุรินทร์ ส่วนคนที่ถูกจับเป็นแค่แพะรับบาปที่รู้ทุกอย่าง เป็นคนที่ยอมสารภาพผิดเพราะคำขู่ของสุรินทร์ สาเหตุที่สุรินทร์ได้จ้างคนให้จัดการพ่อแม่น่านน้ำมาจากความแค้นส่วนตัวในอดีต รวมถึงธุรกิจที่กำลังจะไปได้ดีแซงหน้าตนความอิจฉาของสุรินทร์เพิ่มพูนขึ้นจนกลายเป็นบันดาลโทสะ รังสรรค์ไม่คิดเลยว่าจะพลาดท่าเชื่อคำสารภาพของชายคนนั้นเมื่อสิบปีก่อน ไม่คิดว่าตัวเองจะโง่ได้ถึงเพียงนี้ ทว่าความลับที่ถูกปกปิดเอาไว้ก็กระจ่าง แก้แค้นให้เพื่อนรักตอนนี้ก็ยังไม่สาย เพลงขิมเพิ่งรู้สิ่งที่พ่อของตนเอง
ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นวันว่างของคินทร์และน่านน้ำ จึงตกลงกันว่าจะพาลูกออกไปเที่ยวด้วยกัน เพราะผ่านมานานมากแล้วที่เราไม่ได้ใช้เวลาครอบครัวร่วมกัน ในตอนแรกน่านน้ำก็คิดที่จะปฏิเสธปล่อยให้สองพ่อลูกได้ไปกันสองคน ส่วนตนจะขออยู่ที่ห้อง เก็บกวาดเช็ดถู เนื่องจากตลอดสัปดาห์ต้องไปทำงาน ไม่ได้มีเวลาหยิบจับอะไรให้เข้าที่เข้าทางสักเท่าไร ทว่าพอมานึกดูแล้ว เขาเองก็มีเวลาให้ลูกได้ไม่เต็มที่ตั้งแต่เข้าทำงานประจำที่บริษัท อีกทั้งลูกชายยังออดอ้อนให้มาด้วยกัน สุดท้ายก็ใจอ่อน คินทร์ลอบมองอดีตคนรักแทบจะทุกห้านาที สังเกตสีหน้าว่าอีกคนยินดียินร้ายอย่างไรที่มาด้วยกัน สิ่งหนึ่งที่คิดไม่อยากให้เกิดขึ้นระหว่างเราคือความอึดอัดใจ หลายครั้งที่คำพูดของป๊าผุดขึ้นมาในหัว “แต่ลูกรู้ใช่ไหมว่าถ้าวันหนึ่งต้องเลิกรากัน หากจะกลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมมันเป็นไปได้ยาก” เพิ่งจะรู้ซึ่งก็ตอนนี้ว่ามันจริงอย่างที่ป๊าเตือนเอาไว้ ทั้งที่เราไม่ได้โกรธเกลียดอะไรกัน แต่ไม่สามารถกลับมาเป็นพี่น้องอย่างเดิมได้อีก สถานะของเขาและน่านน้ำ คืออดีตสามีภรรยา รวมถึงพ่อและแม่ของมีคุณ หรือต่อให้กลับมาเป็นพี่น้องกันได้อีกครั้ง คินทร์ก
“เฮียจะมาที่ร้านเหรอ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครั้นพี่ชายบอกจะเข้ามาหาที่ร้าน เพราะโดยปกติแล้วรายนั้นเอาแต่ทำงาน เคยแวะมาที่ผับที่บาร์แบบนี้ซะที่ไหน ตั้งแต่เคนเปิดร้านมาสองปีย่างเข้าปีที่สามคินทร์ยังไม่เคยแวะเข้ามาดูด้วยซ้ำ [อืม เดี๋ยวเฮียไป] “ครับ” สายถูกตัดไป ทิ้งไว้เพียงความงุนงงให้กับเคน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนแทบจะพันเป็นเลขแปด ก่อนจะส่งข้อความไปหาน้องชายคนเล็กให้ตามมาที่ร้านอีกคน “ปล่อยพลับได้ยัง!?” เสียงหวานเอ่ยถามพร้อมสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก หลังจากที่ถูกเรียกให้มาหาด้วยเหตุผลที่โคตรของโคตรไร้สาระ “ถ้าคืนนี้ฉันเห็นเธอไปยุ่งกับไอ้เสี่ยนั่นอีก ฉันจะไล่ออก” “ก็นั่นมันงานของพลับ คุณเคนเป็นเจ้านายก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือไง” “คำไหนคำนั้น เธอน่าจะรู้นะว่าฉันทำจริง” เคนทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาพร้อมกับปล่อยข้อมือเล็กให้เป็นอิสระ เอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่งที่คนมองมองยังไงก็กวนประสาทกันอยู่ชัด ๆ รู้ทั้งรูว่างานที่เขาทำคือการบริการลูกค้า แล้วมาห้ามไม่ให้ไปยุ่งกับลูกค้า แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน “เอาสิ ถ้าคุณเคนไล่พลับ พลับจะไปทำงานที่ร้านคุณย้งก็ได้ ยังไงที่นั่นเขาก็ต
ใบหน้าหล่อเปื้อนน้ำตาซบแผ่นหลังเล็กไม่คิดจะผละออก โอบกอดเอวบางเอวไว้แน่น คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เขาจะได้อยู่กับน่านน้ำ เขาจึงยอมหน้าด้านขอใช้เวลาคืนนี้ด้วยกันก่อนที่อีกคนจะย้ายออกไปจากที่นี่ คินทร์พาลูกไปฝากไว้กับป๊าม๊า เพื่อที่จะได้อยู่กับน่านน้ำสองคน เขาอยากใช้ช่วงเวลานี้ตักตวงความสุขให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เวลาเกือบครึ่งปีที่เราทั้งคู่แยกกันนอนคนละห้อง เขาไม่ได้กอดน่านน้ำเลยสักครั้ง เฝ้าแต่คิดถึงและบอกตัวเองให้อดทนอยู่ทุกเช้าค่ำ เพราะหากทำอะไรรุ่มร่ามไปคนน้องอาจจะอึดอัดใจได้ คินทร์ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ภายในห้องนอนสีเหลี่ยมถูกปิดไฟมืดสนิทไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดลอดใด ๆ เข้ามา ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศหนาวสะท้านเข้าถึงหัวใจ รู้สึกเจ็บจนชาไปทั่วทั้งอก เราทั้งสองคนต่างปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา จะมีก็แต่เสียงพึมพำของคินทร์ที่ดังแผ่วเบาอยู่ตรงแผ่นหลัง คินทร์ไม่กล้าแม้แต่จะข่มตานอน กลัวว่าตื่นมาแล้วจะไม่ได้เจอน่านน้ำอีก แอบร้องไห้เงียบ ๆ ไม่ให้คนน้องรู้ พร่ำบอกรักเบา ๆ ซ้ำไปซ้ำมา “เฮียรักน่าน ..รักน่านแค่คนเดียว” แม้ว่าน่านน้ำจะนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนคล้
2 เดือนต่อมา ผ่านมาสองเดือนกว่ามีคุณได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนเตรียมอนุบาลแห่งหนึ่ง เป็นการตัดสินใจร่วมกันของน่านน้ำและคินทร์ ทั้งสองคนยังอยู่บ้านหลังเดียวกันตามที่อีกฝ่ายได้ขอเขาไว้ด้วยเหตุผลที่คินทร์ให้ไว้ว่าเพื่อลูกของเรา แต่เห็นทีคราวนี้น่านน้ำคงไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เพลงขิมยังคงแวะเวียนมาที่บ้านหลังนี้ตลอด แม้ว่าคินทร์จะห้ามปรามจนมีปากเสียงกันทุกครั้ง เพลงขิมก็ยังคงทำเป็นทองไม่รู้ร้อน บังเอิญน่านน้ำได้ยินเรื่องที่ทั้งคู่คุยกันอยู่ครั้งหนึ่ง เท่าที่จับใจความได้เหมือนว่าคินทร์จะไม่ยอมรับผิดชอบอะไรสักอย่าง เพียงเท่านั้นน่านน้ำก็เดินออกไปเพราะไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว จนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ น่านน้ำเริ่มหางานใหม่ทำหลังจากหยุดทำงานฟรีแลนซ์มาสักพัก สมัครไปหลายบริษัท ตั้งตารอว่าจะมีที่ไหนเรียกตัวบ้างหรือเปล่า หลังจากส่งลูกชายที่โรงเรียนเสร็จน่านน้ำก็แวะมานั่งเล่นที่ร้านขนมที่พลับจีนทำงานอยู่ เขาไม่เคยคิดเลยว่าร้านขนมเล็ก ๆ ข้างมหา’ ลัยจะพัฒนามาเป็นร้านใหญ่โตในวันนี้ ซึ่งพลับจีนก็ยังคงทำงานที่นี่อยู่ จากเด็กเสิร์ฟในวันนั้น วันนี้ได้ขึ้นมาเป็นผู้จัดการ