เมื่อผ่านไปสองสามวันหลังจากที่เราอยู่ด้วยกันมา,นี่ก็เข้าสัปดาห์แรกแล้วที่มะลิมาอยู่ที่นี่เต็มตัว และภพก็ได้รู้อีกเรื่อง—มะลิมักนอนละเมอในยามค่ำคืน เสียงกระซิบสะอื้นแผ่วเบาในความมืดทำให้เขานอนไม่เต็มตา ทำให้ต้องอยู่รอจนกว่ามะลิจะสงบและเลิกละเมอ ขอบตาของภพคล้ำลงจนป้าแม่บ้านยังอดทักไม่ได้ “คุณภพ ไปทำอะไรมาคะ หน้าตาโทรมเชียว” ภพยิ้มบาง ๆ ตอบแค่สั้น ๆ “นอนดึกนิดหน่อยครับป้า ไม่เป็นไร” วันนี้มะลิไม่ได้ออกไปทำงาน อยู่บ้านคนเดียวอย่างเงียบ ๆ ป้าแม่บ้านติดธุระไม่อยู่ มะลินั่งเล่นอยู่ห้องรับแขกคนเดียว เสียงนาฬิกาในบ้านดังเป็นจังหวะนิ่งสงบ ภพออกไปดูงานที่อำเภอข้างเคียง ปล่อยบ้านไว้ในความเงียบ เมื่อสาย ๆ มีพัสดุจ่าหน้าชื่อมะลิมาส่ง มะลิเปิดกล่องอย่างสงสัย ก่อนจะชะงักตาค้าง ภายในกล่องมีซากหนอนตาย แมลงสาบแห้งกรัง และซากหนูเน่าเปื่อย กลิ่นเหม็นตีขึ้นจนมะลิหน้าซีด “กรี๊ดดดด” ร่างบางกรีดร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ กล่องหล่นกระแทกพื้น ตาว ลูกน้องคนสนิทของภพที่ทำงานอยู่ไม่ไกล ได้ยินเสียงรีบวิ่งมา ทว่าไม่เจอใคร เห็นแค่กล่องที่หล่นอยู่หน้าบ้าน เขารีบโทรรายงานภพทันที “นายครับ มีเรื่องแล้วค
“แม่เลี้ยงเหรอ… พ่อพา ‘อีนั่น’ เข้ามาในบ้านของแม่!?” เสียงมะลิแหลมสูงขึ้น “นี่มันบ้านของหนูกับแม่นะ!!” ปลายเสียงสั่นสะท้านด้วยทั้งความตกใจและโทสะ ดวงตาเรียวยาวเต็มไปด้วยน้ำใสวาววับ สะท้อนเงาของชายวัยกลางคนตรงหน้าอย่างไม่ยอมแพ้ “ใจเย็นก่อนลูก—” “ไม่! หนูไม่ใจเย็น! แล้วนั่นใครอีกคน!? จันทร์เจ้าใช่ไหม!? จันทร์เจ้า! เพื่อนที่เคยหักหลังหนูตอนมัธยมไงพ่อจำไม่ได้เหรอ!?” เขาหันขวับไปมองหญิงสาวหน้าหวานที่ยืนกอดอกอย่างไม่สะทกสะท้านตรงมุมบันได “อ้าว…มะลิจำกันได้ด้วยเหรอคะ ดีใจจังเลย” จันทร์เจ้าเอ่ยยิ้มๆ แต่แววตากลับเต็มไปด้วยแววเยาะหยันแสนเยือกเย็น “อย่ามาเรียกกูแบบนั้น! พ่อ! พ่อไล่พวกนี้ออกไปเลยนะ! บ้านนี้ของแม่! ของหนู! ไม่ใช่ของผู้หญิงที่พ่อไปรับมาจากไหนก็ไม่รู้!” “พอแล้วมะลิ!” เสียงเจ้าสัววิรัตน์ตวาดลั่น ทำให้ทุกอย่างรอบตัวเงียบสนิทลงในชั่วพริบตา มะลิชะงัก น้ำตาหยดหนึ่งกลิ้งผ่านแก้ม เจ้าสัวหายใจแรง ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “ลูกกลับมาเมืองไทยทั้งที พ่อก็ดีใจนะ แต่ลูกกลับอคติแบบนี้ พ่อผิดหวังมาก จันทราเขากลับตัวได้แล้ว ลูกควรปล่อยวางและมองปัจจุบัน” “ควรปล่อยวางงั้นหรอ” มะลิห
ช่วงเย็น แสงสีส้มอ่อนทอดผ่านหน้าต่างบานใหญ่ของห้องนอน เสียงจิ้งหรีดเริ่มขับขานเป็นจังหวะคล้ายกล่อมโลกให้หลับใหล ภายในห้องนอนชั้นสอง เตียงไม้สักหลังใหญ่ปูผ้าปูเตียงลายเรียบสะอาดตา กลับดูแคบลงทันทีเมื่อมีคนสองคนนั่งอยู่ปลายเตียง — มะลิและภพ มะลินั่งกอดเข่ามองออกนอกหน้าต่าง เธอรู้สึกอึดอัดกับการต้องใช้ห้องนอนเดียวกัน แม้เตียงจะใหญ่แต่ความใกล้ชิดระหว่างเธอกับเขาทำให้รู้สึกไม่สบายใจ ภพวางหมอนอีกใบลงเบาๆ แล้วหันมามองมะลิ “ช่วงนี้เรียนเป็นไงบ้าง สบายดีใช่ไหม?” เสียงของเขาไม่ได้เร่งเร้า แต่เต็มไปด้วยความห่วงใย มะลิหันมามองเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะตอบสั้นๆ “ก็เรื่อย ๆ ค่ะ” “เพื่อน ๆ ล่ะ?” “…ก็มีบ้าง” ภพยิ้มจาง ๆ เขารู้ว่าเธอยังไม่เปิดใจ ก็ไม่คิดจะบังคับอะไรอีก “งั้นก็นอนได้เลยนะ ถ้าง่วง พรุ่งนี้ตื่นเช้าเดี๋ยวพี่จะออกไปดูสวนแต่เช้า” มะลิไม่ตอบอะไร เธอเพียงล้มตัวลงนอน หันหลังให้ชายหนุ่ม ปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมทั่วห้อง ไม่ทันถึงสิบนาที เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเธอก็ดังขึ้นบ่งบอกว่าเธอหลับไปแล้ว ภพมองแผ่นหลังเล็ก ๆ นั้นเงียบ ๆ ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างซึมลึกในใจเขา —
เมื่อผ่านไปสองสามวันหลังจากที่เราอยู่ด้วยกันมา,นี่ก็เข้าสัปดาห์แรกแล้วที่มะลิมาอยู่ที่นี่เต็มตัว และภพก็ได้รู้อีกเรื่อง—มะลิมักนอนละเมอในยามค่ำคืน เสียงกระซิบสะอื้นแผ่วเบาในความมืดทำให้เขานอนไม่เต็มตา ทำให้ต้องอยู่รอจนกว่ามะลิจะสงบและเลิกละเมอ ขอบตาของภพคล้ำลงจนป้าแม่บ้านยังอดทักไม่ได้ “คุณภพ ไปทำอะไรมาคะ หน้าตาโทรมเชียว” ภพยิ้มบาง ๆ ตอบแค่สั้น ๆ “นอนดึกนิดหน่อยครับป้า ไม่เป็นไร” วันนี้มะลิไม่ได้ออกไปทำงาน อยู่บ้านคนเดียวอย่างเงียบ ๆ ป้าแม่บ้านติดธุระไม่อยู่ มะลินั่งเล่นอยู่ห้องรับแขกคนเดียว เสียงนาฬิกาในบ้านดังเป็นจังหวะนิ่งสงบ ภพออกไปดูงานที่อำเภอข้างเคียง ปล่อยบ้านไว้ในความเงียบ เมื่อสาย ๆ มีพัสดุจ่าหน้าชื่อมะลิมาส่ง มะลิเปิดกล่องอย่างสงสัย ก่อนจะชะงักตาค้าง ภายในกล่องมีซากหนอนตาย แมลงสาบแห้งกรัง และซากหนูเน่าเปื่อย กลิ่นเหม็นตีขึ้นจนมะลิหน้าซีด “กรี๊ดดดด” ร่างบางกรีดร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ กล่องหล่นกระแทกพื้น ตาว ลูกน้องคนสนิทของภพที่ทำงานอยู่ไม่ไกล ได้ยินเสียงรีบวิ่งมา ทว่าไม่เจอใคร เห็นแค่กล่องที่หล่นอยู่หน้าบ้าน เขารีบโทรรายงานภพทันที “นายครับ มีเรื่องแล้วค
บ่ายวันนั้น แดดร้อนจัด ภพวางถังน้ำลงแล้วหันมาหามะลิ “มะลิ เดี๋ยวช่วงบ่ายพี่ต้องไปทำงานในสำนักงานนะครับ” เขาถอดหมวกแล้วปาดเหงื่อ “ตรงนี้ช่วยจัดการต่อเองได้ไหม?” มะลิมองหน้าเขานิ่ง ๆ ไม่ตอบ ภพยิ้มบาง “ไม่ยากหรอก แค่เก็บทุเรียนที่สุก แล้วเอาไปไว้ใต้โรงเรือน พี่กลับมาจะช่วยชั่งน้ำหนักต่อ” “…อืม” เธอพยักหน้าสั้น ๆ ภพวางมือบนบ่ามะลิแผ่วเบา “ถ้ามีอะไรเรียกป้าไพรหรือคนสวนได้เลยนะครับ พี่ไปแค่แป๊บเดียว” เขาเดินออกไป มะลิเหลือบมองแผ่นหลังเขาเงียบ ๆ อีกมุมของสวน กลุ่มคนงานชายสองคนยืนพักอยู่ใต้ร่มไม้ คนหนึ่งยกน้ำขึ้นดื่ม อีกคนกระซิบเบา ๆ “นั่นลูกสาวเจ้านายที่เพิ่งมาน่ะเหรอ?” เขาพยักเพยิดไปทางมะลิที่กำลังยืนถือไม้สอยอยู่คนเดียว “เออ ใช่ ได้ยินว่าพ่อเขาทิ้งนะ ถึงได้โดนส่งมานี่” “จริงดิ?” “จริงสิวะ เห็นว่าไม่ใช่แค่ทิ้งเฉย ๆ ยังให้ทำงานอีก สงสัยทำงานใช้หนี้” อีกคนถอนหายใจ “ชีวิตคุณหนูนี่มันกลับตาลปัตรดีแท้ เมื่อก่อนเห็นแต่ภาพสวยหรูในข่าว ตอนนี้ต้องมายืนเก็บทุเรียน” “พ่อแม่รวยก็ใช่ว่าจะรักลูกเสมอไป” ทั้งคู่หัวเราะเบา ๆ มะลิยืนนิ่งอยู่ไม่ไกล เสียงพูดคุยแว่วเข้าหูชัดเ
ช่วงเย็น แสงสีส้มอ่อนทอดผ่านหน้าต่างบานใหญ่ของห้องนอน เสียงจิ้งหรีดเริ่มขับขานเป็นจังหวะคล้ายกล่อมโลกให้หลับใหล ภายในห้องนอนชั้นสอง เตียงไม้สักหลังใหญ่ปูผ้าปูเตียงลายเรียบสะอาดตา กลับดูแคบลงทันทีเมื่อมีคนสองคนนั่งอยู่ปลายเตียง — มะลิและภพ มะลินั่งกอดเข่ามองออกนอกหน้าต่าง เธอรู้สึกอึดอัดกับการต้องใช้ห้องนอนเดียวกัน แม้เตียงจะใหญ่แต่ความใกล้ชิดระหว่างเธอกับเขาทำให้รู้สึกไม่สบายใจ ภพวางหมอนอีกใบลงเบาๆ แล้วหันมามองมะลิ “ช่วงนี้เรียนเป็นไงบ้าง สบายดีใช่ไหม?” เสียงของเขาไม่ได้เร่งเร้า แต่เต็มไปด้วยความห่วงใย มะลิหันมามองเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะตอบสั้นๆ “ก็เรื่อย ๆ ค่ะ” “เพื่อน ๆ ล่ะ?” “…ก็มีบ้าง” ภพยิ้มจาง ๆ เขารู้ว่าเธอยังไม่เปิดใจ ก็ไม่คิดจะบังคับอะไรอีก “งั้นก็นอนได้เลยนะ ถ้าง่วง พรุ่งนี้ตื่นเช้าเดี๋ยวพี่จะออกไปดูสวนแต่เช้า” มะลิไม่ตอบอะไร เธอเพียงล้มตัวลงนอน หันหลังให้ชายหนุ่ม ปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมทั่วห้อง ไม่ทันถึงสิบนาที เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเธอก็ดังขึ้นบ่งบอกว่าเธอหลับไปแล้ว ภพมองแผ่นหลังเล็ก ๆ นั้นเงียบ ๆ ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างซึมลึกในใจเขา —
“แม่เลี้ยงเหรอ… พ่อพา ‘อีนั่น’ เข้ามาในบ้านของแม่!?” เสียงมะลิแหลมสูงขึ้น “นี่มันบ้านของหนูกับแม่นะ!!” ปลายเสียงสั่นสะท้านด้วยทั้งความตกใจและโทสะ ดวงตาเรียวยาวเต็มไปด้วยน้ำใสวาววับ สะท้อนเงาของชายวัยกลางคนตรงหน้าอย่างไม่ยอมแพ้ “ใจเย็นก่อนลูก—” “ไม่! หนูไม่ใจเย็น! แล้วนั่นใครอีกคน!? จันทร์เจ้าใช่ไหม!? จันทร์เจ้า! เพื่อนที่เคยหักหลังหนูตอนมัธยมไงพ่อจำไม่ได้เหรอ!?” เขาหันขวับไปมองหญิงสาวหน้าหวานที่ยืนกอดอกอย่างไม่สะทกสะท้านตรงมุมบันได “อ้าว…มะลิจำกันได้ด้วยเหรอคะ ดีใจจังเลย” จันทร์เจ้าเอ่ยยิ้มๆ แต่แววตากลับเต็มไปด้วยแววเยาะหยันแสนเยือกเย็น “อย่ามาเรียกกูแบบนั้น! พ่อ! พ่อไล่พวกนี้ออกไปเลยนะ! บ้านนี้ของแม่! ของหนู! ไม่ใช่ของผู้หญิงที่พ่อไปรับมาจากไหนก็ไม่รู้!” “พอแล้วมะลิ!” เสียงเจ้าสัววิรัตน์ตวาดลั่น ทำให้ทุกอย่างรอบตัวเงียบสนิทลงในชั่วพริบตา มะลิชะงัก น้ำตาหยดหนึ่งกลิ้งผ่านแก้ม เจ้าสัวหายใจแรง ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “ลูกกลับมาเมืองไทยทั้งที พ่อก็ดีใจนะ แต่ลูกกลับอคติแบบนี้ พ่อผิดหวังมาก จันทราเขากลับตัวได้แล้ว ลูกควรปล่อยวางและมองปัจจุบัน” “ควรปล่อยวางงั้นหรอ” มะลิห