บทสิบเก้า
แดนใต้ หนึ่งเดือนผ่านไป ณ ตำหนักของพระสนมเสียนเฟย ไท่ฮูหยินถูกสั่งให้คุกเข่ามากว่าสองชั่วยามแล้ว ด้วยสุขภาพที่อ่อนแอลง มันใกล้ถึงขีดจำกัดของสตรีวัยกลางคนเต็มที กระนั้นพระสนมเสียนเฟยกลับไร้ความเมตตา นางเพียงยกถ้วยน้ำชาจรดริมฝีปาก เหม่อมองอีกฝ่ายอย่างใจเย็น “เปิ่นกงถามเจ้าว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างหรงเอ๋อร์กับไท่หย่งเสียน ไยถึงไม่มีคำตอบใดกลับมา เจ้าคิดจะกลับกลอกเปิ่นกง หลอกลวงเบื้องสูงหรืออย่างไร !”พระสนมเสียนเฟยกล่าวเสียงเฉียบขาด วางถ้วยน้ำชาลงเสียงดัง จนนางกำนัลคนสนิทต้องเดินเข้ามาปลอบประโลม ลูกสาวของนางเดินทางไปแดนใต้โดยไม่บอกอะไรสักคำ โอรสสวรรค์ก็มิยอมเอ่ยสิ่งใด ซ้ำจวนแม่ทัพประจิมยังเงียบเฉียบ ส่วนเยี่ยนเอ๋อร์ก็เอาแค่แสวงหาฐานอำนาจของตนเองอย่างคุณหนูรองแห่งจวนแม่ทัพบูรพา นี่นับว่าถูกต้อง หากหรงเอ๋อร์ต้องหย่าร้างกับไท่หย่งเสียน เยี่ยนเอ๋อร์ก็จำเป็นต้องมีฐานอำนาจใหม่ และเป็นของตนเองดีที่สุด “กราบทูลพระสนม หย่งเสียนบอกหม่อมฉันว่าพวกเขาแค่แยกกันอยู่ มิได้จะหย่าร้างหรืออะไร นอกจากเรื่องนี้เขาก็ไม่ยอมบอกอะไรอีก”ไท่ฮูหยินกล่าวเสียงสั่นไหว ร่างกายโอนเอนคล้ายจะล้มลงบนผืนพรมเต็มที แต่มีหรือพระสนมเสียนเฟยจะไยดี นางปรายตามองหนหนึ่ง พร้อมกล่าว “เช่นนั้นเจ้าก็ไร้ประโยชน์นัก ลูกสาวของเปิ่นกงตบแต่งเข้าจวนแม่ทัพ เปิ่นกงก็หวังพวกเจ้าจะเอ็นดูนาง หากมิใช่เพราะพวกเจ้าดูแลนางไม่ดี มีหรือนางจะหนีไปไกลถึงแดนใต้” “…” “เจ้าเองก็เป็นถึงแม่สามี ตามธรรมเนียมย่อมต้องรับใช้องค์หญิงเก้า มิใช่มีอำนาจเหนือนาง การที่หรงเอ๋อร์เมตตาเรียกเจ้าว่าท่านแม่ แสดงให้เห็นแล้วว่านางให้เกียรติจวนแม่ทัพเพียงใด แต่พวกเจ้ากลับทำนางหนีไปแดนใต้ !” สิ้นเสียงตวาดลั่น ไท่ฮูหยินรีบโขกหัวลงกับผืนพรม ขณะพระสนมเสียนเฟยหอบหายใจด้วยความเหนื่อยล้า นับแต่องค์หญิงเก้าจากไป นางก็นอนไม่ค่อยหลับนัก เพราะเป็นห่วงลูกสาวอยู่ตลอด ซ้ำยังกังวลเกี่ยวกับอนาคตขององค์ชายสิบสาม ก่อนสถานการณ์ทุกอย่างจะแย่ลงไปมากกว่านี้ องค์ชายสิบสามก้าวขาเข้ามาในตำหนัก เขากวาดตามองไท่ฮูหยินที่คล้ายจะเป็นลมหนหนึ่ง ก่อนย่อตัวลงทำความเคารพมารดา แล้วออกคำสั่งเสียงราบเรียบ “เจ้ารีบไปส่งฮูหยินกลับจวนเถอะ” “ขอบพระทัยองค์ชายเพคะ” ไท่ฮูหยินย่อกายลง กล่าวขอบคุณจากใจจริง ก่อนนางกำนัลคนสนิทของพระสนมเสียนเฟยจะพานางออกไปจากตำหนัก พระสนมเสียนเฟยเอนตัวพิงกับพนักด้านหลัง เปลือกตาค่อย ๆ ปิดลงด้วยความเหนื่อยล้า ขณะองค์ชายสิบสามนำเครื่องหอมไปให้มารดาสูดดม ทำให้อาการดีขึ้นเป็นระยะ “เมื่อหลายวันก่อนลูกไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ถึงล่วงรู้เหตุผลที่ท่านพี่ไปไกลถึงแดนใต้” ประโยคนั้นทำให้เสียนเฟยลืมตาขึ้นทันที “รีบบอกแม่มา” “ท่านพี่กำลังตั้งครรภ์ นางคงมองว่าจวนแม่ทัพประจิมไม่ปลอดภัย เลยหนีไปไกลถึงแดนใต้” คำตอบนี้ทำพระสนมเสียนเฟยเบิกตากว้างด้วยความยินดี ความห่วงหาแปรเปลี่ยนเป็นการชื่นชมในความรอบคอบของเจินจิ่วหรง “ถือเป็นข่าวดีของพวกเรา เท่านี้อำนาจของจวนแม่ทัพประจิมย่อมตกอยู่ในกำมือของเรา” องค์ชายสิบสามหลุบตาต่ำลง “นางเป็นคนแนะนำคุณหนูรองแห่งจวนแม่ทัพบูรพาให้ลูก บอกว่าลูกต้องมีฐานอำนาจของตนเอง ไม่แน่ว่าอนาคตท่านพี่อาจหย่าร้างกับไท่หย่งเสียนจริง ๆ” สีหน้าความยินดีของพระสนมเสียนเฟยเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นกังวล แน่นอนว่าเจินจิ่วเยี่ยนย่อมอ่านออก “ท่านแม่เองก็คงคิดเช่นเดียวกัน ระหว่างอำนาจจวนแม่ทัพประจิมกับจวนแม่ทัพบูรพาควรเลือกเพียงหนึ่ง หากไม่ทำเช่นนั้นพวกเราจะกลายเป็นภัยร้ายต้องกำจัดสำหรับเสด็จพ่อ” พระสนมเสียนเฟยหยิบตัวหมากสีดำบนกระดานขึ้น ปลายนิ้วลูบไล้ตัวหมากกลมมนไร้เหลี่ยม “หรงเอ๋อร์ก็คงมองออกเช่นกัน ทว่าแม่กลับไม่แน่ใจว่านางจะหย่ากับไท่หย่งเสียน ถึงอย่างนั้นหากเราปล่อยคุณหนูรองแห่งจวนแม่ทัพบูรพาไป แล้วหรงเอ๋อร์เกิดเลือกหย่าร้าง ย่อมมีแต่เสียหาย” “…” “ความรักน่ะ ยากเกินกว่าจะปล่อยวาง แม้นคิดว่าปล่อยวางได้แล้ว ระหว่างทางก็ปวดร้าวมากอยู่ดี” องค์ชายสิบสามขมวดคิ้ว พลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เสด็จแม่เคยรักใครนอกจากพวกลูกกับตระกูลป๋ายด้วยหรือ ?” คำถามนี้ทำให้พระสนมเสียนเฟยชะงักค้าง นางก้มหน้ามองกระดานหมาก “ตอนแรกแม่ก็เหมือนสตรีธรรมดาคนหนึ่ง หลังตบแต่งเป็นพระชายารองขององค์รัชทายาท ก็หวังว่าจะได้รับความรักตอบจากเขา พอกลายเป็นพระสนมเสียนเฟยก็มิอาจได้รับความรักอีกแล้ว” เจินเซียหยางฮ่องเต้หยุดปลายเท้าลงอย่างไร้เสียง มีเพียงองค์ชายสิบสามเท่านั้นที่เห็นว่าโอรสสวรรค์เสด็จแม่ ทว่าพระสนมเสียนเฟยกลับมิเห็นแม้แต่เงา “สำหรับฝ่าบาท ข้าคงไม่น่ารักน่าเอ็นดูเหมือนเมื่อหลายสิบปีก่อนแล้ว ทั้ง ๆ ตอนให้กำเนิดหรงเอ๋อร์ เขากลับแย้มยิ้มยินดีถึงเพียงนั้น…” สุดท้าย หยดน้ำตาของพระสนมเสียนเฟยก็ไร้อาบลงมาอย่างไร้เสียงสะอื้น… เจินจิ่วหรงเดินทางถึงแดนใต้อย่างปลอดภัย นางอาศัยอยู่ในจวนขนาดกลางมาสักระยะ ตัวเรือนทำจากไม้สัก ซ้ำยังย้ายต้นท้อขนาดใหญ่มาปลูกไว้รอบ ๆ เรือน กลีบของดอกท้อแบ่งบานสะพรั่ง แม้นจะอาศัยอยู่ห่างจากตัวเมืองค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่ถือว่าลำบากอะไร เพียงแต่จวนของนางค่อนข้างสะดุดตาผู้คน อาจเพราะผลาญเงินไปมากมาย และสองคือขบวนรถม้าที่เข้ามาในหัวเมืองนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าจะเป็นขบวนของพ่อค้า ต่อให้เจินจิ่วหรงเลือกปิดบังฐานะของตนเอง แต่นางก็มาอยากให้ตนเองและบ่าวไพร่ รวมถึงเด็กในท้องไม่ต้องลำบากโดยไม่จำเป็น อากาศอันอบอุ่นของแดนใต้ ท้องฟ้าสีครามกว้างใหญ่ไร้เมฆครึ้ม สองสิ่งนี้ทำให้เจินจิ่วหรงแย้มยิ้มหลังตื่นจากฝันร้ายได้ทุกครา นี่เป็นแรกเช้าอีกวันหนึ่ง นางสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย หยดน้ำตาไหลอาบลงมาไม่ยอมหยุด ขณะเลื่อนบานประตูให้เปิดออก เพื่อชื่นชมความงดงามของดอกท้อ พลางมองไปที่ดอกหลันเบ่งบานอย่างสวยงามไม่แพ้กัน อาภรณ์ตัวนอกของเจินจิ่วหรงเลื่อนหล่น เผยให้เห็นหน้าท้องนู้น ๆ สำหรับอายุครรภ์ย่างสี่เดือน นางหยิบเครื่องหอมที่ชายแปลกหน้าคนนั้นมอบให้ มันเหลืออีกเล็กน้อยก็จะหมดแล้ว เพียงแค่ดมเครื่องหอมนี่ ความวุ่นวายในใจก็สงบลงอย่างน่าประหลาด “องค์หญิงมีจดหมายจากท่านแม่ทัพส่งมาพร้อมยาบำรุงครรภ์เพคะ”รั่วซินกล่าวด้วยความยินดี ก่อนก้าวเท้าเข้ามาในห้องนอนของเจินจิ่วหรง แลเห็นแผ่นหลังบอบบางที่ไม่มีน้ำมีนวลเช่นคนท้องปรกติด้วยความหนักใจ รั่วซินเชิญท่านหมอมากมายมาตรวจองค์หญิง แต่คนพวกนั้นกลับไร้ความสามารถ มิอาจทำให้อาการขององค์หญิงเก้าดีขึ้น ได้แต่หวังพึ่งเครื่องหอมใกล้จะหมดเต็มที “จดหมายของหย่งเสียนให้วางเอาไว้ที่เดิม ส่วนยาบำรุงก็ไปต้มมาให้ข้าดื่ม” นางกำนัลสาวมองไปยังกองจดหมายมากมายบนพื้นตรงมุมห้อง แม้นมีขององค์ชายสิบสามปะปนอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นของท่านรองแม่ทัพ และแน่นอนว่าองค์หญิงแทบไม่เคยเปิดอ่าน เพียงหยิบมันมาดูหนหนึ่ง ก่อนวางทิ้งเอาไว้ “แล้วเรื่องของชายแปลกหน้าคนนั้นที่ให้ไปสืบเป็นอย่างไรบ้าง ?” รั่วซินหลุบตาต่ำลง ตอบเสียงราบเรียบ “องครักษ์เงาบอกว่าชายคนนั้นเป็นบุตรชายคนรองของเจ้าเมืองแห่งแดนใต้ มีนามว่ากู้เจิงหนาน หรือเรียกสั้น ๆ ว่าคุณชายกู้เพคะ” เจินจิ่วหรงยกยิ้ม น้ำเสียงอ่อนลง “เจ้ารีบไปเชิญเขามารักษาข้า ก่อนเครื่องหอมนี่จะหมด” นางกำนัลสาวส่ายหน้าเบา ๆ แทนคำตอบ “เมื่อวานก่อนหม่อมฉันไปเชิญเขามาด้วยตนเอง แต่คุณชายกู้ต้องรักษาผู้ใหญ่บ้านป่วยติดเตียง ซ้ำยังต้องตรวจสุขภาพของเด็ก ๆ ในหมู่บ้าน และเห็นว่าพวกเรามีเงินมากพอจะจ้างหมอท่านอื่น เลยปฏิเสธเพคะ” “จะบอกว่าเงินตราซื้อตัวเขามิได้สินะ”เจินจิ่วหรงเหยียดรอยยิ้ม ความจริงแล้ว มันมีวิธีการแสนง่ายดาย แค่ติดต่อท่านเจ้าเมืองบิดาของเขาไปก็จบ แต่นางมิอยากเปิดเผยตัวตนให้เกิดความยุ่งยาก ดังนั้นเลยต้องใช้วิธีอื่น “ช่วยข้าแต่งกายให้เรียบร้อย พวกเราจะไปหาเขากัน” ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมองค์หญิงถึงต้องลงมือด้วยตนเอง “องค์หญิงชื่นชอมท่านหมอกู้มากเลยหรือเพคะ” เจินจิ่วหรงหัวเราะ พร้อมตอบ “ข้ามิได้ชื่นชอบเขา ถ้าแค่ชอบในฝีมือการรักษาของเขาต่างหาก และยังอยากเห็นความอวดดีนั่นด้วย” และเมื่อเจินจิ่วหรงไปถึงก็ได้เห็นความอวดดีของเขาจริง ๆ ไท่หย่งเสียนมองม้าเร็วจากแดนใต้ที่กลับด้วยความว่างเปล่า ไร้จดหมายจากเจินจิ่วหรง ยังดีที่พวกเขารายงานว่านางกินยาบำรุงครรภ์จนหมด ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดจะยอมแพ้หรอกนะ เขาหยิบพู่กันจุ่มน้ำหมึก เตรียมเขียนจดหมายฉบับต่อไป โดยมีตงเหลียนฮวาจับจ้องมองมาไม่วางตา ผ่านมาเป็นเดือนแล้ว แต่ไท่หย่งเสียนไม่มีทีท่าจะแยแสนางสักนิดเดียว วัน ๆ นอกจากตรวจตรากองทัพก็เขียนจดหมายให้เจินจิ่วหรง จากนั้นก็กลับจวน ปล่อยทิ้งตงเหลียนฮวาไว้ในกระโจม โดยมีทหารคอยควบคุมอยู่ด้านนอก ไท่หย่งเสียนมิได้ปฎิบัติต่อนางในฐานะสตรี แต่เหมือนเป็นเชลยสงครามเสียมากกว่า กระนั้นมันไม่มีทางเป็นไปได้หรอกที่เขาจะล่วงรู้ตัวตนแท้จริงของนาง ตงเหลียนฮวาเคยหลอกเขามาได้เป็นปี ๆ ไยจะหลอกลวงอีกมิได้กัน ! “หย่งเสียน ข้าเวียนหัว…” “…” “เหมือนจะเป็นลม” ว่าแล้วก็จงใจแหวกเนินอกให้ไท่หย่งเสียนเห็น แต่เขากลับเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ปล่อยตงเหลียนฮวาแสดงละครไปตามลำพัง “…” “ข้าจะเป็นลมแล้วจริง ๆ นะ…” ไท่หย่งเสียนยกปลายพู่กันขึ้น “ข้าเคยบอกแล้วว่านามหย่งเสียน มีเพียงครอบครัว และภรรยากับลูกที่เรียกได้ ส่วนเจ้าเป็นคนนอก” “…” “นี่นับว่าล่วงเกินองค์หญิงเก้าอย่างชัดเจน ก่อนจะเป็นลมก็ไปคุกเข่าขอโทษนางก่อนเถอะ”บทสุดท้าย ท้องฟ้าและผืนหญ้า ปฏิหาริย์มีจริง และเต็มเปี่ยมด้วยหยดน้ำตาขององค์รัขทายาท หลังองค์หญิงเก้าที่สลบไปเป็นปีลืมตาตื่น พร้อมกับฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ดวงตาเรียวดั่งหงส์อันเลือนลอยกวาดมองรอบกาย ดวงหน้าซีดเซียวไร้รอยยิ้ม แตกต่างจากตอนสลบไปโดยสิ้นเชิง เสมือนว่าเจินจิ่วหรงไม่ต้องการตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ลำคอของนางแห้งเหือด จนต้องดื่มน้ำไปหลายถ้วย ขณะถูกองค์รัชทายาทและพระชายาเอกนามซ่งเยี่ยหวั่นพยุงตัวขึ้น เจินจิ่วหรงมองพวกเขา ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อบ เจินจิ่วเยี่ยนที่ตอนนี้ครองตำแหน่งองค์รัชทายาทมาสองปีเผยรอยยิ้มกว้าง หยดน้ำตาไหลอาบลงมาไม่ยอมหยุด เขาโอบกอดพี่สาวของตนเองแน่น ขณะเจินจิ่วหรงเหมือนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว “หย่งเสียน…ละ”นางถามหาเขาเป็นประโยคแรก ทำให้เจินจิ่วเยี่ยนและซ่งเยี่ยหวั่นหยุดชะงักไปตามกัน พวกเขาหลบสายตาของเจินจิ่วหรง แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “เขาตายไปนานแล้ว” “…” “ล่าสุดที่ข้าไปเยี่ยมหลุมศพของเขา มีดอกหญ้าขึ้นปกคลุม ทุกอย่างเขียวขจี” นางค่อย ๆ พยักหน้าอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาไหลออกมาตอนไหน ปลายนิ้วมือกำลังสั่นระริก ร่างกายสั่นสะท้านราวนกตัวน้อยห
บทยี่สิบแปด การไม่ครอบครอง การเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจเริ่มขึ้นแล้ว หลังเจินจิ่วหรงกลับจากวังหลวง เช้าวันต่อมาเรื่องราวการทุจริตของตระกูลป๋ายก็ถูกเปิดเผย เจินเซียหยางฮ่องเต้เผยแพร่เรื่องนี้ให้ประชาชนรับรู้ ตระกูลป๋ายกลายเป็นนักโทษของสังคม ก่อนการไต่สวนครั้งสุดท้ายจะมาถึงเสียอีก คนจากวังหลวงเชิญเจินจิ่วหรงไปเป็นพยานในการไต่สวน เดิมนางคิดจะปฏิเสธ แต่กลับอยากเห็นสีหน้าผู้เฒ่าของตระกูลป๋ายขึ้นมา เลยแต่งกายสีฉูดฉาดเรือนผมประดับปิ่นทองคำเก้าเล่มไปดูพวกเขาด้วยตาตน เสียงความวุ่นวายรบกวนความสงบ ท้องพระโรงเหมือนสนามรบ นางเลือกจะไม่พูดอะไรออกมามากนัก แค่พยักหน้าและตอบในสิ่งที่สมควร ทำเอาพวกตระกูลป๋ายชี้หน้าด่าจนโดนตบกันเป็นแถบ เจินจิ่วหรงแค่นยิ้มเย็นชา ประโยคสุดท้ายที่นางเอ่ยเลื่อนลอยยิ่งนัก ก่อนนางจะหมดสติไปท่ามกลางความตื่นตระหนกของคนมากมาย หมอหลวงบอกว่านางอยู่ได้อีกไม่นาน เจินจิ่วหรงนั่งนิ่ง เหม่อมองภาพสะท้อนของตนเองบนกระจกทองเหลือง ท่ามกลางเหล่านางกำนัลที่เกล้าผมให้อยู่ ทั้งหมดเป็นเพราะการไม่ได้พักผ่อนหลังคลอดลูก รวมถึงการถูกวางยาตลอดระยะเวลาที่กลับมายังจวนแม่ทัพ ไม่ต้องคาดเ
บทยี่สิบเจ็ด นี่คงเป็นเรื่อง ผิดบ้าง ถูกบ้าง “จริง ๆ แล้ว ระหว่างถูกขังในตำหนัก เสด็จพ่อมาหาข้าด้วย แววตาของเขาเลื่อนลอยและว่างเปล่า กระนั้นกลับสะท้อนความเหี้ยมโหดไม่น้อย” “อือ” เจินจิ่วหรงเปล่งเสียงครางตอบรับน้องชายที่นอนอยู่บนตักของนาง พลางยกมือลูบหัวเขาเบา ๆ เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ “เขาบอกว่าเสด็จแม่—ป๋ายอวี้หลันจะมีความสุขกว่า หากกลับสู่อ้อมอกของตระกูลป๋าย แทนการถูกฝังในสุสานหลวง” “…” “แล้วหลังจากนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมาละ” “อ่า” “ต่อให้พวกเราไม่เลือกชิงบัลลังก์ แต่ความกดดันจากตระกูลป๋าย และข้ายังเกิดมาเป็นบุรุษ อย่างไรก็หลีกหนีความโลภคนมากมายไม่พ้น แม้นแต่เสด็จแม่ก็ตาม” “…” “มีบางครั้งข้านึกอิจฉาท่านพี่ไม่น้อย ท่านไม่ต้องแก่งแย่งชิงบัลลังก์ ไม่ต้องเป็นที่คาดหวังของใคร ๆ แต่พอท่านพี่ต้องแต่งงาน ข้าก็ความเข้าใจความกดดันอันแตกต่างระหว่างชายหญิง ทว่ากลับอดริษยาท่านพี่มิได้เลย” เจินจิ่วหรงลืมตาขึ้นมองเขา ภาพตรงหน้าเลือนรางยากจะแยกออก นางขยับรอยยิ้มบางเบาอันเศร้าหมอง พร้อมเอ่ย “นี่ไม่เหมือนคำพูดของผู้ต้องการช่วงชิงเลยนะ หรือว่าตอนนี้เจ้าไม่ต้องการบัลลังก์แล้ว
บทยี่สิบหก ข้าอยากให้เขาเลือกครอบครัวมากกว่า ความรู้สึกที่เจินจิ่วหรงมีต่อตงเหลียนฮวา ในอดีตนอกจากความอิจฉาริษยาก็ไม่มีสิ่งใด ทว่าตอนนี้มันกลับไม่มีความริษยาอันรุนแรงเช่นนั้นอีกเลย หัวใจของนางร้าวรานและนิ่งสงบ หลังผ่านเรื่องราวมากมาย ตงเหลียนฮวาเป็นเพียงจุดบอดเล็ก ๆ ในชีวิตเท่านั้น ตอนพบหน้ากันอีกหนในค่ายทหาร นางขยับรอยยิ้มกว้างอันสดใส บดบังความมืดหม่นของอีกฝ่ายจนหมดสิ้น ตงเหลียนฮวาถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนหนา ดวงหน้าซีดเซียวและอิดโรย ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองนางสลับกับไท่หย่งเสียน เจินจิ่วหรงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้เขากวาง ในกระโจมแห่งนี้ นอกจากแม่ทัพประจิม ไท่หย่งเสียนและนางก็ไม่มีใครอื่น “ไม่เจอกันนานเลยนะ ตงเหลียนฮวา”นางเอ่ยเสียงราบเรียบ รอยยิ้มไม่เลือนหายจากดวงหน้าสักนิด ขณะตงเหลียนฮวากวาดมองทุกอย่างด้วยความหวาดระแวง เตรียมขอความช่วยเหลือจากไท่หย่งเสียน “หย่งเสียน…ช่วยข้าด้วย” ไท่หย่งเสียนยืนนิ่งเพื่อรอรับคำสั่งจากองค์หญิงเก้าแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ตงเหลียนฮวาตระหนักถึงความจริงว่าเขาเก็บนางไว้เพื่อกลายเป็นนักโทษหรือเหยื่อของเจินจิ่วหรงในสักวัน และวันนี้ก็มาถึง ตงเหลียนฮวาเปล่
บทยี่สิบห้า เจินจิ่วหรงที่บ้าคลั่ง เจินจิ่วหรงนอนแช่ตัวอยู่ในถังน้ำใสสะอาด เส้นผมดำขลับยาวสลวยเลื่อนลงปรกดวงหน้างดงาม หลบซ่อนแววตาสั่นไหวของนางอย่างแนบเนียน ไม่มีข้ารับใช้คนในอยู่ในเรือนนอน จวนตระกูลไท่ถูกทหารล้อมเอาไว้ แม้นว่าการปราบจลาจลจะจบลงแล้ว ดูเหมือนว่าเจินเซียหยางฮ่องเต้จะหวาดระแวงตระกูลไท่อย่างสมบูรณ์แบบ แม้นแม่ทัพประจิมจะเป็นดั่งสุนัขถวายหัวอยู่แทบเท้าก็ตามที ทั้งหมดเป็นเพราะเจินจิ่วหรงคือสะใภ้หนึ่งเดียวของตระกูลไท่ ซ้ำตอนนี้ยังให้กำเนิดบุตรชายแก่พวกเขา ต่อให้ปกปิดที่อยู่ของไท่หย่งเล่อ แต่ก็มิอาจปิดบังตัวตนการมีอยู่ของเขา เจินเซียหยางฮ่องเต้เป็นคนขี้ระแวงและโลภมาก ไม่นานย่อมจับลูกชายของนางเป็นตัวประกัน ทุก ๆ อย่างเหลือเวลาไม่มากแล้ว แต่เจินจิ่วเยี่ยนอายุย่างสิบสี่ปีเท่านั้น ไม่มากพอจะขึ้นครองบัลลังก์โดยไร้ผู้สำเร็จราชการแทน สุดท้ายเขาจะกลายหุ่นเชิดอีกตัวสำหรับตระกูลป๋าย “นี่ หย่งเสียน”นางเอ่ยปากเรียกเขาที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นไร้ลวดลาย ไท่หย่งเสียนชำเลืองมองภรรยา “อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ ข้าเตรียมอาภรณ์ให้เจ้าแล้ว” น้ำเสียงของไท่หย่งเสียนอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ร
บทยี่สิบสี่ ลาก่อนพระสนมเสียนเฟย เจินจิ่วหรงถูกกักตัวอยู่ภายในตำหนักของตนเอง ขณะไท่หย่งเสียนถูกแต่งตั้งเป็นหนึ่งในแม่ทัพเฉพาะกิจกวาดล้างตระกูลเสวียน ภายในวังเกิดการนองเลือดจำนวนมาก เสวียนผินถูกสังหาร แตกต่างจากองค์ชายไม่สมประกอบที่ถูกพวกกบฏนำตัวออกนอกวัง หว่านกุ้ยเฟยและโอรสของนางอย่างองค์ชายเจ็ดถูกนำตัวไปยังห้องลับอันปลอดภัย ส่วนองค์ชายสิบสามถูกกักตัวเช่นเดียวกันกับนาง ตระกูลป๋ายยังไร้การเคลื่อน พวกเขาไม่ได้มีกำลังทหารอะไร มีแต่พวกขุนนางร่วมตัวกันป่วน แน่นอนว่าถูกเจินเซียหยางฮ่องเต้กีดกันให้อยู่กันเป็นส่วน ๆ เจินเซียหยางฮ่องเต้มิอาจกำจัดตระกูลป๋าย พวกเขามีอิทธิพลมากเกินไป แค่กักบริเวณองค์ชายสิบสาม เสมือนว่าความผิดทั้งหมดเป็นของเจินจิ่วเยี่ยน ก็ทำตระกูลป๋ายไม่พอใจมากแล้ว ไม่มีทางที่โอรสสวรรค์จะกล้าลงมืออะไรอีก เจินจิ่วหรงเหยียดตัวนอนบนตั่งหินอ่อน รอเวลาที่ทุกอย่างจบลงด้วยกองเลือดมากมาย การพลัดพรากและสูญเสีย ทุกอย่างเริ่มต้นจากความเห็นแก่ตัวของเจินเซียหยางฮ่องเต้ นางกับเจินจิ่วเยี่ยนตระหนักดีว่าร่างกายของเสด็จแม่ทรุดโทรมขนาดนี้เพราะใคร ตลอดมาถึงนึกชิงชังเจินเซียหยางฮ่องเต