บทยี่สิบแปด
การไม่ครอบครอง การเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจเริ่มขึ้นแล้ว หลังเจินจิ่วหรงกลับจากวังหลวง เช้าวันต่อมาเรื่องราวการทุจริตของตระกูลป๋ายก็ถูกเปิดเผย เจินเซียหยางฮ่องเต้เผยแพร่เรื่องนี้ให้ประชาชนรับรู้ ตระกูลป๋ายกลายเป็นนักโทษของสังคม ก่อนการไต่สวนครั้งสุดท้ายจะมาถึงเสียอีก คนจากวังหลวงเชิญเจินจิ่วหรงไปเป็นพยานในการไต่สวน เดิมนางคิดจะปฏิเสธ แต่กลับอยากเห็นสีหน้าผู้เฒ่าของตระกูลป๋ายขึ้นมา เลยแต่งกายสีฉูดฉาดเรือนผมประดับปิ่นทองคำเก้าเล่มไปดูพวกเขาด้วยตาตน เสียงความวุ่นวายรบกวนความสงบ ท้องพระโรงเหมือนสนามรบ นางเลือกจะไม่พูดอะไรออกมามากนัก แค่พยักหน้าและตอบในสิ่งที่สมควร ทำเอาพวกตระกูลป๋ายชี้หน้าด่าจนโดนตบกันเป็นแถบ เจินจิ่วหรงแค่นยิ้มเย็นชา ประโยคสุดท้ายที่นางเอ่ยเลื่อนลอยยิ่งนัก ก่อนนางจะหมดสติไปท่ามกลางความตื่นตระหนกของคนมากมาย หมอหลวงบอกว่านางอยู่ได้อีกไม่นาน เจินจิ่วหรงนั่งนิ่ง เหม่อมองภาพสะท้อนของตนเองบนกระจกทองเหลือง ท่ามกลางเหล่านางกำนัลที่เกล้าผมให้อยู่ ทั้งหมดเป็นเพราะการไม่ได้พักผ่อนหลังคลอดลูก รวมถึงการถูกวางยาตลอดระยะเวลาที่กลับมายังจวนแม่ทัพ ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ว่าเป็นฝีมือของแม่ทัพประจิม ตอนนั้นเมืองหลวงเกิดจลาจลจากการก่อกบฏ การกำจัดองค์หญิงเก้าย่อมเป็นส่วนหนึ่งของการถามหาความสงบสุข ไม่น่าแม่ทัพประจิมถึงยอมอยู่เคียงข้างนาง ทั้งหมดเป็นเพราะเขารู้ว่าเจินจิ่วหรงกำลังจะตาย คงเพราะแบบนี้ เสด็จแม่ถึงไม่ชอบพวกแม่ทัพนัก พวกเขาไม่ค่อยใช้สมอง หรือเมื่อไหร่ที่ใช้ก็มีแต่การฆ่าฟันไม่จบสิ้น “พวกเจ้าออกไปก่อน” “เพคะ” เมื่อพวกนางกำนัลออกไปแล้ว นางก็ยกมือโอบกอดตนเอง ร่างกายเย็นเหยียบราวคนตาย เส้นผมแปรเปลี่ยนเป็นขาวโพลนไม่น้อย เจินจิ่วหรงมองเงาสะท้อนของตนเองในกระจก ไม่เห็นความงดงามอีกต่อไป ตำหนักกว้างใหญ่ ฉากกั้นเฟื่องฟู เตากำยานหอมกรุ่น สุดท้ายกลับไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย มีคนมากมายที่ข้าอยากพบ แต่กลับเหนื่อยเหลือเกิน บางคราเราก็เปลี่ยนแปลงอะไรมิได้มากนัก อย่างตอนนี้เจินจิ่วหรงก็อยากให้การศึกแดนบูรพาได้รับชัยชนะ ผ่านไปสามเดือนกว่าแล้ว ได้ยินแต่การสูญเสียนับไม่ถ้วน วันนี้นางออกจากตำหนักไปยังพระอารามหลวงภายในวัง ก่อนคุกเข่าลงขอพรจากพระพุทธองค์ นับแต่แรกเจินจิ่วหรงไม่เคยคิดจะขอพรให้ไท่หย่งเสียนหรือเจินจิ่วเยี่ยนปลอดภัย เพราะนั่นหมายถึงการขอให้พวกเขาฆ่าคนเพื่อเอาขีวิตรอด นางกลัวว่าจะเกิดบาปหนาแก่พวกเขา ทว่าเมื่อเวลาเหลือน้อยลง กลับไม่แยแสอีกแล้ว ว่าจะเกิดบาปหนาหรือไม่ ก็แค่อยากพบพวกเขาเท่านั้นเอง “องค์หญิงคงมาขอพรให้พวกเขา แต่เปิ่นกงกลับมาขอพรให้องค์หญิง” หว่านกุ้ยเฟยเอ่ยทำลายความเงียบสงบ เจินจิ่วหรงเหลือบมองมาแวบหนึ่ง แววตาเหมือนคนใกล้ตายไม่มีผิด “พอเสียนเฟยตาย ฝ่าบาทก็ไร้ความสดใส หากท่านตายอีกคน วังหลังแห่งนี้ย่อมไม่เหลือดอกไม้งามอีกแล้ว” “…” “เปิ่นกงก็แค่เครื่องมือทรมานป๋ายอวี้หลันของฝ่าบาท ไม่อาจนับเป็นดอกไม้งามหรอกนะ” เจินจิ่วหรงปิดเปลือกตาลง ก่อนกล่าวเสียงราบเรียบและแผ่วเบา “กลับกลอกไม่น้อยเลย เป็นคนสั่งให้วางยาข้าเองแท้ ๆ ชีวิตของเสียนเฟยที่รักนักหนาก็พรากไปเองเช่นกัน คนขลาดเขลาแบบนี้สมควรตายคาบัลลังก์นั่นแหละ” “…” “หว่านกุ้ยเฟยที่รักแม้แต่ตัวตนน่ารังเกียจของเจินเซียหยางฮ่องเต้นี่ น่านับถือจริง ๆ” ขนาดข้ากับเสด็จแม่ยังขยะแขยงสุด ๆ สามเดือนต่อไป นางรับจดหมายฉบับหนึ่งจากรั่วซิน ในที่สุดเจินเซียหยางฮ่องเต้ก็ยอมให้ข่าวคราวของแดนใต้เข้ามาในวังหลวง ตอนนั้นเจินจิ่วหรงแทบลุกขึ้นไม่ไหวแล้ว นางหลับตานอน ให้นางกำนัลข้างกายอ่านจดหมายให้ฟัง เนื้อความในนั้นบอกว่าไท่หย่งเล่อแข็งแรงดี เจ้าตัวเล็กแทบจะกลายเป็นแก้วตาดวงใจของกู้เจิงหนาน ซ้ำยังบอกว่าบ้านของนางในแดนใต้ยังเฝ้ารอเจินจิ่วหรงกับไท่หย่งเสียนกลับไป จดหมายฉบับนั้นทำให้องค์หญิงเก้ายิ้มออกมา นางยังไม่บอกพวกเขาว่าตนเองกำลังจะตาย คนที่รู้เรื่องนี้มีแต่พวกคนในวังหลวง และนั่นดีเหลือเกิน ไม่อย่างนั้นคนที่รักนางต้องเศร้ามากแน่ ๆ นางอาจดีใจกับจดหมายฉบับนี้มากเกินไป สุดท้ายเลยหยิบอาภรณ์สีม่วงปักดอกรุ่ยเซียงที่ไท่หย่งเสียนชอบมาสวม เรือนผมปล่อยสยายปักปิ่นขนนกกระเต็น ขณะเหยียดตัวนอนบนตั่งหินอ่อนในตำหนัก มองกลีบดอกไม้ร่วงหล่นในฤดูใบไม้ร่วง และกลางดึกคืนนั้นเอง กองทัพต้าเจินกลับถึงเมืองหลวงพร้อมชัยชนะจากแดนบูรพา เจินเซียหยางฮ่องเต้ยินดียิ่ง แต่งตั้งองค์ชายสิบสามเป็นองค์รัชทายาทอย่างถูกต้อง ทว่าจวนแม่ทัพกลับเศร้าหมอง ไท่หย่งเสียนจบชีวิตในสนามรบ เพราะปกป้ององค์ชายสิบสาม หลังเจินจิ่วหรงทราบข่าวนี้ นางก็สลบไปไม่ตื่นอีกเลย บรรยายมุมมองที่หนึ่ง เจินจิ่วหรง ข้าเห็นร่างอันสง่างามของมารดานั่งบนเก้าอี้หินอ่อนภายใต้ศาลาเหนือสระน้ำ นางยกถ้วยชาลายดอกอวี้หลันจรดริมฝีปาก ดวงหน้างดงามเยาว์วัยเหมือนสมัยข้ายังเด็ก ๆ ไม่มีร่องรอยของความกังวลแม้แต่น้อย ราวกับพระสนมเสียนเฟยที่หมกมุ่นกับการช่วงชิงก่อนหน้า…ไม่มีอยู่จริง ดินแดนของคนตายสุขสงบขนาดนี้เชียว ? ข้าแค่นยิ้มเย็นชา เตรียมหมุนตัวกลับ แต่ถูกเสียงของมารดารั้งเอาไว้ก่อน “ถูกหักหลังมาสินะ” ข้าหันไปมองเสด็จแม่ ปลายเท้าเปลือยเปล่าเหยียบย้ำบนผืนหญ้าเขียวขจี “มันก็เรื่องปรกติของวังหลัง…” ป๋ายอวี้หลันวางน้ำชาลง “แต่มิใช่กับจวนแม่ทัพ พวกแม่ทัพน่าเบื่อจะตายไป มีชีวิตราวคนเขลา และมีสมองเพื่อฆ่าคน ความชอบก็ยังมาจากการนองเลือด สกปรก ซ้ำยังน่าสะอิดสะเอียนที่สุด” ข้าโคลงหัวลงเห็นด้วยกับประโยคนี้ของมารดา ก่อนหาที่สงบ ๆ ทิ้งตัวลงนั่งเหยียดขางามบนใบหญ้าสีเขียว “ทว่าวังหลังก็ต่ำช้าเหมือนกัน เสด็จแม่ฆ่าบรรดาลูกชายของเจินเซียหยางฮ่องเต้ไปเยอะ จนลูกเองก็นับไม่ถูกแล้ว” ป๋ายอวี้หลันหยุดชะงัก หันมามองข้าอย่างเถรตรงและมั่นคง “เพราะแบบนั้นคนบาปอย่างแม่ถึงต้องอยู่ที่นี่ แล้วลูกล่ะทำอะไรผิดมา” ข้าหลุบตาต่ำลง พลางทบทวนความผิดของตนเองเงียบ ๆ ข้าก็แค่เกิดมาเป็นองค์หญิงเก้า พยายามใช้ชีวิตอย่างดีที่สุด พอแต่งงานก็ตั้งใจเป็นภรรยาที่ดี ไปพร้อม ๆ กับการเป็นพี่สาวที่ดีไปด้วย ซ้ำยังอยากเป็นมารดาที่ดีอีก อาจเพราะข้าโลภอย่างทำทุกอย่างให้ดี เลยพังพินาศไปหมด “ลูกเป็นมารดาที่ไม่ได้เรื่อง ไม่เคยอวยพรวันเกิดให้เขาเลย หน้าที่ภรรยาก็ขาดตกบกพร่อง นำพาความลำบากมาแก่ตระกูลไท่ จนโดนแม่ทัพประจิมกำจัดเสียเอง สุดท้ายก็ต้องทอดทิ้งอาเยี่ยนไว้ตามลำพัง” “มนุษย์ก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น ถูกยกย่องในมุมหนึ่ง แต่ก็ถูกเหยียบย้ำในอีกมุม” ข้าเข้าใจประโยคนั้นอย่างแจ่มชัด เลือกล้มตัวลงนอนเงียบ ๆ แล้วจ้องมองท้องฟ้าอันสดใส หมู่เมฆลอยตามลม เสียงของนกร้องบนกิ่งไม้ และดอกบัวผลิบานสะพรั่ง “ที่นี่เหมือนหัวเมืองทางใต้ไม่มีผิด เงียบสงบ ไร้ความขัดแย้ง ไม่ต้องช่วงชิงกับใคร” ป๋ายอวี้หลันเบือนหน้าหนีข้าไปทางอื่น “เจ้าอยากอยู่ที่นี่ มากกว่าอยู่ในอ้อมกอดของไท่หย่งเสียนจริงหรือ ?” ข้าหลับตาลง ร่างกายเบาสบาย ไม่หนักหรือเจ็บปวดเหมือนเมื่อก่อน ไม่ต้องวิ่งไล่ตามหรือหลีกหนีเสียงจากหัวใจที่ร้องตะโหนออกมาอีกแล้ว พานพบเพียงความสงบเรียบง่าย “ลูกก็ถูกหย่งเสียนโอบกอดอยู่นี่นา ทั้งท้องฟ้าและผืนหญ้ากลายเป็นของลูก ในที่สุดก็เข้าใจประโยคนั้นของเขาอย่างแท้จริง” “ไม่มีอะไรเสียดายแล้วสินะ” ข้ารักเจ้ามากนะ “ถ้าตอนนั้นได้บอกรักหย่งเสียนกลับไปก็คงดี แต่กลับมิเสียดายขนาดอยากทิ้งความสงบสุขนี่ไปหรอกนะ” ประโยคนี้ของข้า ทำเสด็จแม่เบิกตากว้าง นางหุบยิ้ม ปลอกเล็บสีทองครูดลงบนอาภรณ์ฟ้าคราม “แล้วถ้าหย่งเสียนรอเจ้าอยู่ละ” ข้าถอนหายใจ ฝ่ามือวางทาบกลางหน้าอกของตนเอง “ลูกไม่อยากให้เขากับแม่ทัพประจิม ต้องเป็นเหมือนลูกกับเสด็จพ่อ อยากให้เขารักษาครอบครัวอันอบอุ่นเอาไว้ เมื่อเป็นแบบนั้น ถึงจะสามารถมอบความสุขแก่หย่งเล่อ” “…” “ถ้าการไม่พบเขาอีก ทำให้หย่งเสียนได้พบกับความสงบสุข ลูกก็จะนอนอยู่แบบนี้ตลอดไป” ป๋ายอวี้หลันหลุบตาต่ำลง ก่อนกล่าวบางอย่างออกมา “ก่อนหน้านี้แม่ก็พบหย่งเสียน เขาพูดเหมือนกับเจ้าเลย” “…” “ทั้ง ๆ ที่รักมากขนาดนี้ แต่กลับไม่มีใครครอบครองใคร เพราะต่างหวังให้อีกฝ่ายพานพบความสงบอันแท้จริง ช่างโลภน้อยกันเหลือเกิน” ข้าหุบปากเงียบ เลือกเผยรอยยิ้มบางเบาแก่ประโยคนั้น ท้องฟ้าน่ะกว้างใหญ่จะตาย ผืนหญ้าก็มากมายไม่สิ้นสุด มิใช่ของจะครอบครองง่าย ๆ เลย หย่งเสียนเป็นเหมือนท้องฟ้าและผืนหญ้า องค์หญิงเก้าอย่างข้า ครอบครองมิไหวหรอกบทสุดท้าย ท้องฟ้าและผืนหญ้า ปฏิหาริย์มีจริง และเต็มเปี่ยมด้วยหยดน้ำตาขององค์รัขทายาท หลังองค์หญิงเก้าที่สลบไปเป็นปีลืมตาตื่น พร้อมกับฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ดวงตาเรียวดั่งหงส์อันเลือนลอยกวาดมองรอบกาย ดวงหน้าซีดเซียวไร้รอยยิ้ม แตกต่างจากตอนสลบไปโดยสิ้นเชิง เสมือนว่าเจินจิ่วหรงไม่ต้องการตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ลำคอของนางแห้งเหือด จนต้องดื่มน้ำไปหลายถ้วย ขณะถูกองค์รัชทายาทและพระชายาเอกนามซ่งเยี่ยหวั่นพยุงตัวขึ้น เจินจิ่วหรงมองพวกเขา ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อบ เจินจิ่วเยี่ยนที่ตอนนี้ครองตำแหน่งองค์รัชทายาทมาสองปีเผยรอยยิ้มกว้าง หยดน้ำตาไหลอาบลงมาไม่ยอมหยุด เขาโอบกอดพี่สาวของตนเองแน่น ขณะเจินจิ่วหรงเหมือนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว “หย่งเสียน…ละ”นางถามหาเขาเป็นประโยคแรก ทำให้เจินจิ่วเยี่ยนและซ่งเยี่ยหวั่นหยุดชะงักไปตามกัน พวกเขาหลบสายตาของเจินจิ่วหรง แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “เขาตายไปนานแล้ว” “…” “ล่าสุดที่ข้าไปเยี่ยมหลุมศพของเขา มีดอกหญ้าขึ้นปกคลุม ทุกอย่างเขียวขจี” นางค่อย ๆ พยักหน้าอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาไหลออกมาตอนไหน ปลายนิ้วมือกำลังสั่นระริก ร่างกายสั่นสะท้านราวนกตัวน้อยห
บทยี่สิบแปด การไม่ครอบครอง การเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจเริ่มขึ้นแล้ว หลังเจินจิ่วหรงกลับจากวังหลวง เช้าวันต่อมาเรื่องราวการทุจริตของตระกูลป๋ายก็ถูกเปิดเผย เจินเซียหยางฮ่องเต้เผยแพร่เรื่องนี้ให้ประชาชนรับรู้ ตระกูลป๋ายกลายเป็นนักโทษของสังคม ก่อนการไต่สวนครั้งสุดท้ายจะมาถึงเสียอีก คนจากวังหลวงเชิญเจินจิ่วหรงไปเป็นพยานในการไต่สวน เดิมนางคิดจะปฏิเสธ แต่กลับอยากเห็นสีหน้าผู้เฒ่าของตระกูลป๋ายขึ้นมา เลยแต่งกายสีฉูดฉาดเรือนผมประดับปิ่นทองคำเก้าเล่มไปดูพวกเขาด้วยตาตน เสียงความวุ่นวายรบกวนความสงบ ท้องพระโรงเหมือนสนามรบ นางเลือกจะไม่พูดอะไรออกมามากนัก แค่พยักหน้าและตอบในสิ่งที่สมควร ทำเอาพวกตระกูลป๋ายชี้หน้าด่าจนโดนตบกันเป็นแถบ เจินจิ่วหรงแค่นยิ้มเย็นชา ประโยคสุดท้ายที่นางเอ่ยเลื่อนลอยยิ่งนัก ก่อนนางจะหมดสติไปท่ามกลางความตื่นตระหนกของคนมากมาย หมอหลวงบอกว่านางอยู่ได้อีกไม่นาน เจินจิ่วหรงนั่งนิ่ง เหม่อมองภาพสะท้อนของตนเองบนกระจกทองเหลือง ท่ามกลางเหล่านางกำนัลที่เกล้าผมให้อยู่ ทั้งหมดเป็นเพราะการไม่ได้พักผ่อนหลังคลอดลูก รวมถึงการถูกวางยาตลอดระยะเวลาที่กลับมายังจวนแม่ทัพ ไม่ต้องคาดเ
บทยี่สิบเจ็ด นี่คงเป็นเรื่อง ผิดบ้าง ถูกบ้าง “จริง ๆ แล้ว ระหว่างถูกขังในตำหนัก เสด็จพ่อมาหาข้าด้วย แววตาของเขาเลื่อนลอยและว่างเปล่า กระนั้นกลับสะท้อนความเหี้ยมโหดไม่น้อย” “อือ” เจินจิ่วหรงเปล่งเสียงครางตอบรับน้องชายที่นอนอยู่บนตักของนาง พลางยกมือลูบหัวเขาเบา ๆ เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ “เขาบอกว่าเสด็จแม่—ป๋ายอวี้หลันจะมีความสุขกว่า หากกลับสู่อ้อมอกของตระกูลป๋าย แทนการถูกฝังในสุสานหลวง” “…” “แล้วหลังจากนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมาละ” “อ่า” “ต่อให้พวกเราไม่เลือกชิงบัลลังก์ แต่ความกดดันจากตระกูลป๋าย และข้ายังเกิดมาเป็นบุรุษ อย่างไรก็หลีกหนีความโลภคนมากมายไม่พ้น แม้นแต่เสด็จแม่ก็ตาม” “…” “มีบางครั้งข้านึกอิจฉาท่านพี่ไม่น้อย ท่านไม่ต้องแก่งแย่งชิงบัลลังก์ ไม่ต้องเป็นที่คาดหวังของใคร ๆ แต่พอท่านพี่ต้องแต่งงาน ข้าก็ความเข้าใจความกดดันอันแตกต่างระหว่างชายหญิง ทว่ากลับอดริษยาท่านพี่มิได้เลย” เจินจิ่วหรงลืมตาขึ้นมองเขา ภาพตรงหน้าเลือนรางยากจะแยกออก นางขยับรอยยิ้มบางเบาอันเศร้าหมอง พร้อมเอ่ย “นี่ไม่เหมือนคำพูดของผู้ต้องการช่วงชิงเลยนะ หรือว่าตอนนี้เจ้าไม่ต้องการบัลลังก์แล้ว
บทยี่สิบหก ข้าอยากให้เขาเลือกครอบครัวมากกว่า ความรู้สึกที่เจินจิ่วหรงมีต่อตงเหลียนฮวา ในอดีตนอกจากความอิจฉาริษยาก็ไม่มีสิ่งใด ทว่าตอนนี้มันกลับไม่มีความริษยาอันรุนแรงเช่นนั้นอีกเลย หัวใจของนางร้าวรานและนิ่งสงบ หลังผ่านเรื่องราวมากมาย ตงเหลียนฮวาเป็นเพียงจุดบอดเล็ก ๆ ในชีวิตเท่านั้น ตอนพบหน้ากันอีกหนในค่ายทหาร นางขยับรอยยิ้มกว้างอันสดใส บดบังความมืดหม่นของอีกฝ่ายจนหมดสิ้น ตงเหลียนฮวาถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนหนา ดวงหน้าซีดเซียวและอิดโรย ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองนางสลับกับไท่หย่งเสียน เจินจิ่วหรงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้เขากวาง ในกระโจมแห่งนี้ นอกจากแม่ทัพประจิม ไท่หย่งเสียนและนางก็ไม่มีใครอื่น “ไม่เจอกันนานเลยนะ ตงเหลียนฮวา”นางเอ่ยเสียงราบเรียบ รอยยิ้มไม่เลือนหายจากดวงหน้าสักนิด ขณะตงเหลียนฮวากวาดมองทุกอย่างด้วยความหวาดระแวง เตรียมขอความช่วยเหลือจากไท่หย่งเสียน “หย่งเสียน…ช่วยข้าด้วย” ไท่หย่งเสียนยืนนิ่งเพื่อรอรับคำสั่งจากองค์หญิงเก้าแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ตงเหลียนฮวาตระหนักถึงความจริงว่าเขาเก็บนางไว้เพื่อกลายเป็นนักโทษหรือเหยื่อของเจินจิ่วหรงในสักวัน และวันนี้ก็มาถึง ตงเหลียนฮวาเปล่
บทยี่สิบห้า เจินจิ่วหรงที่บ้าคลั่ง เจินจิ่วหรงนอนแช่ตัวอยู่ในถังน้ำใสสะอาด เส้นผมดำขลับยาวสลวยเลื่อนลงปรกดวงหน้างดงาม หลบซ่อนแววตาสั่นไหวของนางอย่างแนบเนียน ไม่มีข้ารับใช้คนในอยู่ในเรือนนอน จวนตระกูลไท่ถูกทหารล้อมเอาไว้ แม้นว่าการปราบจลาจลจะจบลงแล้ว ดูเหมือนว่าเจินเซียหยางฮ่องเต้จะหวาดระแวงตระกูลไท่อย่างสมบูรณ์แบบ แม้นแม่ทัพประจิมจะเป็นดั่งสุนัขถวายหัวอยู่แทบเท้าก็ตามที ทั้งหมดเป็นเพราะเจินจิ่วหรงคือสะใภ้หนึ่งเดียวของตระกูลไท่ ซ้ำตอนนี้ยังให้กำเนิดบุตรชายแก่พวกเขา ต่อให้ปกปิดที่อยู่ของไท่หย่งเล่อ แต่ก็มิอาจปิดบังตัวตนการมีอยู่ของเขา เจินเซียหยางฮ่องเต้เป็นคนขี้ระแวงและโลภมาก ไม่นานย่อมจับลูกชายของนางเป็นตัวประกัน ทุก ๆ อย่างเหลือเวลาไม่มากแล้ว แต่เจินจิ่วเยี่ยนอายุย่างสิบสี่ปีเท่านั้น ไม่มากพอจะขึ้นครองบัลลังก์โดยไร้ผู้สำเร็จราชการแทน สุดท้ายเขาจะกลายหุ่นเชิดอีกตัวสำหรับตระกูลป๋าย “นี่ หย่งเสียน”นางเอ่ยปากเรียกเขาที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นไร้ลวดลาย ไท่หย่งเสียนชำเลืองมองภรรยา “อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ ข้าเตรียมอาภรณ์ให้เจ้าแล้ว” น้ำเสียงของไท่หย่งเสียนอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ร
บทยี่สิบสี่ ลาก่อนพระสนมเสียนเฟย เจินจิ่วหรงถูกกักตัวอยู่ภายในตำหนักของตนเอง ขณะไท่หย่งเสียนถูกแต่งตั้งเป็นหนึ่งในแม่ทัพเฉพาะกิจกวาดล้างตระกูลเสวียน ภายในวังเกิดการนองเลือดจำนวนมาก เสวียนผินถูกสังหาร แตกต่างจากองค์ชายไม่สมประกอบที่ถูกพวกกบฏนำตัวออกนอกวัง หว่านกุ้ยเฟยและโอรสของนางอย่างองค์ชายเจ็ดถูกนำตัวไปยังห้องลับอันปลอดภัย ส่วนองค์ชายสิบสามถูกกักตัวเช่นเดียวกันกับนาง ตระกูลป๋ายยังไร้การเคลื่อน พวกเขาไม่ได้มีกำลังทหารอะไร มีแต่พวกขุนนางร่วมตัวกันป่วน แน่นอนว่าถูกเจินเซียหยางฮ่องเต้กีดกันให้อยู่กันเป็นส่วน ๆ เจินเซียหยางฮ่องเต้มิอาจกำจัดตระกูลป๋าย พวกเขามีอิทธิพลมากเกินไป แค่กักบริเวณองค์ชายสิบสาม เสมือนว่าความผิดทั้งหมดเป็นของเจินจิ่วเยี่ยน ก็ทำตระกูลป๋ายไม่พอใจมากแล้ว ไม่มีทางที่โอรสสวรรค์จะกล้าลงมืออะไรอีก เจินจิ่วหรงเหยียดตัวนอนบนตั่งหินอ่อน รอเวลาที่ทุกอย่างจบลงด้วยกองเลือดมากมาย การพลัดพรากและสูญเสีย ทุกอย่างเริ่มต้นจากความเห็นแก่ตัวของเจินเซียหยางฮ่องเต้ นางกับเจินจิ่วเยี่ยนตระหนักดีว่าร่างกายของเสด็จแม่ทรุดโทรมขนาดนี้เพราะใคร ตลอดมาถึงนึกชิงชังเจินเซียหยางฮ่องเต