บทยี่สิบหก
ข้าอยากให้เขาเลือกครอบครัวมากกว่า ความรู้สึกที่เจินจิ่วหรงมีต่อตงเหลียนฮวา ในอดีตนอกจากความอิจฉาริษยาก็ไม่มีสิ่งใด ทว่าตอนนี้มันกลับไม่มีความริษยาอันรุนแรงเช่นนั้นอีกเลย หัวใจของนางร้าวรานและนิ่งสงบ หลังผ่านเรื่องราวมากมาย ตงเหลียนฮวาเป็นเพียงจุดบอดเล็ก ๆ ในชีวิตเท่านั้น ตอนพบหน้ากันอีกหนในค่ายทหาร นางขยับรอยยิ้มกว้างอันสดใส บดบังความมืดหม่นของอีกฝ่ายจนหมดสิ้น ตงเหลียนฮวาถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนหนา ดวงหน้าซีดเซียวและอิดโรย ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองนางสลับกับไท่หย่งเสียน เจินจิ่วหรงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้เขากวาง ในกระโจมแห่งนี้ นอกจากแม่ทัพประจิม ไท่หย่งเสียนและนางก็ไม่มีใครอื่น “ไม่เจอกันนานเลยนะ ตงเหลียนฮวา”นางเอ่ยเสียงราบเรียบ รอยยิ้มไม่เลือนหายจากดวงหน้าสักนิด ขณะตงเหลียนฮวากวาดมองทุกอย่างด้วยความหวาดระแวง เตรียมขอความช่วยเหลือจากไท่หย่งเสียน “หย่งเสียน…ช่วยข้าด้วย” ไท่หย่งเสียนยืนนิ่งเพื่อรอรับคำสั่งจากองค์หญิงเก้าแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ตงเหลียนฮวาตระหนักถึงความจริงว่าเขาเก็บนางไว้เพื่อกลายเป็นนักโทษหรือเหยื่อของเจินจิ่วหรงในสักวัน และวันนี้ก็มาถึง ตงเหลียนฮวาเปล่งหัวเราะลั่น พลางเอ่ยถาม “หย่งเสียน ท่านร้ายกาจขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหนกัน ?” “…” “ท่านที่ข้ารู้จักเป็นเหมือนนภาสีครามอันอบอุ่น มิใช่ก้อนน้ำแข็งเยี่ยงตอนนี้” ไท่หย่งเสียนปิดปากเงียบ ดวงตาไร้ความรู้สึก ขณะแม่ทัพประจิมเหลือบมององค์หญิงเก้าด้วยสายตาหวาดหวั่น เขาไม่เคยเห็นเจินจิ่วหรงที่เหมือนปีศาจสักคราเดียว ปรกติองค์หญิงเก้าอ่อนหวาน ละเอียดรอบคอบ แม้นเด็ดขาดไปบ้าง แต่มิใช่คนโหดเหี้ยมอะไร เจินเซียหยางฮ่องเต้ สหายในวัยเยาว์ของเขาพลาดแล้ว ผิดพลาดที่ไม่ควรสร้างปีศาจร้ายนามว่าเจินจิ่วหรงขึ้นมา “เปิ่นกงมีเรื่องสงสัย จริงอยู่ว่าเจ้าแฝงตัวเข้ามาเพื่อลอบเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลไท่ กระนั้นก็ยังเสี่ยงมากอยู่ดี ในฐานะสายลับความเสี่ยงขนาดนี้ย่อมมิใช่เรื่องล้อเล่น ไยถึงยังดึงดันมาอยู่ข้างกายหย่งเสียน” ตงเหลียนฮวาหลุบตาต่ำลง นางเงียบไปเนิ่นนาน จนเจินจิ่วหรงกล่าวแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงแสนโหดเหี้ยม “เอาเถอะ เปิ่นกงมิอยากเสียเวลากับเจ้าแล้ว เห็นว่าต่อจากนี้เจ้าจะพูดมิได้อีก เลยเผลออยากรู้อยากเห็นเกินไปหน่อย”รอยยิ้มเลือนหายจากดวงหน้างดงาม เจินจิ่วหรงเหลือบมองถาดใส่มีดสังหารที่แม่ทัพประจิมถืออยู่ “ใต้ลิ้นของเจ้าถูกประทับตราแคว้นฝูเยว่ หักตัดมันทิ้งส่งไปแดนบูรพาย่อมเกิดจลาจลในกองทัพได้ง่าย ๆ”นางหยิบมีดปลายแหลมออกจากถาด จดจ้องเงาสะท้อนแสงของมันราวหลงใหล ท่ามกลางความตื่นกลัวขึ้นมาเล็กน้อยของตงเหลียนฮวา “เปิ่นกงสืบจนรู้ว่าเจ้ามีวัยเด็กที่น่าเศร้า พอรู้ความก็ถูกส่งมาทำงานเป็นสายลับล่มแผ่นดิน ไม่มีเวลาสำหรับการเที่ยวเล่นเลยสักนิด” ตงเหลียนฮวาไม่ขยับถอยหนี นางมองเจินจิ่วหรงสลับกับดวงหน้าของไท่หย่งเสียน ก่อนปิดเปลือกตาลงอย่างเชื่องช้า “ที่แท้คนปล่อยข่าวลือว่าข้ายังมีชีวิตก็คือองค์หญิงเก้านี่เอง…” “…” “ข้าก็แค่อยากพบหย่งเสียนมาโดยตลอด ในอดีตเพราะความรู้สึกผิดถึงยอมแกล้งตายกลับแคว้นฝูเยว่ แต่สุดท้ายก็ต้องกระเสือกกระสนกลับมาหาหย่งเสียนอยู่ดี ทำไมข้าถึงหลงรักเขาขนาดนี้นะ ทั้งที่เขาเอาแต่พูดถึงองค์หญิงเก้าแท้ ๆ” เจินจิ่วหรงถอนหายใจยาวเหยียด ตวัดมีดไปมากลางอากาศ “เจ้านี่ยังกลับกลอกหน้าตายเหมือนเดิมเลยนะ พอถึงทางตันก็พูดจาน่าสงสาร ทั้งที่เจตนาของเจ้าก็คือการทำให้แคว้นเจินตกเป็นบรรณาการ” “…เจ้ามันเลือดเย็น !” “เปิ่นกงเลือดเย็นกว่าเจ้าแน่ ๆ เจ้าเอาแต่แอบอ้างความน่าสงสาร ปกปิดความน่ารังเกียจของตนเอง แต่เปิ่นกงนอกจากไม่ปกปิดปีศาจในตัว ยังไม่ร้องขอความสงสารเห็นใจจากใครเช่นกัน” นางบีบกรามของตงเหลียนฮวา บังคับให้สบมองตนเอง ดวงตาเรียวดั่งหงส์ทอประกายวาววามราวเปลวเพลิง พลางเหลือบมองไท่หย่งเสียนที่ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน พร้อมกล่าว “เราจำเป็นต้องใช้มีดคมขนาดนี้ตัดลิ้นนางด้วยหรือ ?” ไท่หย่งเสียนยกยิ้มบางเบา เตรียมก้าวขาเดินไปหยิบมีดจากมือเจินจิ่วหรง “ข้าจะไปหามีดทื่อ ๆ มาให้” “ดี ข้ากับแม่ทัพประจิมจะรอข้างนอกให้ท่านเป็นคนลงมือตัดลิ้นนางด้วยมีดทื่อ ๆ ก็แล้วกัน” กล่าวจบนางก็ไม่สนสีหน้าของใคร เดินออกไปจากกระโจมอย่างรวดเร็ว พร้อมกับแม่ทัพประจิมที่เดินตามหลังออกมา ชายวัยใกล้เกษียณเหยียดตัวตรง มองลูกสะใภ้ด้วยแววตาหม่นแสง “องค์หญิงไม่ไว้ใจหย่งเสียนถึงขนาดต้องสวมบทนางร้ายเพื่อทดสอบเขาเชียวหรือ” เจินจิ่วหรงไหวไหล่ “ข้าแค่อยากให้เขาหวาดกลัว จนทอดทิ้งข้าไปก็เท่านั้น” “…” “หย่งเสียนอาจเลือกข้า แต่ตระกูลไท่จะเต็มใจเลือกข้าด้วยงั้นหรือ ที่พวกท่านยังสนับสนุนข้าตอนนี้ เป็นเพราะไม่มีทางเลือกอื่นใด เนื่องจากเจินเซียหยางฮ่องเต้ระแวงตระกูลไท่ เหลือแต่รอวันกำจัด” แม่ทัพประจิมเหยียดยิ้ม มองมือที่ค่อย ๆ กำเข้าหากันแน่นของเจินจิ่วหรง “ไม่ว่าตอนไหนองค์หญิงก็ยังรักบุตรชายของกระหม่อมมากอยู่ดี” “…” “องค์หญิงคงกลัวว่าตนเองจะต้องตาย และหย่งเสียนจะไม่เหลือใครอีก ถึงอยากให้เขาเลือกครอบครัวมากกว่าท่าน…” เจินจิ่วหรงปล่อยมีดลงบนผืนดิน ชายเสื้อคลุมและเส้นผมปลิดปลิวตามแรงลม “ข้าก็ไม่แน่ใจว่าห่วงอนาคตของลูกหรือเขามากกว่ากัน แต่สิ่งหนึ่งที่มั่นใจคือข้ามิอยากให้เขาต้องเดียวดายเช่นข้าและองค์ชายสิบสาม” เราก็มีกันแค่สามคนแม่ลูก พวกคนตระกูลป๋ายนับเป็นครอบครัวมิได้หรอก ส่วนเจินเซียหยางฮ่องเต้ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง หย่งเสียนท่านเป็นถึงท้องฟ้าและผืนหญ้า สมควรอยู่กับครอบครัวที่อบอุ่น อย่าร่วมเดียวดายไปกับองค์หญิงเก้าเลยนะ หลังลิ้นของตงเหลียนฮวาไปถึงชายแดนบูรพาไม่นาน ก็ถามหาความสงบใดมิได้อีก นับแต่งานศพของพระสนมเสียนเฟย เจินเซียหยางฮ่องเต้ก็ไม่ยอมออกว่าราชการอีกเลย หากนี่นับเป็นเรื่องใหญ่ต่อความมั่นคงของแผ่นดิน มังกรแสนเลือดเย็นตัวนั้นเลยออกมาในที่สุด ทุกอย่างเป็นไปตามที่เจินจิ่วหรงคาดการณ์ องค์ชายสิบสามได้รับการปล่อยตัว เพื่อส่งไปยังชายแดนบูรพาในฐานะแม่ทัพ พร้อมกับแม่ทัพบูรพา โดยให้แม่ทัพประจิมปักหลักยังเมืองหลวง เห็นได้ชัดว่าเจินเซียหยางฮ่องเต้ใช้บุตรชายเป็นตัวล่อ ก่อนให้แม่ทัพประจิมตามเก็บงาน ทว่ากลับมีหนึ่งเรื่องอยู่นอกเหนือการควบคุม นั่นคือการที่ไท่หย่งเสียนเสนอตัวไปร่วมรบในแดนบูรพาในฐานะรองแม่ทัพและมือขวาขององค์ชายสิบสามด้วยเช่นกัน เดิมเจินจิ่วหรงค่อนข้างลังเลว่าจะส่งเขาไปชายแดนดีหรือไม่ แต่เหมือนไท่หย่งเสียนจะเลือกด้วยตนเอง ดังนั้นในเช้าวันถัดมา นางถึงรีบแต่งตัวออกไปรับองค์ชายสิบสามหน้าวังหลวง เจินจิ่วหรงยังสวมอาภรณ์ดำทมิฬแสดงถึงการไว้ทุกข์ เครื่องหัวมีเพียงปิ่นหยกไร้ลวดลายอันเรียบง่าย ดวงหน้างดงามไร้การประทินโฉม หากเมื่อนางไปถึง กลับเห็นซ่งเยี่ยหวั่นโอบกอดองค์ชายสิบสามเอาไว้ อีกฝ่ายไม่เกรงกลัวที่จะแสดงจุดยืนเคียงข้างน้องชายของนางสักนิด ช่างเหมือนกับในอดีต ไม่ว่าตอนไหนซ่งเยี่ยหวั่นก็ยังจริงใจต่อเจินจิ่วเยี่ยนเสมอ น่าเสียดายที่หลังจากน้องสิบสามตกลงไปในสระน้ำเมื่อวันนั้น เขาก็ลืมเลือนซ่งเยี่ยหวั่นไปจดหมด หมอหลวงบอกว่ามันเป็นปัญหาของสภาพจิตใจ ไม่นานมารดาของซ่งเยี่ยหวั่นก็จากไป อีกฝ่ายค่อย ๆ ตีตัวออกหากองค์ชายสิบสาม กลายเป็นผู้เฝ้ามองอยู่หลายปี “อาเยี่ยน…”นางเปล่งเสียงเรียกองค์ชายสิบสาม เขาเบิกตากว้างมองนาง ผละตัวออกจากอ้อมกอดของซ่งเยี่ยหวั่น แล้ววิ่งตรงมาหาอย่างรวดเร็ว กระโจนเข้าสู่อ้อมแขนอันอบอุ่นของพี่สาว “จิ่วหรง…ข้าอยากกลับบ้าน” “ข้ารู้แล้ว” “มิใช่จวนว่างเปล่าหลังนั้น แต่เป็นบ้านอันปลอดภัยและมีท่านพี่อยู่ด้วย” เจินจิ่วหรงขยับรอยยิ้มอ่อนหวาน พลางเอื้อมมือลูบหัวองค์ชายสิบสามเบา ๆ “เช่นนั้นก็มาอยู่ที่จวนแม่ทัพกับข้าก่อน เจ้าจะได้มีขวัญกำลังใจนำกองทัพนับสิบหมื่นคว้าชัยเหนือสมรภูมิ” เจินจิ่วเยี่ยนหลุบตาค่ำลง ขณะเอ่ยเสียงแผ่วเบาลงเรื่อย ๆ “ตลอดวันเวลาที่ถูกขังลืม มันทำให้ข้าอดคิดมิได้ว่าตนเองเป็นต้นเหตุทำให้เสด็จแม่ต้องตาย หากข้าไม่แย่งชิงบัลลังก์ พวกเราก็ยังเหลือกันสามคนแม่ลูกเช่นเดิม” “ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอกนะ มันเป็นความผิดของพวกผู้ใหญ่ เสด็จแม่คาดหวังในตัวเจ้ามาตั้งแต่เด็ก ส่วนหนึ่งก็เพราะเจินเซียหยางฮ่องเต้เคยเอ็นดูเจ้ามาก” “…ข้า” “เจ้าก็ทำเหมือนกับที่คนอื่น บังเอิญเจ้าพ่ายแพ้ในกระดานหมากตานั้น ความผิดทั้งหมดเลยเหมือนเป็นของเจ้า…” “…” “เจินจิ่วเยี่ยน หากเจ้าครอบครองบัลลังก์ก็จำต้องเผชิญกับความรู้สึกเดียวกันนี้ไปตลอดชีวิต แต่พวกเราถอยกลับมิได้แล้วใช่หรือไม่ ?” ร่างในอ้อมแขนของนางสั่นระริก กลางหน้าอกเปียกชื้นด้วยหยดน้ำตาของเขา เรียวนิ้วมือจิกลากลงบนอาภรณ์ดำทมิฬ “ข้าอยากให้ท่านพี่ได้มีชีวิตอันสงบสุข…จริง ๆ นะ” เจินจิ่วหรงรอยยิ้มเจ็บปวด เพียงนึกถึงไท่หย่งเล่อที่อยู่แดนใต้หัวใจก็ร้าวรานไปหมด ไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่จะได้โอบอุ้มเขาด้วยสองมือของตนเองอีก นอกจากพี่สาวของเจินจิ่วเยี่ยน ข้าเองก็เป็นภรรยาของไท่หย่งเสียน และแม่ของไท่หย่งเล่อนะบทสุดท้าย ท้องฟ้าและผืนหญ้า ปฏิหาริย์มีจริง และเต็มเปี่ยมด้วยหยดน้ำตาขององค์รัขทายาท หลังองค์หญิงเก้าที่สลบไปเป็นปีลืมตาตื่น พร้อมกับฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ดวงตาเรียวดั่งหงส์อันเลือนลอยกวาดมองรอบกาย ดวงหน้าซีดเซียวไร้รอยยิ้ม แตกต่างจากตอนสลบไปโดยสิ้นเชิง เสมือนว่าเจินจิ่วหรงไม่ต้องการตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ลำคอของนางแห้งเหือด จนต้องดื่มน้ำไปหลายถ้วย ขณะถูกองค์รัชทายาทและพระชายาเอกนามซ่งเยี่ยหวั่นพยุงตัวขึ้น เจินจิ่วหรงมองพวกเขา ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อบ เจินจิ่วเยี่ยนที่ตอนนี้ครองตำแหน่งองค์รัชทายาทมาสองปีเผยรอยยิ้มกว้าง หยดน้ำตาไหลอาบลงมาไม่ยอมหยุด เขาโอบกอดพี่สาวของตนเองแน่น ขณะเจินจิ่วหรงเหมือนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว “หย่งเสียน…ละ”นางถามหาเขาเป็นประโยคแรก ทำให้เจินจิ่วเยี่ยนและซ่งเยี่ยหวั่นหยุดชะงักไปตามกัน พวกเขาหลบสายตาของเจินจิ่วหรง แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “เขาตายไปนานแล้ว” “…” “ล่าสุดที่ข้าไปเยี่ยมหลุมศพของเขา มีดอกหญ้าขึ้นปกคลุม ทุกอย่างเขียวขจี” นางค่อย ๆ พยักหน้าอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาไหลออกมาตอนไหน ปลายนิ้วมือกำลังสั่นระริก ร่างกายสั่นสะท้านราวนกตัวน้อยห
บทยี่สิบแปด การไม่ครอบครอง การเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจเริ่มขึ้นแล้ว หลังเจินจิ่วหรงกลับจากวังหลวง เช้าวันต่อมาเรื่องราวการทุจริตของตระกูลป๋ายก็ถูกเปิดเผย เจินเซียหยางฮ่องเต้เผยแพร่เรื่องนี้ให้ประชาชนรับรู้ ตระกูลป๋ายกลายเป็นนักโทษของสังคม ก่อนการไต่สวนครั้งสุดท้ายจะมาถึงเสียอีก คนจากวังหลวงเชิญเจินจิ่วหรงไปเป็นพยานในการไต่สวน เดิมนางคิดจะปฏิเสธ แต่กลับอยากเห็นสีหน้าผู้เฒ่าของตระกูลป๋ายขึ้นมา เลยแต่งกายสีฉูดฉาดเรือนผมประดับปิ่นทองคำเก้าเล่มไปดูพวกเขาด้วยตาตน เสียงความวุ่นวายรบกวนความสงบ ท้องพระโรงเหมือนสนามรบ นางเลือกจะไม่พูดอะไรออกมามากนัก แค่พยักหน้าและตอบในสิ่งที่สมควร ทำเอาพวกตระกูลป๋ายชี้หน้าด่าจนโดนตบกันเป็นแถบ เจินจิ่วหรงแค่นยิ้มเย็นชา ประโยคสุดท้ายที่นางเอ่ยเลื่อนลอยยิ่งนัก ก่อนนางจะหมดสติไปท่ามกลางความตื่นตระหนกของคนมากมาย หมอหลวงบอกว่านางอยู่ได้อีกไม่นาน เจินจิ่วหรงนั่งนิ่ง เหม่อมองภาพสะท้อนของตนเองบนกระจกทองเหลือง ท่ามกลางเหล่านางกำนัลที่เกล้าผมให้อยู่ ทั้งหมดเป็นเพราะการไม่ได้พักผ่อนหลังคลอดลูก รวมถึงการถูกวางยาตลอดระยะเวลาที่กลับมายังจวนแม่ทัพ ไม่ต้องคาดเ
บทยี่สิบเจ็ด นี่คงเป็นเรื่อง ผิดบ้าง ถูกบ้าง “จริง ๆ แล้ว ระหว่างถูกขังในตำหนัก เสด็จพ่อมาหาข้าด้วย แววตาของเขาเลื่อนลอยและว่างเปล่า กระนั้นกลับสะท้อนความเหี้ยมโหดไม่น้อย” “อือ” เจินจิ่วหรงเปล่งเสียงครางตอบรับน้องชายที่นอนอยู่บนตักของนาง พลางยกมือลูบหัวเขาเบา ๆ เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ “เขาบอกว่าเสด็จแม่—ป๋ายอวี้หลันจะมีความสุขกว่า หากกลับสู่อ้อมอกของตระกูลป๋าย แทนการถูกฝังในสุสานหลวง” “…” “แล้วหลังจากนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมาละ” “อ่า” “ต่อให้พวกเราไม่เลือกชิงบัลลังก์ แต่ความกดดันจากตระกูลป๋าย และข้ายังเกิดมาเป็นบุรุษ อย่างไรก็หลีกหนีความโลภคนมากมายไม่พ้น แม้นแต่เสด็จแม่ก็ตาม” “…” “มีบางครั้งข้านึกอิจฉาท่านพี่ไม่น้อย ท่านไม่ต้องแก่งแย่งชิงบัลลังก์ ไม่ต้องเป็นที่คาดหวังของใคร ๆ แต่พอท่านพี่ต้องแต่งงาน ข้าก็ความเข้าใจความกดดันอันแตกต่างระหว่างชายหญิง ทว่ากลับอดริษยาท่านพี่มิได้เลย” เจินจิ่วหรงลืมตาขึ้นมองเขา ภาพตรงหน้าเลือนรางยากจะแยกออก นางขยับรอยยิ้มบางเบาอันเศร้าหมอง พร้อมเอ่ย “นี่ไม่เหมือนคำพูดของผู้ต้องการช่วงชิงเลยนะ หรือว่าตอนนี้เจ้าไม่ต้องการบัลลังก์แล้ว
บทยี่สิบหก ข้าอยากให้เขาเลือกครอบครัวมากกว่า ความรู้สึกที่เจินจิ่วหรงมีต่อตงเหลียนฮวา ในอดีตนอกจากความอิจฉาริษยาก็ไม่มีสิ่งใด ทว่าตอนนี้มันกลับไม่มีความริษยาอันรุนแรงเช่นนั้นอีกเลย หัวใจของนางร้าวรานและนิ่งสงบ หลังผ่านเรื่องราวมากมาย ตงเหลียนฮวาเป็นเพียงจุดบอดเล็ก ๆ ในชีวิตเท่านั้น ตอนพบหน้ากันอีกหนในค่ายทหาร นางขยับรอยยิ้มกว้างอันสดใส บดบังความมืดหม่นของอีกฝ่ายจนหมดสิ้น ตงเหลียนฮวาถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนหนา ดวงหน้าซีดเซียวและอิดโรย ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองนางสลับกับไท่หย่งเสียน เจินจิ่วหรงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้เขากวาง ในกระโจมแห่งนี้ นอกจากแม่ทัพประจิม ไท่หย่งเสียนและนางก็ไม่มีใครอื่น “ไม่เจอกันนานเลยนะ ตงเหลียนฮวา”นางเอ่ยเสียงราบเรียบ รอยยิ้มไม่เลือนหายจากดวงหน้าสักนิด ขณะตงเหลียนฮวากวาดมองทุกอย่างด้วยความหวาดระแวง เตรียมขอความช่วยเหลือจากไท่หย่งเสียน “หย่งเสียน…ช่วยข้าด้วย” ไท่หย่งเสียนยืนนิ่งเพื่อรอรับคำสั่งจากองค์หญิงเก้าแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ตงเหลียนฮวาตระหนักถึงความจริงว่าเขาเก็บนางไว้เพื่อกลายเป็นนักโทษหรือเหยื่อของเจินจิ่วหรงในสักวัน และวันนี้ก็มาถึง ตงเหลียนฮวาเปล่
บทยี่สิบห้า เจินจิ่วหรงที่บ้าคลั่ง เจินจิ่วหรงนอนแช่ตัวอยู่ในถังน้ำใสสะอาด เส้นผมดำขลับยาวสลวยเลื่อนลงปรกดวงหน้างดงาม หลบซ่อนแววตาสั่นไหวของนางอย่างแนบเนียน ไม่มีข้ารับใช้คนในอยู่ในเรือนนอน จวนตระกูลไท่ถูกทหารล้อมเอาไว้ แม้นว่าการปราบจลาจลจะจบลงแล้ว ดูเหมือนว่าเจินเซียหยางฮ่องเต้จะหวาดระแวงตระกูลไท่อย่างสมบูรณ์แบบ แม้นแม่ทัพประจิมจะเป็นดั่งสุนัขถวายหัวอยู่แทบเท้าก็ตามที ทั้งหมดเป็นเพราะเจินจิ่วหรงคือสะใภ้หนึ่งเดียวของตระกูลไท่ ซ้ำตอนนี้ยังให้กำเนิดบุตรชายแก่พวกเขา ต่อให้ปกปิดที่อยู่ของไท่หย่งเล่อ แต่ก็มิอาจปิดบังตัวตนการมีอยู่ของเขา เจินเซียหยางฮ่องเต้เป็นคนขี้ระแวงและโลภมาก ไม่นานย่อมจับลูกชายของนางเป็นตัวประกัน ทุก ๆ อย่างเหลือเวลาไม่มากแล้ว แต่เจินจิ่วเยี่ยนอายุย่างสิบสี่ปีเท่านั้น ไม่มากพอจะขึ้นครองบัลลังก์โดยไร้ผู้สำเร็จราชการแทน สุดท้ายเขาจะกลายหุ่นเชิดอีกตัวสำหรับตระกูลป๋าย “นี่ หย่งเสียน”นางเอ่ยปากเรียกเขาที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นไร้ลวดลาย ไท่หย่งเสียนชำเลืองมองภรรยา “อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ ข้าเตรียมอาภรณ์ให้เจ้าแล้ว” น้ำเสียงของไท่หย่งเสียนอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ร
บทยี่สิบสี่ ลาก่อนพระสนมเสียนเฟย เจินจิ่วหรงถูกกักตัวอยู่ภายในตำหนักของตนเอง ขณะไท่หย่งเสียนถูกแต่งตั้งเป็นหนึ่งในแม่ทัพเฉพาะกิจกวาดล้างตระกูลเสวียน ภายในวังเกิดการนองเลือดจำนวนมาก เสวียนผินถูกสังหาร แตกต่างจากองค์ชายไม่สมประกอบที่ถูกพวกกบฏนำตัวออกนอกวัง หว่านกุ้ยเฟยและโอรสของนางอย่างองค์ชายเจ็ดถูกนำตัวไปยังห้องลับอันปลอดภัย ส่วนองค์ชายสิบสามถูกกักตัวเช่นเดียวกันกับนาง ตระกูลป๋ายยังไร้การเคลื่อน พวกเขาไม่ได้มีกำลังทหารอะไร มีแต่พวกขุนนางร่วมตัวกันป่วน แน่นอนว่าถูกเจินเซียหยางฮ่องเต้กีดกันให้อยู่กันเป็นส่วน ๆ เจินเซียหยางฮ่องเต้มิอาจกำจัดตระกูลป๋าย พวกเขามีอิทธิพลมากเกินไป แค่กักบริเวณองค์ชายสิบสาม เสมือนว่าความผิดทั้งหมดเป็นของเจินจิ่วเยี่ยน ก็ทำตระกูลป๋ายไม่พอใจมากแล้ว ไม่มีทางที่โอรสสวรรค์จะกล้าลงมืออะไรอีก เจินจิ่วหรงเหยียดตัวนอนบนตั่งหินอ่อน รอเวลาที่ทุกอย่างจบลงด้วยกองเลือดมากมาย การพลัดพรากและสูญเสีย ทุกอย่างเริ่มต้นจากความเห็นแก่ตัวของเจินเซียหยางฮ่องเต้ นางกับเจินจิ่วเยี่ยนตระหนักดีว่าร่างกายของเสด็จแม่ทรุดโทรมขนาดนี้เพราะใคร ตลอดมาถึงนึกชิงชังเจินเซียหยางฮ่องเต