LOGINซ่งหลานอินเห็นเวินจิ่งซีถูกตัวเองยั่วจนพูดไม่ออกอีกครั้ง ก็ลดท่าทีล้อเล่นลงเล็กน้อย กระแอมเบา ๆ แล้วทำสีหน้าจริงจัง“ตอนนี้ทางฉันยังไม่ได้รับข่าวร้าย อย่างน้อยก็ยืนยันได้ว่า ตอนนี้เสิ่นชิงซูยังมีชีวิตอยู่”“ยังมีชีวิตอยู่...” เวินจิ่งซีก้มหน้าลง “เธอยังมีชีวิตอยู่ แต่ถูกควบคุมตัวไว้ เลยติดต่อกับพวกเราไม่ได้ใช่ไหม?”“การไม่ติดต่อมาก็ถือเป็นเรื่องดี” ซ่งหลานอินพูด “ทำอาชีพอย่างพวกเรา ไม่มีข่าวก็คือข่าวดีที่สุด เท่าที่ฉันรู้ ภูมิหลังของจิ้นเชวี่ยซับซ้อนและยิ่งใหญ่ แต่เขาก็ไม่ได้ลงมือกับเด็กทั้งสองคนจริง ๆ นี่ก็เป็นข้อพิสูจน์ที่ดีว่า จิ้นเชวี่ยยังออมมือไว้”เวินจิ่งซีเงยหน้าขึ้นมองซ่งหลานอิน ครู่ต่อมาเขาจึงพูดว่า “คุณหมายความว่า จิ้นเชวี่ยมีใจให้อาซูจริง ๆ พอรู้ว่าอาซูให้ความสำคัญกับเด็กสองคนนี้มาก เลยใจอ่อนกับเด็กสองคนนี้ใช่ไหม?”“จะว่าใจอ่อนก็ได้ แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่าเขาจงใจเก็บเด็กสองคนนี้ไว้ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือข่มขู่ให้เสิ่นชิงซูยอมประนีประนอม”“ผมเข้าใจแล้ว” เวินจิ่งซีถอนหายใจเฮือกใหญ่ “อาซูต้องยอมประนีประนอมเพื่อเด็กสองคนแน่ สิ่งที่จิ้นเชวี่ยต้องการก็คือการยอมจำนนของอาซู”“ส
“คุณต้องไปแล้ว” เสิ่นชิงซูถอยหลังไปหนึ่งก้าว เชิดคางขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองเขา “ฟู่ซือเหยียน เสี่ยวอันหนิงมีพรสวรรค์ด้านดนตรี ถ้าในอนาคตลูกสนใจดนตรี คุณให้แม่บุญธรรมของฉันหาครูคนแรกให้ลูกก็ได้ เสี่ยวเนี่ยนอันชอบเลโก้กับรูบิก เขาเป็นเด็กฉลาดและใจเย็น ถ้าเขาอยากทำก็ส่งเสริมเขาได้...”“อาซู” ฟู่ซือเหยียนพูดขัดขึ้น ดวงตาที่เปียกชื้นจากน้ำตาจ้องมองเธอ “อย่าพูดเรื่องพวกนี้ อย่าสั่งเสีย”เสิ่นชิงซูยิ้มอย่างจนใจ “แค่เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น”“จะไม่มีกรณีฉุกเฉิน” ฟู่ซือเหยียนใช้สองมือประคองใบหน้าของเธอ ก้มลงจูบที่หน้าผาก “ผมเคารพการตัดสินใจของคุณ และขอให้คุณเชื่อใจผมกับองค์กรด้วย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ปกป้องตัวเองให้ดี รอพวกเราพาคุณกลับบ้านนะ!”เสิ่นชิงซูชะงักไปเล็กน้อย ประตูข้างหลังถูกเจียงหมี่รั่วทุบ“พี่ชิงซู พี่ไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ? พี่ไม่ได้เป็นลมไปใช่ไหม?”น้ำเสียงของเจียงหมี่รั่วร้อนรนเล็กน้อย ดูเหมือนว่ากวนเยว่จะเริ่มสงสัยแล้ว!ฟู่ซือเหยียนสวมหน้ากากอนามัย มองเสิ่นชิงซูเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังแล้วก้าวสองก้าวใหญ่ ๆ ปีนขึ้นไปบนห้องใต้หลังคาเสียงฝีเท้า ‘ตึง ตึง ตึง’ ดังขึ้นอ
“ที่คุณอาลี่พูด คุณไม่ต้องไปฟัง คิดถึงลูกทั้งสองคนสิ อาซู เด็ก ๆ ไม่มีพ่อก็ได้ แต่พวกเขาจะไม่มีแม่ไม่ได้”“ฟู่ซือเหยียน ฉันเป็นคนช่วยจิ้นเชวี่ยเอง”ฟู่ซือเหยียนชะงักไป“เมื่อเก้าปีก่อนในคืนนั้น ฉันได้เจอกับคุณ และก็ได้เจอกับจิ้นเชวี่ยด้วย เป็นฉันเองที่ช่วยเขาไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน เคออวี่หางก็อาจจะไม่ต้องตาย ฟู่ซือเหยียน เมื่อก่อนฉันเคยคิดมาตลอดว่านี่คือเคราะห์กรรมที่คุณเป็นคนนำมา จนกระทั่งจิ้นเชวี่ยบอกฉัน ว่าเป็นเพราะความใจดีอย่างโง่เขลาของฉันในคืนนั้น ที่สร้างปีศาจตนหนึ่งขึ้นมา...”ดวงตาทั้งสองข้างของฟู่ซือเหยียนแดงก่ำ จ้องมองเธอ “ไม่ใช่แบบนั้น ที่จิ้นเชวี่ยพูดไม่ต้องไปฟัง ที่อาลี่พูดก็ไม่ต้องไปฟังเหมือนกัน อาซู คุณก็คือตัวคุณเอง เป็นแม่ของลูกทั้งสองคน คุณต้องกลับไป กลับไปอยู่ข้าง ๆ ลูก...”“กลับไปไม่ได้แล้ว” เสิ่นชิงซูส่ายหน้าแล้วยิ้ม “ฟู่ซือเหยียน งานแต่งงานของจิ้นเชวี่ยต้องจัดขึ้นตามกำหนด มีเพียงจิ้นเชวี่ยตาย มีเพียงแผนการสำเร็จลุล่วง ลูก ๆ ของเราถึงจะปลอดภัย คุณเข้าใจไหม?”ลมหายใจของฟู่ซือเหยียนติดขัดเขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไรแต่การจะให้เขายืนมองเสิ่นชิงซูเสี่ยงอันตรายอยู่
ภายในห้องลองชุด เสิ่นชิงซู กอดชุดชั้นในวาบหวิวกองหนึ่งไว้ในอ้อมแขน ทั้งร่างแข็งทื่ออยู่กับที่ห้องลองชุดขนาดหนึ่งตารางเมตร คนเดียวก็ยังรู้สึกแน่นเกินไปแต่ห้องลองชุดนี้กลับเชื่อมต่อกับห้องใต้หลังคาด้านบน ซึ่งเป็นโกดังแห่งหนึ่งมีเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเสิ่นชิงซูเหมือนจะรู้สึกได้ จึงเงยหน้ามองไปร่างเงาสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าผู้ชายคนนี้ยังคงสวมชุดสีดำทั้งตัว หมวกแก๊ปสีดำถูกกดต่ำลงมาก ใบหน้าครึ่งซีกถูกหน้ากากอนามัยสีดำบดบังไว้ มีเพียงดวงตาเรียวยาวและล้ำลึกเท่านั้นที่เปิดเผยอยู่ด้านนอกเขาขายาว การลงมาจากบันไดไม้แบบหมุน ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ในแค่สองก้าวเท่านั้นทันทีที่เขาปรากฏตัว เสิ่นชิงซูก็เข้าใจเจตนาของเจียงหมี่รั่วเธอมองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างเหม่อลอยชั่วขณะหนึ่ง เวลาราวกับหยุดนิ่งไปแล้วเขายังคงแต่งกายแบบโม่ไป๋เธอรู้ว่า ฟู่ซือเหยียนยังคงเป็นได้แค่คนที่ตายไปแล้วสำหรับโลกภายนอกทว่า เธอไม่รู้ว่า การที่เขาแต่งตัวเป็นโม่ไป๋มาเจอเธอ หมายความว่าอย่างไร?อาลี่ไม่ได้บอกเขาเหรอว่า เธอรู้แล้ว?ทั้งสองจ้องมองกันอย่างเงียบงันต่างคนต่างมีความคิดอยู่ในใจในที่สุด ก็เป็น
ในที่สุดจิ้นเชวี่ยก็รับปากเสิ่นชิงซูแต่มีข้อแม้คือ ต้องรอให้สภาพร่างกายและจิตใจของเธอฟื้นตัวดีขึ้นอีกหน่อยอีกทั้งต่อให้ออกไปข้างนอก ก็ต้องมีคนติดตามเสิ่นชิงซูด้วยเสิ่นชิงซูไม่เต็มใจให้หวังชุนเหมยตามไปด้วยเจียงหมี่รั่วจึงเสนอตัวเสิ่นชิงซูจำใจรับปากสามวันต่อมา เจียงหมี่รั่วออกไปข้างนอกเป็นเพื่อนเสิ่นชิงซูจุดหมายคือห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดใจกลางเซิ่งตูวันนั้นจิ้นเชวี่ยมีธุระสำคัญรัดตัว ไม่สามารถไปเป็นเพื่อนได้ จึงให้กวนเยว่พาคนกลุ่มหนึ่ง แต่งชุดลำลองออกไปข้างนอก คอยคุ้มกันเสิ่นชิงซูกับเจียงหมี่รั่วอย่างเงียบ ๆเมื่อมาถึงห้างสรรพสินค้า เสิ่นชิงซูกับเจียงหมี่รั่วก็ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นสาม โซนเสื้อผ้าเจียงหมี่รั่วอยากดูเสื้อผ้าเด็กเสิ่นชิงซูถูกเธอลากให้เดินดูด้วยกันกวนเยว่กับชายอีกสองสามคนในชุดลำลอง มองพวกเธออยู่ตลอดในระยะไม่ใกล้ไม่ไกลเจียงหมี่รั่วเลือกเสื้อผ้าเด็กทารกมาสองสามชุด ให้เสิ่นชิงซูช่วยตนออกความเห็น“พี่ชิงซู พี่ว่าชุดไหนดีกว่ากัน?”เสิ่นชิงซูมองเสื้อผ้าเล็ก ๆ เหล่านี้ ในใจก็อ่อนโยนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้เธอนึกถึงลูกทั้งสองคนอีกครั้ง“รู้เพศลูกไหม?” เสิ
“แค่ควบคุม” เสิ่นชิงซูจ้องเขา “แต่รักษาไม่หาย ใช่ไหม?”จิ้นเชวี่ยเม้มปากไม่พูดอะไร“ช่างเถอะ” เสิ่นชิงซูยกมือขึ้นนวดขมับที่ปวดเล็กน้อย “ฉันอยากดื่มน้ำหน่อย”“ได้”จิ้นเชวี่ยลุกขึ้นไปรินน้ำทันทีเขายกถ้วยน้ำด้วยมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งประคองเสิ่นชิงซูขึ้น ให้เสิ่นชิงซูพิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาเสิ่นชิงซูไม่อยากพิงเขา แต่ร่างกายไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อยจริง ๆจิ้นเชวี่ยกลัวเธอสำลัก จึงนำหลอดมาให้เป็นพิเศษเสิ่นชิงซูดื่มน้ำไปสองสามอึก คอที่แห้งคันจึงรู้สึกสบายขึ้นมาก“ฉันอยากกินโจ๊กหน่อย” เสิ่นชิงซูขอขึ้นมาอยากกินอาหารเป็นเรื่องที่ดีจิ้นเชวี่ยปล่อยเธอกลับไปบนเตียง ลุกขึ้นวางแก้วน้ำไว้บนโต๊ะ “ผมจะให้ป้าหวังต้มโจ๊กเปล่าให้”“จิ้นเชวี่ย ฉันอยากออกไปเดินหน่อย”“คุณเพิ่งดีขึ้น ไม่ควรโดนลม”“ไม่ใช่ตอนนี้” เสิ่นชิงซูมองเขา น้ำเสียงราบเรียบ “ฉันหมายถึง ฉันอยากออกไปเดินข้างนอก ไปเดินเล่นไปชอปปิงก็ได้ แค่ไม่อยากถูกขังอยู่ในห้องแบบนี้ทั้งวัน”จิ้นเชวี่ยจ้องเธอ แววตาไม่ชัดเจน “ที่นี่ไม่เหมือนในประเทศ ไม่ได้ปลอดภัยขนาดนั้น”“คุณส่งคนติดตามฉันไปก็ได้” เสิ่นชิงซูมีสีหน้าแน่วแน่ “บางทีฉันอาจ







