Home / LGBTQ+ / จะลูปไหนก็รักเธอ / บทที่ 20 ท่ามกลางสงครามกลางเมือง

Share

บทที่ 20 ท่ามกลางสงครามกลางเมือง

Author: Me.Daisy
last update Last Updated: 2025-03-06 19:05:05

              เขียนโดยฮาริส  เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน

              ผมขึ้นรถจิ๊บที่เจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้  จำใจทิ้งครอบครัวไว้เบื้องหลัง  ครอบครัวเราไม่อาจรอดไปได้  หากประชาชนส่วนใหญ่ของนาดายังรอดไม่ได้  ภายในรถเจอแต่คนที่คุ้นหน้ากัน  พวกเขาทำสีหน้าเคร่งขรึม  มีความรู้สึกหลายอย่างปะปนกัน

              ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็น  ดวงอาทิตย์ใกล้ตกดินเข้าทุกที  รถเราแล่นผ่านตึกสีส้มหลายขนาด  ทั้งบ้านคน  ทั้งร้านค้า  และกลิ่นเมืองที่ผมคุ้นเคย  สิ่งนี้ทำให้จิตใจสงบ  ขัดกับความตึงเครียดที่เรากำลังเผชิญ

              เสียงระเบิดดังกึกก้องข้างหลังรถที่เราผ่านมา  ผมหันไปดูอย่างใจหาย  ใจเต้นโครมครามเมื่อนึกสงสัยว่า  ที่ตรงนั้นเป็นบ้านใคร  ครอบครัวใคร  และพวกเขาจะปลอดภัยไหม

              “เราจะถึงสนามบินในอีกสิบนาที”

              คนขับเอ่ยทำลายความเงียบ  ผมกระวนกระวายหนักกว่าเดิม

              บอกความจริงก็ได้  เพราะผมกลัวความเร็ว

              “พวกเราจะไปไหนกัน  เรายังมีที่หลบภัยที่ไหนอีก”

              ผมถามเหล่าผู้นำของนาดา  กลบเสียงสั่นไว้จนมิด

              “ผมแจ้งท่านไม่ได้  แต่ในฐานะวิศวกร  ผมเตรียมแผนการไว้แล้ว”

              “หากเราตาย  กองกำลังของฝ่ายตรงข้ามจะเข้ามายึดเมือง  ยึดช่องโทรทัศน์  เพื่อทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในพวกเขา  แล้วเราก็จะไม่สามารถปลดแอกได้ตลอดการ”  นายทหารชั้นนายพลเอ่ย  หากคุณจำได้  เขาชื่อซากีฟ  “นอกจากชีวิตพวกเราแล้ว  ช่องทีวีก็เป็นสถานที่ๆ ต้องตรึงกำลังไว้ให้นานที่สุด”

              “เรามีอินเตอร์เน็ตใช้  นี่คือแต้มบวกนาดา  ใครก็เป่าหูประชาชนเราไม่ได้”  ผมแย้งเขา  “แม้ว่าผมจะไม่ได้เป็นผู้นำ  แต่ประชาชนของเราต้องมีสิทธิมีเสียงในการปกครองประเทศตนเอง”

              “ใช่ครับ  ไม่นานมานี้  ชาวนาดาร่วมกันโหวตเพื่อให้ประเทศของเราปลดแอก  และแสดงเจตจำนงทางการเมือง  ว่าอยากให้เราเป็นประชาธิปไตยแบบเสรี  ทำการค้าภายใต้กฎหมายและจริยธรรมของนานาชาติ”

              ไม่ทันไร  โดรนบินเข้ามาในเมืองเรา  ใครจะส่งคนเป็นๆ เข้ามาเสี่ยง  มีแต่เสียเลือดเนื้อเปล่าๆ โดรนพวกนั้นเล็งปืนกลมาที่เรา 

              แล้วก็ยิง!

              กระสุนพุ่งมาที่เราอย่างแม่นยำ  แต่ไม่มีใครเป็นอะไร  เพราะกระจกกันกระสุน

              แน่นอน  อย่ามาดูถูกนาดา 

              อันที่จริง  เขาจะยิงปืนที่ได้ผลกว่านี้ก็ได้  หรือระเบิดปรมาณูก็ได้  แต่ใครจะอยากสร้างบ้านขึ้นมาใหม่  หรือต้องเจอกับกากกัมมันตรังสีที่เป็นพิษไปทั่งประเทศ  อย่างน้อยๆ เขาต้องทำให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด  แต่ได้ผลมากที่สุด  นั่นก็คือ ฆ่าผู้นำอย่างพวกเรา

              เสียงรถเหยียบคันเร่งสุดฝีเท้าดังตามหลังเรามา  เป็นรถ   จิ๊บอีกคันที่ติดอาวุธ  เขาเล็งปืนมาที่ล้อรถเรา  แต่โชคดีที่พลขับมีฝีมือ  เขาตวัดพวงมาลัยเลี้ยวเข้าซอย  จนรถเอียงกระเท่เร่  พวกเราไหลไปกองมุมซ้ายของรถ  แล้วเขาก็เลี้ยวแรงๆ อีกหลายครั้ง  พวกเราถูกบดขยี้เหมือนปลากระป๋อง  หลายคนในรถทำหน้าอยากอาเจียน 

              ดริฟต์รถอยู่ได้  แม่งเอ้ย 

              ผมได้แต่สบถในใจ  ไม่กล้าเอ่ยคำไม่สุภาพต่อหน้าคนอื่น

              จากนั้น  เราสะบัดเขาได้สำเร็จ

              หลังจากที่เรากำลังสบายใจอยู่บนรถจิ๊บ  ที่ใกล้ถึงสนามบินเข้าทุกที  รถจิ๊บของศัตรูเมื่อครู่  จอดดักหน้าเราอยู่ในตอนนี้

              “แย่แล้ว”  ผมจับสร้อยคอ  เป็นจี้รูปครอบครัวที่ผมติดตัวมา

              “ผมยังตายไม่ได้  ใครจะดูแลกองทัพ”  นายพลซากีฟเอ่ยขึ้น  เขาควรสงบเย็นกว่านี้  ไม่ใช่ให้ผมต้องปลอบ

              “คนขับ  ไปอีกทาง”

              วิศวกรตะโกนสั่ง  พลขับเลี้ยวออกจากสนามบินเข้าทุกที 

              นี่เขาจะไปไหน

              หรือว่า...

              อะไรดีนะ  ผมก็ยังเดาไม่ออกอยู่ดี

              เราจอดรถ  แล้ววิศวกรก็นำทางเราเข้าไปในฐานทัพลับที่อยู่แถวนั้น  มีตาข่ายคลุมฐานทัพลับเอาไว้อย่างแนบเนียน  มองจากไกลๆ จะดูไม่ออกว่าที่นี่มีสิ่งก่อสร้างอยู่  เราเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว  แล้วรถก็ขับออกไป 

              ห่างกันราวหนึ่งกิโลเมตร  รถคันนั้นก็โดนยิงขีปนาวุธ  พลขับเสียชีวิตในทันที

              ฝ่ายศัตรูเตรียมส่องทางดาวเทียมเพื่อหาที่หลบซ่อนของเรา  เขาทราบเพียงแต่ว่าเราเข้าไปหลบที่ไหนสักแห่ง  แต่ไม่ได้บินออกนอกประเทศ

              ดาวเทียมหาฐานทัพลับไม่เจอ  เพราะฐานทัพลับของเราถูกซ่อนจากสายตามนุษย์  และสายตาของเอไอ  แม้แต่ดาวเทียมก็ไม่อาจหาเราเจอได้

              เราทั้งสิบคนถอนหายใจอยู่ในฐานทัพลับ  ก่อนที่นายทหารคุ้มกันจะยกปืนขึ้นจ่อศีรษะผม 

              “พวกเราไม่อยากแยกประเทศ  เราอยากอยู่กับประเทศเดิม  แกไปตายซะ”

              นายตำรวจเห็นดังนั้น  จึงใช้ตอนที่เขาเผลอ  หักข้อมือเขา  จนทำปืนในมือหลุด  นายทหารใจกล้าถูกสิบรุมหนึ่ง  แต่ต้องขอบอกว่า  พวกเราไม่ได้ได้เปรียบขนาดนั้น  เพราะพวกเราก็อายุมากแล้ว  ส่วนเขาดูเหมือนเพิ่งยี่สิบกว่าๆ เท่านั้นเอง

              ผมเตะตัดขาเขา  แต่นายทหารกระโดดหลบ  แล้วอัดผมเข้าที่ช่องท้อง  ผมกลิ้งลงกับพื้น  ก่อนที่จะมีคนยื่นมือมาช่วย

              เกือบไปแล้วไหมละ  ผมถนัดแต่ใช้แป้นคีย์บอร์ด  ไม่ใช่กำปั้นสักหน่อย

              “เดี๋ยวก่อน”  ผมขอร้อง  “ผมอยากคุยกับเขา”

              เขาหยิบมีดพกออกมา  ทำท่าเตรียมกระโจนใส่คนที่พุ่งหาเขาเป็นคนแรก 

              “ฉันไม่คุย  พวกแกต้องตายกันทุกคน”

              “นายรู้ไหมทำไมเราต้องปลดแอก”   ผมถามเขา  น้ำเสียงสงบเย็น  เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่อาจชนะพวกเราได้แน่

              “มันก็ดีอยู่แล้ว  ทำไมแกต้องทำให้เกิดสงครามกลางเมือง  ทำให้หลายบ้านต้องเสียสมาชิกในครอบครัวไปด้วย”

              “เพราะเราถูกเอาเปรียบ  เขาทำกับเราเหมือนประชาชนชั้นสอง  เขาปล่อยให้คนกลุ่มนั้นมีสิทธิมีเสียงก่อนพวกเราทุกครั้ง  ถ้าเรายอม  เราจะตกเป็นเบี้ยล่าง  ถูกล้างสมองว่าเราไม่มีภูมิหลังอันน่าภาคภูมิใจ  ไม่ได้รับการยอมรับ  และสิทธิอันชอบธรรมของเราจะค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา”

              “ไม่จริง  แกโกหก”

              “นายรู้ไหมว่าทำไมเขาถึงสนใจนาดา  จนอยากได้เป็นเมืองขึ้น”

              “ทำไม”

              “เพราะแต่ก่อนเรามีบ่อน้ำมัน  แต่ตอนนี้บ่อน้ำมันหมดไป  ไม่มีใครอยากมาลงทุนในนาดาอีก  แล้วพวกเขารู้ทั้งรู้ว่าวันหนึ่งน้ำมันจะหมด  แต่ไม่ได้เตรียมการอะไรไว้เลย  เพราะอะไรรู้ไหม  เพราะเขาไม่แคร์ยังไงล่ะ

              แต่พวกเราในที่นี่ทุกคนแคร์  เราหาทางทำให้นาดากลับมามีกินมีใช้อีกครั้ง” 

              “ด้วยอินเตอร์เน็ต  ที่แกภาคภูมิใจนะเหรอ”

              “ไม่  แต่ก็ใช่นั่นแหละ  เราต้องหาจุดแข็งให้ตัวเอง  ต้องทำให้นาดาทำเงินได้ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารคือทางออก” 

              ผมยื่นมือออกไป 

              “มาสร้างประเทศของเรากันเองเถอะ”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • จะลูปไหนก็รักเธอ   บทที่ 29 เมื่อแสวงหารักที่ดีได้แล้ว(ตอนจบ)

    เขียนโดยเพนนี หลังจากนั้น 4 เดือน ลูปที่ 6 ฉันพาแกรมม่ามาที่ห้องพักบ่อยครั้ง พวกเราค่อนข้างหวานแหวว ตัวติดกันจนแทบจะแยกไม่ออก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันรู้สึกเปลี่ยนไปตั้งแต่มีเธอ นั่นคือ… อ้อยอิ่ง หุ่นยนต์แม่บ้านเอไอทำตัวแปลกออกไป อย่างที่ฉันสงสัยมาเสมอ ว่าเธอถูกใส่โปรแกรมให้รักเจ้านายเข้าไปด้วย หรือไม่วิวัฒนาการก็ทำให้เธอมีอารมณ์เหมือนมนุษย์ อ้อยอิ่งไม่ฮัมเพลงเวลาทำกับข้าว อ้อยอิ่งไม่รีบมาเวลาฉันเรียก และอ้อยอิ่งประชดประชันฉันบ่อยขึ้น “หุ่นยนต์เอไอ” ฉันเรียกเธอ “ค่ะ เจ้านาย” แทนที่จะต่อปากต่อคำให้ฉันเรียกชื่อเหมือนอย่างเคย แต่เธอกลับตอบรับอย่างไม่มีชีวิตชีวา “งอนเหรอ” “หุ่นยนต์ไม่สามารถมีความรู้สึกได้ นอกจากยินดีทำตามคำสั่งค่ะ และอ้อยอิ่งก็เป็นแค่หุ่นยนต์” ฉันต้องแคร์ไหมเนี่ย เอา ก็ได้วะ “ขอบคุณอ้อยอิ่งมาก ที่ทำงานรับใช้ฉันอย่างดีเสมอมา” ฉันไม่รู้จะจบประโยคนี้ได้อย่

  • จะลูปไหนก็รักเธอ   บทที่ 28 แล้วครอบครัวที่หายไปก็กลับมา

    เขียนโดยนิวตัน เมื่อ 16 ปีก่อน พ่อแม่ของเรามาที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าบ่อยๆ จนพี่เพนนีจำหน้าพ่อกับแม่ได้ เธอจะยิ้มกว้างทุกครั้งที่เห็นพวกท่าน เพราะท่านจะเข้ามาพูดคุยกับเด็กๆ ไม่เว้นแม่แต่กับเธอ เด็กในนี้จะโหยหาความรัก และอยากให้คนมาสนใจ อันที่จริง เพราะอยากจะมีโอกาสได้คุยกับพี่เพนนีด้วย แต่ไม่อยากให้มันโจ่งแจ้งนัก กระทั่งพ่อกับแม่เป็นห่วงพี่เพนนีมาก จนแม่ต้องร้องไห้ทุกคืน “เดี๋ยวผมจะไปอยู่กับพี่เพนนีเองครับ” ผมอาสา “เราเสียลูกสาวให้ส่วนรวมไปแล้ว ยังต้องเสียลูกชายไปด้วยเหรอคะคุณ” แม่ทำตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้ “ผมจะดูแลพี่เพนนี จะเอ็นเตอร์เทนจนพี่ต้องร้องขอพัก” ผมหัวเราะคิกคัก “ผมจะเล่าให้ฟังว่าเราทำอะไร กินอะไร นอนยังไงนะครับ แม่จะได้หายกังวล” หลังจากนั้นอีกสามวัน ผมก็เข้ามาอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ผมเป็นเด็กใหม่ที่ค่อนข้างอ้วน หลายๆ คนจึงเข้ามาบูลลี่ผม เพราะเด็กที่นี่หุ่นสมส่วนทุกคน “ไอ้เด็กอ้วนๆ มันจะโดนไม้เสียบๆ เสียบตูดซ้าย เสียบตูดขวา ร้อนจริงๆ ร

  • จะลูปไหนก็รักเธอ   บทที่ 27 วันรวมญาติของเพนนี

    เขียนโดยเพนนี หลังจากนั้น 93 วัน ลูปที่ 6 ภาพรอบๆ ตัวฉันเป็นสีขาวโพลน แวบแรกฉันคิดว่า นี่คือสวรรค์หรือไม่ก็โลกหลังความตาย มีคนตายกี่คนที่จะกลับมาบอกเราว่า โลกหลังความตายเป็นอย่างไร แล้วภาพก็ค่อยๆ กระจ่างชัดขึ้น ฉันจึงเห็นว่าสวรรค์แห่งนี้ ดูเหมือนโรงพยาบาล "ตื่นแล้วเหรอ" "คอแห้งมากเลย" ฉันตอบกลับเสียงนั่นเบาๆ ก่อนจะเห็นว่าเป็นแกรมม่า เป็นแกรมม่าเวอร์ชั่นที่ไม่ได้เห็นนานแล้ว นั่นคือเวอร์ชั่นที่ไม่อมทุกข์ "รู้สึกอย่างไรบ้าง" ฉันสำรวจแขนขาตัวเอง ก็ยังผอมบางเหมือนเดิม แต่รู้สึกได้ว่ามีกำลังวังชายิ่งกว่าเดิม เหมือนได้รับยาเพิ่มพลังชีวิตอย่างไรอย่างนั้น "ก็ดี" "พูดให้เจาะจงหน่อย" "รู้สึกมีแรงมากขึ้น ตัวเบาขึ้น ไม่เหมือนเมื่อก่อน" "วิเศษมาก!!" แกรมม่าแทบจะตะโกน "ตอนนี้เพนนีหายแล้วนะ เพนนีจะไม่ตายแล้ว" "ว่าไงนะ บุญช่วยงั้นเหรอ" ฉันเอ่ยอย่างใสซื่อ ไม่รู้จะนึกเรื่องไหนได้อีกแล้ว "เพนนีจะไม่ตายจ

  • จะลูปไหนก็รักเธอ   บทที่ 26 แล้วไวรัสก็ระบาด

    เขียนโดยเพนนี หลังจากนั้น 3 เดือน ลูปที่ 6 "เพนนีเป็นยังไงบ้าง" แกรมม่าถามเมื่อเห็นสีหน้าฉันขาวราวกับกระดาษ โธ่ ลืมปัดแก้มอีกแล้ว "ก็ยังสบายดีค่ะ เพนนีเคลียร์งานนี้เสร็จ จะไปกินข้าวด้วยนะ" "แกรมม่ามีเรื่องจะบอก" เธอทำหน้านิ่ง จนฉันกลัวอีกแล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่น่ารู้ก่อนที่ฉันจะตายอีกไหมนะ แต่ก็อีกเป็นปีๆ แหละนะ "แกรมม่าจำได้ทั้งหมด ทุกครั้งที่มีการวนลูป" "หะ?" ฉันอุทาน "ได้ยังไง" "แกรมม่าจดจำเรื่องทุกอย่างได้เพราะ โธ่ อย่าทำหน้าตกใจขนาดนั้น ก็แค่จำได้ ลุงกานเลยคุยกับแกรมม่าเพื่อยืนยันเรื่องของเพนนี ตลอดเวลาที่เราวนลูป" "แล้วยังไงอีก" "หมายความว่าไง ก็บอกไปทุกเรื่องแล้ว" เธอก้มหน้าหงุด รู้ว่าถึงฉันจะวนลูป แต่ในใจก็มีเธอเสมอ โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ ฉันได้บอกรักเธอ หน้าฉันเลยมีสีจัดขึ้นเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ "แล้ว...แล้ว...แล้ว" "แล้วอะไร" แกรมม่าคงจะเขินจริงๆ "แล้วรักเพนนีบ้างหรือยัง"

  • จะลูปไหนก็รักเธอ   บทที่ 25 ของใครก็ของคนนั้น

    เขียนโดยเรย์ หลังจากนั้น 8 วัน ลูปที่ 6 ภายหลังนาดาเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ อาจารย์เพนนีก็มาหาผมที่บ้าน และขอคุยกับผมตามลำพังในห้องรับแขก “อาจารย์เข้าเรื่องเลยละกัน” “มีนัดต่อกับพี่แกรมม่าเหรอครับ” ผมดักทาง เหม็นกลิ่นความรัก “ขอเขกหัวทีเถอะ ไอ้เด็กนี่” ไม่พูดเปล่า แต่ยกมะเหงกขึ้นมาด้วย แต่ผมหลบไวกว่า ผู้หญิงหรือจะไวสู้ผู้ชายได้ อาจารย์เลยทำหน้าเคร่งขึ้นมา “มานั่งให้ดีๆ” “ครับ” “ไปหาคุณฮาริสที่เพนเฮาส์ ไปต่อหน้าอาจารย์นี่แหละ” “ครับ” ผมสวมเสื้อสูท VR ส่วนอาจารย์เพนนีเปิดแท็บเล็ตส่วนตัวเพื่อติดตามบทสนทนาระหว่างเรา ผมขึ้นลิฟท์ไปแบบอารยชน ไม่ได้ไปในฐานะขโมยหรือผู้ร้าย ผมรู้จากคำบอกเล่าของอาจารย์เพนนีที่ว่า ผมกระตุ้นให้เกิดเรื่องร้ายแรงในประเทศเรา และกำลังจะทำให้คนบริสุทธิ์ต้องเดือนร้อนจำนวนมาก ถึงขั้นตายเลยเสียด้วยซ้ำ “ผมขอโทษครับ” ผมก้มกราบคุณฮาริสที่อยู่ในรูปร่างบลูค

  • จะลูปไหนก็รักเธอ   บทที่ 24 ผมมาเพื่อปลดแอกนาดา

    เขียนโดยฮาริส หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ ลูปที่ 6 ผมเข้าประชุมกับองค์กรระหว่างประเทศเพื่อขอปลดแอกประเทศนาดาจากประเทศมหาอำนาจและช่วยให้พ้นความยากจน เพื่อทำแนวทางใหม่สู่ความยั่งยืนและความเสมอภาค ในเวทีนี้ ผมคาดหวังว่าจะได้รับไอเดียดีๆ และพันธมิตรที่จะมาช่วยเหลือนาดาได้สำเร็จ ประธานในที่ประชุมกล่าวต้อนรับเรา และชี้แจงวัตถุประสงค์ในการประชุมวันนี้ ผมตื่นเต้นจนมือเปียก น้ำลายหนืด แถมปากแห้งไปหมด ถึงอย่างนั้น แต่ผมหันหน้าสี่สิบห้าองศาให้กล้องที่กำลังถ่ายทอดสดพวกเราอยู่ แหม ต้องขอบคุณเพื่อนนายแบบที่สอนทริคนี้ให้ผม ส่วนตัวผมกล่าวขึ้นแถลงเป็นคนถัดไป ผมซ้อมมาหลายวันกว่าจะกล้าขึ้นเวทีในวันนี้ ผมบอกตัวเองหลายรอบแล้ว ว่าผมคือพระเอกในวันนี้ พระเอกที่ทำทุกอย่างอย่างที่ควรเป็น เลิกเสียทีการสละเลือดเนื้อ เพื่อเอาชีวิตรอดในแต่ละวัน “ในประเทศของเรา ความยากจนเป็นปัญหาเศรษฐกิจที่สำคัญ เพราะเชื่อมโยงความไม่เท่าเทียมทางการศึกษาและสิทธิในการเข้าถึงโอกาสทางการปกครอง โดยเฉพาะเมื่อประเทศที่ปกครองเราอ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status