“ใส่ชุดนี้แล้วไปรอที่ด้านหลังเวทีตอน 2 ทุ่มตรงนะ”
ชุดเดรสสีแดงสดถูกกางทาบทับอยู่บนร่างอรชร นาเดียยืนหมุนตัวหน้ากระจก จ้องมองตัวเองในชุดที่เจคอปเลือกให้ ขณะนี้เป็นเวลาเกือบจะสองทุ่มแล้ว หญิงสาวในชุดเดรสเว้าแผ่นหลังกำลังยืนชะเง้อมองหาอะไรบางอย่างอยู่ตรงจุดนัดหมาย
“คุณนาเดียใช่ไหมคะ” เสียงเรียกจากทางด้านหลังทำให้หญิงสาวต้องหันกลับไป ก่อนจะพยักหน้ารับเล็กน้อยเมื่อได้ยินคนเอ่ยชื่อเธอในเวลาและจุดหมายที่ร่างสูงบอก “เชิญทางนี้ค่ะ” คนมีอายุกว่าผายมือเชิญให้หญิงสาวเดินไปตามทิศทางที่หล่อนบอก ท่าทางดูให้เกียรติจนนาเดียอดเขินไม่ได้ เธอเดินไปตามทางกระทั่งมาถึงด้านหลังเวทีของฮอล์ขนาดใหญ่ นาเดียหันไปส่งสายตาเป็นเชิงถามว่าเจคอปมีแผนการอะไรกันแน่ แต่ดูจากสีหน้าแล้ว อีกฝ่ายก็คงจะรู้ไม่มากไปกว่าเธอสักเท่าไหร่
ยืนรออยู่เพียงไม่นาน ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงหอนของไมโครโฟนดังมาจากด้านหน้าเวที ตามด้วยเสียงนุ่มทุ้มที่เธอคุ้นเคย
“สวัสดีครับน้องๆพยาบาลที่น่ารักทุกคน”
เสียงของเจคอปทำให้หัวใจของนาเดียเต้นแรง ยิ่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดจะทำอะไร เธอก็ยิ่งวิตกกังวล
“ผมขอกล่าวต้อนรับน้องๆทุกคนเข้าสู่การเป็นพนักงานของโรงพยาบาลบดินทร์พิทักษ์อย่างเป็นทางการอีกครั้ง สำหรับคืนนี้ก็เป็นคืนสุดท้ายแล้วที่น้องๆจะได้มาอยู่ร่วมกัน สนุกกันไหมครับ?”
คนทั้งฮอล์ต่างตอบเป็นเสียงเดียวกัน คราวนี้นาเดียยิ่งหวาดวิตก เธอรู้แน่ชัดแล้วว่าด้านหน้าเวทีเต็มไปด้วยเพื่อนร่วมงานร่วมร้อยชีวิต
“ผมหวังว่าการจัดสัมมนาในครั้งนี้ น้องๆคงจะได้อะไรกลับไปกันไม่มากก็น้อย อย่างน้อยก็ได้เพื่อนใหม่กันทุกคน และเนื่องในโอกาสพิเศษนี้ ผมก็อยากจะมอบบทเพลงพิเศษ เพื่อคนพิเศษของผม ซึ่ง...”
“ฮิ้วววววววววววววววววว”
ยังพูดไม่ทันจบ เสียงฮือฮาก็ดังสนั่นไปทั้งฮอล์ ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องและเป่าปากดังลั่น
นาเดียใจเต้นระทึก รู้สึกว่าขาสองข้างแทบจะไม่ติดพื้น
“…ซึ่งคนๆนั้นก็เป็นเพื่อนพยาบาลที่น้องๆทุกคนน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี”
เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้นาเดียตื่นเต้นจนหลั่งเหงื่อเย็นทั่วตัว อย่าบอกนะว่าพี่เจคคิดจะประกาศชื่อฉันกลางเวที ไม่ได้การ ฉันต้องรีบหนีก่อน
“เดี๋ยวค่ะ ผ.อ.สั่งว่าอย่าให้คุณนาเดียออกไปไหนทั้งนั้น กรุณารออยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ” พี่สาวหน้าสวยคนเดิมยกมือขึ้นขวางทางพัลวัน
“ขอเสียงปรบมือให้กับ...” ไม่นะพี่เจค หนูอายคนอื่นเขานะ
“...น้องญาดาด้วยครับ” ตามมาด้วยเสียงกรี๊ดสนั่นไปทั้งฮอล์
“เธอทำให้ฉันโกรธ ทำให้ฉันแอบยิ้ม...” เสียงของญาดาดังผ่านไมโครโฟน เธอกำลังร้องเพลงอยู่หน้าเวที ประสานไปกับเสียงดีดกีต้า ซึ่งนาเดียมั่นใจว่าพี่เจคจะต้องเป็นคนดีดกีต้าอยู่แน่ๆ
หัวใจพลันหล่นวูบ รู้สึกชาไปทั้งใบหน้า หูก็พลันอื้ออึงจนไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงซุบซิบที่ดังกระหึ่มไปทั้งฮอล์
นี่มันเรื่องอะไรกัน พี่เจคกับญาดา... นี่มันหมายความว่ายังไง!
“ก็มันยากเกินที่จะอธิบายทุกเรื่องราว แต่วันนี้เธอคือทุกอย่างในใจฉัน... ก็เธอทำให้ได้รู้ ฮู้...รู้ถึงคำว่ารักที่ต่างไป
รู้ ฮู้... รู้ถึงคำว่ารักที่มีความหมาย เธอทำให้รู้ว่าฉันยังมีหัวใจ
ก็เธอทำให้ได้รู้... รู้ถึงคำว่ารักที่หลากหลาย
รู้ ฮู้... รู้ว่าคำว่ารักมันไม่ง่ายดาย เธอทำให้ฉันเข้าใจ
ว่าหนึ่งคนนี้มันยังคงมีหัวใจ เธอทำให้…ฉันรักเธอ”
คำพูดเย้ยหยั่นที่ญาดาพูดทิ้งไว้ก่อนหล่อนจะออกจากห้องหวนกลับเข้ามาในความคิด นาเดียรู้สึกคล้ายจะหายใจไม่ออก เธออยากจะหนีออกไปจากตรงนี้ แต่ขากลับไม่มีเรี่ยวแรงเสียอย่างนั้น แต่แล้วเธอก็พลันนึกถึงคำพูดของเจคอปขึ้นมา
'ไม่ว่าญาดาจะพูดอะไร ก็อย่าไปสนใจ ขอให้เชื่อใจพี่ก็พอ!'
นั้นสินะ ฉันต้องเชื่อใจพี่เจค ยังไงคนที่พี่เจครักก็คือฉัน! ยังไงก็ต้องเป็นฉันคนเดียว!
เสียงเพลงจบลงแล้ว พร้อมกับเสียงปรบมือดังกระหึ่ม หลังจากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงพี่เจคพูดผ่านไมโครโฟน
“ผมต้องขอขอบคุณน้องญาดาอีกครั้งที่ให้เกียรติมาร้องเพลงเพลงนี้ให้กับคนพิเศษของผม... ผมอยากขอบคุณเธอมากครับ ที่สอนให้ผมได้รู้จักกับความรู้สึกดีๆ ผมขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ว่าที่คุณนายแห่งโรงพยาบาลบดินทร์พิทักษ์… น้องนาเดีย!”
ห๊ะ!? ฉันหูฝาดไปใช่ไหม
“เชิญคุณนาเดียขึ้นไปบนเวทีเลยค่ะ” เสียงจากด้านหลังช่วยตอกย้ำว่าฉันไม่ได้หูฝาดไปเอง พี่เจค... พี่เจคเรียกชื่อฉันจริงๆ
เสียงบรรเลงบทเพลง Classic จากวง orchestra ชื่อดังระดับโลกกำลังประสานเสียงจากเครื่องดนตรีหลากหลายชนิดขับกล่อมออกมาในบทเพลง 'Four Season'บทเพลงที่มีท่วงทำนองไพเราะที่ฟังกี่ครั้งก็ยังคงตราตรึงหัวใจคนฟัง เหล่าบรรดาคนดังของประเทศอเมริกา ทั้งนายแบบนางแบบชื่อดัง ทั้งเหล่าคณะรัฐมนตรี รวมไปถึงบรรดาไฮโซทั้งหลาย ต่างพร้อมใจกันมารวมตัว ณ Hall ขนาดใหญ่ที่จุคนได้นับหมื่น และหนึ่งในบรรดาคนดังเหล่านั้น ก็รวมถึงศาสตราจารย์ดอกเตอร์นายแพทย์เจคอป บดินพิทักษ์ นายแพทย์ชื่อดังที่พึ่งได้รับการยกย่องจากองกรค์แพทยสภาของอเมริกาให้เป็นนายแพทย์ผู้มากความสามารถซึ่งเป็นแกนนำหลักสำคัญในการพัฒนาวงการแพทย์ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น เพราะในช่วง 15 ปีนับตั้งแต่ที่เขากลับมาดูแลกิจการต่อจากผู้เป็นบิดา เขาก็ค่อยๆขยายสาขาไปจนครอบคลุมทั่วทุกรัฐในอเมริกา ทำให้ชื่อเสียงของเขากลายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วในฉายา'อาชาแห่งวงการแพทย์'ทั้งๆที่ได้รับเกียรติจากท่านคณะรัฐมนตรีกลาโหมโดยตรงสำหรับตั๋วที่นั่งชั้นลอยระดับวีไอพี แต่แขกคนสำคัญคนดังกล่าวกลับไม่ได้นั่งอยู่ในที่ที่ถูกจัดไว้ให้หลังม่านพลิ้วไหวบนชั้นลอยระดับวีไอพี ปรากฏร่างของชายหญิง
ตอนพิเศษเล็กๆเจคอปผละออกจากร่างบาง “แต่งตัวสิ”เขาลุกขึ้นจากเตียงพร้อมกับเดินไปหยิบเสื้อผ้าตัวใหม่ที่ดูเป็นทางการออกมาจากตู้เสื้อผ้า“จะไปไหนเหรอคะ” นาเดียเอ่ยถามด้วยความสงสัย มองแผ่นหลังที่กำลังยัดแขนลงไปในเสื้อเชิ้ต“กลับบ้านเดียไง” เขาพูดโดยไม่ได้หันมามองหน้าคนตัวเล็ก จึงไม่เห็นว่าร่างบางมีสีหน้าอึ้งกับคำพูดของเขาแค่ไหน แต่เขาก็พอจะเดาได้ จึงหันกลับมาทั้งที่ยังติดกระดุมไม่เสร็จ “ไปขอลูกสาวจากท่านทั้งสองไง” รอยยิ้มร้ายปรากฏบนใบหน้าคนสูงวัยเขาไม่มีเวลามากพอจะจัดพิธีรีตองอะไรมากมาย เพราะอีกไม่นานก็ต้องกลับอเมริกาแล้ว เขาอดใจรอที่จะบอกข่าวดีให้กับพ่อแม่ที่รออยู่ทางโน้นแทบไม่ไหว อายุจนปูนนี้แล้ว พึ่งจะรู้สึกอยากเลี้ยงลูก“ตอนนี้พี่อายุ 37 คงต้องรีบมีน้องอีกคนไวไวแล้วล่ะ เดี๋ยวแก่เกินจะเดินตามลูกไม่ทัน” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าร่างสูง แต่คนตัวเล็กกลับมีสีหน้าแดงก่ำกับคำพูดชวนทะลึ่ง“บะ บ้าเหรอคะ” นาเดียยิ้มจนแก้มแทบปริ ก่อนร่างกายจะถูกโอบอุ้มจนตัวลอยขึ้นจากพื้น เจคอปถูไถใบหน้ากับหน้าท้องแบนราบ ก่อนจะประทับจูบอย่างแผ่วเบา “ขอให้เป็นลูกสาวทีเถอะ”เจคอปค่อยๆวางคนตัวเล็กลงบนพื้นอย่างท
ย้อนกลับไปเมื่อราวสองเดือนก่อนหน้านี้…เจคอปรับสายจากทางไกล เป็นหมายเลขที่โทรมาจากอเมริกา“ครับป๊า”“ป๊ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับเจค ตอนนี้โรงพยาบาลที่อเมริกากำลังเกิดปัญหาอย่างหนัก ป๊าอยากให้ตาเจมส์หรือเจค เราคนใดคนหนึ่งกลับมาดูแลกิจการที่นี่ แต่ใจป๊าอยากให้ตาเจมส์เป็นคนกลับมา เพราะที่นี่ไม่ได้มีสาขามากมายเหมือนที่ประเทศไทย เจ้าคนเสเพลอย่างตาเจมส์คงจะจัดการได้ไม่เหนือบ่ากว่าแรง” เรื่องสำคัญจากปากคนเป็นพ่อทำให้ผมต้องชะงักฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินอยู่ อดนึกถึงน้องชายไม่ได้ จริงอย่างที่พ่อเขาว่า ที่ประเทศไทยมีโรงพยาบาลที่อยู่ใต้อาณัติของครอบครัวเขาอยู่ทั่วเกือบทุกจังหวัด ทำให้ปัญหาและภาระงานที่ต้องรับผิดชอบมีมากมายกว่าที่โน้นมากโข แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า...“แล้วเรื่องงานหมั้นระหว่างหนูมินกับตาเจมส์ไปถึงไหนแล้ว ป๊าอยากให้หมั้นเช้าแล้วก็แต่งเย็นไปเลยทีเดียว ตอนตาเจมส์กลับมาจะได้พาหนูมินกลับมาด้วย ซินดี้เขาคิดถึงหนูมินน่าดู” ในที่สุดคำถามที่ผมกลัวคนเป็นพ่อจะถามก็หลุดออกมาจนได้ ทั้งๆที่งานหมั้นระหว่างตาเจมส์กับยัยมินควรจะเสร็จลุล่วงเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว แต่เพราะปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้น ทำให้ยังคา
“อ๊ะ พะ... พี่เจค” ไม่ทันที่ร่างบางจะทันได้เอ่ยความใน ปากหนาก็ชิงประกบจาบจ้วงเอาทุกคำที่คิดว่าร่างบางจะเอ่ยคำปฏิเสธออกมา นาเดียเบิกตามองเขาด้วยความตื่นตะลึง เขาหมายความว่าอะไร เขารู้แล้วเหรอว่าเธอท้อง แต่เขาจะรู้ได้ยังไง“อื้มมม อ่ะ...พะ... อื้มมม” ครั้นจะส่งเสียงอะไรก็ตามที่คิดอยากจะพูด เจคอปจะคอยส่งลิ้นเข้าหาเพื่อห้ามปรามเธอเสียทุกครั้งไป จนร่างบางหมดความพยายามที่จะเอ่ยถามข้อสงสัย ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความสุขสมที่เขาปรนเปรอให้ มือเล็กที่เคยดันอยู่ตรงแผงอกเปลี่ยนไปโอบรอบลำคอของเขาเอาไว้ ท่าทางเหมือนจะไม่ได้ปฏิเสธเรื่องลูกของเขาทำให้นาเดียเกิดความหวังเล็กๆขึ้นในใจเจคอปหลับตาแน่นก่อนจะคำรามออกมาเบาๆเมื่อได้ปลดปล่อยน้ำเชื้อพันธุ์ดีเข้าสู่ร่างกายคนตัวเล็กสมดังตั้งใจ เขาแช่ร่างกายค้างไว้ในตัวเธอ หวังให้ลูกๆนับพันล้านตัววิ่งเข้าไปหาไข่ใบเล็กๆเพียงใบเดียวที่อยู่ในร่างกาย เขาตั้งใจจะผูกมัดเธอด้วยวิธีที่เห็นแก่ตัว โดยที่ไม่รู้เลยว่าเขาได้ทำสำเร็จไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ตั้งใจแล้ว“ถ้ามีเจคอปน้อยอยู่ในท้องเธอ เธอก็จะหนีพี่ไปไหนไม่ได้อีก” เขากระซิบความในใจแสนชั่วร้ายข้างใบหูคนตัวเล็ก และนั่นทำให้เธ
เปลือกตาปิดสนิทค่อยๆเปิดออก เผยให้เห็นแววตาที่สะท้อนแต่เพียงความเจ็บปวด เขายังไม่ได้หลับ เขาแค่รอดูว่ายัยตัวเล็กกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่เขารู้ตัวตั้งแต่ตอนที่เปิดตู้เสื้อผ้าแล้ว มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเสื้อผ้าของนาเดียหายไป เขาเหลือบมองไปยังโต๊ะก็พบว่าข้าวของต่างๆของเธอหายไปด้วย เธอกำลังคิดจะไปจากเขาบางทีการที่ต้องทนอยู่กับผู้ชายอารมณ์ร้อนอย่างเขามันคงทำให้เธอมีแต่ความทุกข์ บางทีสิ่งที่เขาพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองมาตลอดมันคงยังไม่ดีพอสำหรับเธอ บางทีความรักของเขามันคงไม่มีค่าพอจะเหนี่ยวรั้งเธอไว้บางที... เขาคงต้องปล่อยเธอไปเสียทีหัวใจดวงน้อยบีบรัดรุนแรงจนเกิดอาการเจ็บปวดรวดร้าว ภาพที่สะท้อนอยู่ในดวงตาพร่าเบลอเพราะเจ้าของดวงตามองมันผ่านม่านน้ำตาท้วมท้น นาเดียกวาดตามองไปรอบๆ คอนโดขนาดใหญ่ที่สร้างความทรงจำให้กับเธอมากมายทั้งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และคราบน้ำตา...หญิงสาวค่อยๆปิดเปลือกตาลง คล้ายจะเป็นการตัดใจจากผู้ชายอีกคนที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่ในห้อง มือเล็กเอื้อมไปจับลูกบิดประตูก่อนจะคาทิ้งไว้อย่างนั้นประตูบานเดียวกันนี้ที่เธอเคยเปิดมันออกเพื่อพาตัวเองออกไปจากห้องที่ไม่เคยอยากจะทนอยู่แม้
กิจวัตรยามเช้าระหว่างนาเดียกับเจคอปยังคงดำเนินไปตามปกติเหมือนเช่นทุกวัน เพียงแค่ไม่มีการสนทนาระหว่างทั้งคู่ไม่มีการเดินจับมือลงมาจากคอนโดไม่มีการจูบลาก่อนจะแยกกันไปทำงานไม่มีการส่งข้อความหาตลอดทั้งวันและไม่มีเธอหลงเหลืออยู่ในสายตาของเขาอีกแล้วก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูหน้าห้องทำงานของเจคอปดังขึ้น “เข้ามา”คำอนุญาตจากเจ้าของห้องทำให้คนที่อยู่ด้านนอกเปิดประตูเข้าไปด้านใน เจมส์มาร์มองพี่ชายของตัวเองกำลังง่วนอยู่กับเอกสารกองโต เจคอปยังอยู่ในสภาพเดิมเหมือนที่เขาแวะมาเมื่อตอนเช้าก่อนเข้าผ่าตัดไม่มีผิด และสภาพของผู้หญิงอีกคนที่เขาเห็นเมื่อสักครู่ ใบหน้าหมองเศร้าไม่ต่างกันเลย นี่คงจะยังไม่ได้ปรับความเข้าใจกันอีกสินะ“มีธุระอะไร” น้ำเสียงเย็นชาแบบที่อีกฝ่ายมักจะใช้เวลามีเรื่องทุกข์ใจหรืออยากซ่อนความรู้สึก มีหรือที่คนเป็นน้องอย่างเขาจะดูไม่ออก“เมื่อวานพี่คุยกับนาเดียรึยังครับ” เจมส์มาร์เอ่ยถามโดยไม่เกรงใจ เขานั่งลงโดยไม่รอให้คนตรงหน้าอนุญาต อยู่กับเจคอปมาร่วม 30 ปี พึ่งจะเคยเห็นพี่ชายมีความรัก แล้วน้องชายอย่างเขาจะยอมให้มันพังทลายลงเพียงเพราะความเย็นชาของคนตรงหน้าได้อย่างไร“ไม่มีอะไรต