บทยี่สิบเอ็ด
หลอกล่อสุนัข แม้นพระสนมเสียนเฟยจะรอดมาได้ แต่การล้มป่วยอย่างรุนแรงครั้งนี้ของนางทำให้ราชสำนักสั่นคลอน ตระกูลป๋ายกดดันเจินเซียหยางฮ่องเต้อย่างหนัก ซ้ำยังกดให้แต่งตั้งองค์ชายสิบสามเป็นองค์รัชทายาทอย่างเปิดเผย ทำเอาโอรสของหว่านกุ้ยเฟยไม่อาจนิ่งเฉย เจินเซียหยางฮ่องเต้กำลังวิตก เขาตกที่นั่งลำบากอย่างชัดเจน ยามเหม่อมององค์ชายสิบสามที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า ก็ได้เก็บกดความต้องการอันแท้จริงของตนเองไว้ หากเจินจิ่วเยี่ยนไม่มีสายเลือดตระกูลป๋าย เขาอาจยินดีแต่งตั้งอีกฝ่ายเป็นองค์รัชทายาท มีเพียงองค์ชายสิบสามที่มีความสามารถมากพอจะชักใยขุนนาง มิใช่ถูกขุนนางมากมายโยงใยเช่นเขา น่าเสียดายที่คุณธรรมในใจต่ำกว่าความสามารถเกินไป โอรสของหว่านกุ้ยเฟยจึงทำให้เจินเซียหยางฮ่องเต้วางใจได้มากกว่า “ลูกเป็นโอรส ย่อมไม่อาจติเตียนเสด็จพ่อ เพียงแต่เสด็จแม่วิตกเรื่องท่านพี่อย่างหนัก ซ้ำยังต้องกังวลเรื่องของลูก ร่างกายเลยทรุดลงเพราะเกินจะรับไหว”เจินจิ่วเยี่ยนกล่าวเสียงราบเรียบ แหงนหน้ามองเจินเซียหยางฮ่องเต้ด้วยความเฉยชา ทั้งชีวิตของเขานอกจากเสด็จแม่กับท่านพี่ คนอื่นล้วนเป็นแต่ตัวหมาก นั่นรวมถึงเจินเซียหยางฮ่องเต้ โอรสสวรรค์เคยหลอกลวงมารดาของเขาเช่นไร เขาก็จะโยงใยโอรสสวรรค์จนเส้นด้ายพันรอบตนเอง มิอาจดิ้นหลุด “หากเสด็จพ่อต้องการจะแต่งตั้งโอรสของหว่านกุ้ยเฟยเป็นองค์รัชทายาทก็ตามใจ ลูกไม่มีความเห็นอะไรทั้งนั้น” เจินเซียหยางเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา พร้อมเอ่ยเสียงอ่อนลง “เจ้าพูดจริง ๆ หรือ” เจินจิ่วเยี่ยนลอยเหยียดยิ้มขบขันเงียบ ๆ “อำนาจแต่งตั้งองค์รัชทายาทถือเป็นอำนาจอันชอบธรรมของเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” ส่วนองค์รัชทายาทจะรักษาตำแหน่งของตนได้หรือไม่ก็อีกเรื่อง ยิ่งกว่านั้นต่อให้ตอนนี้เขาถอยออกมา ลำพังเจินเซียหยางฮ่องเต้คนเดียว ก็ไม่มีปัญญาจะแต่งตั้งโอรสของหว่านกุ้ยเฟยที่มาจากตระกูลระดับกลาง ๆ เป็นองค์รัชทายาทหรอกนะ ก็แค่หลอกล่อให้สุนัขงับเหยื่อเท่านั้นเอง “ลูกขอไปหาเสด็จแม่ก่อน ทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” “เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าวังมาบ่อยเช่นนี้ แม่ดีขึ้นมากแล้ว”พระสนมเสียนเฟยกล่าวราบเรียบ ยามเห็นองค์ชายสิบสามก้าวเท้าเข้ามาในตำหนัก ลูกชายของนางระบายยิ้มอ่อนโยน พลางหยิบถ้วยยาจากนางกำนัล มาป้อนแก่มารดาด้วยตนเอง “ลูกมีมารดาเพียงคนเดียว จะไม่ให้ห่วงหาได้อย่างไรกัน ?” พระสนมเสียนเฟยยกยิ้มกว้าง มองดวงหน้าของเจินจิ่วเยี่ยนที่นับวันยิ่งคล้ายคลึงกับเจินเซียหยางฮ่องเต้ ในชีวิตของนางนอกจากตระกูลป๋าย ก็มีเพียงเจินจิ่วเยี่ยนและเจินจิ่วหรงเท่านั้น “เจ้าทำตามที่แม่บอกใช่หรือไม่ ห้ามบอกเรื่องอาการป่วยกับหรงเอ๋อร์เด็ดขาด นางกำลังตั้งครรภ์ ไม่ควรได้ยินเรื่องอัปมงคล” เจินจิ่วเยี่ยนขมวดคิ้วยุ่งยาก “ลูกมิได้เขียนจดหมายบอกท่านพี่ก็จริง แต่หาใช่เพราะอาการป่วยของท่านแม่เป็นเรื่องอัปมงคลหรอกนะ” พระสนมเสียนเฟยยกมือลูบหัวองค์ชายสิบสามเบา ๆ “เจ้าละเอียดรอบคอบเสมอ” “วันนี้ลูกบอกเสด็จพ่อให้แต่งตั้งองค์รัชทายาท” “แล้วเขาว่าอย่างไร ต้องดีใจจนออกนอกหน้าเลยกระมัง”นางกล่าวจบก็ยกมือปิดปากไอออกมาเบา ๆ จนองค์ชายสิบสามต้องรีบหาน้ำชามาให้ดื่ม “เจ้าต้องระวังตัวให้ดี” “เขาไม่มีปัญญาแต่งตั้งโอรสของหว่านกุ้ยเฟยเป็นองค์รัชทายาทหรอก หากยังไม่อยากให้เกิดสงครามในราชสำนัก นี่ก็แค่แผนการตบตาว่าลูกจะยอมถอยเท่านั้นเอง” พระสนมเสียนเฟยหลุบตาต่ำลง ขณะยกมือทาบอก “หรงเอ๋อร์ก็คงมองออกว่าบิดาของนางต้องการกำจัดเด็กในท้อง ถึงหนีไปไกลยังแดนใต้ โชคดีจริง ๆ ที่นางอยู่ไกลราชสำนัก” “ท่านพี่มักมองการณ์ไกลมากกว่าลูกเสมอ ถือว่าเดินหมากตัดสินใจได้เฉียบขาดและถูกต้อง” ผู้เป็นมารดาเอื้อมมือสัมผัสแผ่นหลังกว้างของบุตรชาย “ใช่ หรงเอ๋อร์คิดถูกเรื่องละทิ้งตระกูลไท่ อนาคตหากพี่สาวจะหย่าร้าง แม่จะยินดีด้วย ตัวหมากที่ใช้การมิได้ มีเอาไว้ก็ไร้ประโยชน์” “…” “แม่รู้ว่าเจ้าถูกใจคุณหนูรองแห่งจวนแม่ทัพบูรพา ฐานะของนางนับว่าเหมาะสม อีกอย่างในเมื่อหรงเอ๋อร์ไม่ต้องการไท่หย่งเสียนแล้ว แม่ก็ไม่อยากบังคับนาง ไม่มีมารดาคนไหนอยากเห็นบุตรสาวมีชะตากรรมเหมือนตนเอง”เมื่อกล่าวจบแววตาของพระสนมเสียนเฟยก็หม่นแสงลง อย่างน้อย ๆ นางก็อยากให้เจินจิ่วหรงโชคดีกว่าตนเองสักหน่อยก็ยังดี “แค่หลานคนเดียวลูกกับท่านแม่เลี้ยงได้อยู่แล้ว พวกเราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตระกูลไท่” “ใช่แล้ว !” “ส่วนเรื่องซ่งเยี่ยหวั่น ลูกคิดว่าจะรอสักสองสามปีค่อยสู่ขอนางอย่างเป็นทางการ ตอนนั้นท่านพี่คงสะสางอะไรมากมายกับไท่หย่งเสียนพอดี นับเป็นโอกาสเหมาะ” พระสนมเสียนเฟยพยักหน้าเห็นด้วย ยกมือโอบกอดเจินจิ่วเยี่ยนอย่างหวงแหน เขาเป็นหนึ่งในสิ่งที่มีค่าที่สุดของนาง “ถ้าได้กอดหรงเอ๋อร์อีกสักคนก็คงดี” “หากมีโอกาสลูกจะหาเวลาไปพบท่านพี่ด้วยตนเอง” “ขอบใจนะ เยี่ยนเอ๋อร์” แม่ทัพประจิมขมวดคิ้วยุ่งยากแก่รายงานหลายฉบับจากวังหลวง มีข่าวลือแพร่สะพัดออกมาว่าเจินเซียหยางฮ่องเต้จะแต่งตั้งองค์รัขทายาท ท่ามกลางสถานการณ์ยุ่งยาก ราชสำนักไม่ต่างจากเกลียวคลื่นอันบ้าคลั่ง มันจะสำเร็จได้อย่างไร ยิ่งคนผู้นั้นคือโอรสของหว่านกุ้ยเฟยผู้ไร้อำนาจ ไม่รู้ว่าใครกันที่ยุโยงเรื่องนี้ นี่มันหนทางสู่ความตายชัด ๆ “หย่งเสียน เจ้าว่าควรห้ามฝ่าบาทเช่นไรดี” ไท่หย่งเสียนเงยหน้ามองบิดา สีหน้าของเขาเรียบเฉยจนเหมือนเย็นชาราวก้อนน้ำแข็ง เมื่อชีวิตก่อน เพราะความเห็นแก่ตัวของเจินเซียหยางฮ่องเต้ ทำให้ชีวิตแต่งงานของเขากับเจินจิ่วหรงต้องจบลง พูดตามตรง เขาไม่ต้องการเลือกเจินเซียหยางฮ่องเต้อีกแล้ว คนเดียวที่เขายินยอมสยบด้วยมีเพียงเจินจิ่วหรง “การแต่งตั้งองค์รัชทายาทเป็นอำนาจของฝ่าบาท ขุนนางอย่างพวกเราไม่ควรไปยุ่งเกี่ยว”ไท่หย่งเสียงตอบ พลางหยิบถ้วยน้ำชาจรดริมฝีปาก รสชาติอันหอมหวานของมันทำให่เขานึกถึงเจินจิ่วหรงที่มักชงชาให้เสมอ “ก็จริงของเจ้า…” “หากท่านพ่อพูดอะไรออกไปตอนนี้ นอกจากเจินเซียหยางฮ่องเต้จะไม่ยอมฟัง ยังจะคิดว่าท่านพ่อเป็นพวกตระกูลป๋ายอีกด้วย” แม่ทัพประจิมปิดปากเงียบ ก้มหน้ามองกระดานหมากล้อมอย่างวิตก ขณะไท่หย่งเสียนขยับลุกขึ้นยืน แล้วเดินเข้าไปใกล้แผนที่ ไล้ปลายนิ้วไปยังแดนใต้ด้วยความถวิลหา “เรื่องตงเหลียนฮวา เจ้าจะเอาอย่างไรต่อ ตอนนี้ฝ่าบาทสนใจแต่การแต่งตั้งองค์รัชทายาท คงไม่มีเวลามาเหลียวแลกองทัพ น่าจะปิดเรื่องนางได้เป็นปี ๆ หากนางไม่ทำอะไร” ไท่หย่งเสียนปิดเปลือกตาลง หน้าผากแนบชิดกับแผ่นที่ จดหมายมากมายที่ส่งไปไม่เคยได้รับการตอบกลับมา เช่นนั้นก็มีเพียงหนทางเดียว “ขังนางไว้กองทัพ ภายนอกเหมือนแขก แต่ความจริงตงเหลียนฮวาคือนักโทษคนหนึ่ง เมื่อทุกอย่างพร้อม เราจะทำสงครามกับแคว้นฝูเยว่ยึดเอาดินแดนบูรพากลับมา !” “อ่า…” “ส่วนตอนนี้ลูกจะไปแดนใต้ เพื่อไปหาจิ่วหรง เมื่อไปถึงนางก็คงใกล้คลอดเต็มที ช่วงเวลายากลำบากเช่นนั้น ลูกมิอาจทิ้งภรรยาไว้ตามลำพัง” หลังจากนั้นไม่กี่วัน ไท่หย่งเสียนออกเดินทางไปยังแดนใต้ตามลำพัง อาศัยเพียงม้าดีหนึ่งตัวเท่านั้นเอง เจินจิ่วหรงตั้งครรภ์ได้เก้าเดือนแล้ว หน้าท้องของนางนู้นเด่นออกมาอย่างชัดเจน โชคดีที่หลังจากได้ท่านหมอกู้มารักษา อาการนอนไม่หลับก็ดีขึ้นมาก เพียงแต่นางยังเห็นภาพหลอนของไท่หย่งเสียนเป็นระยะ สุดท้ายก็จำต้องหยิบจดหมายของเขามาอ่านจนได้ ในนั้นบรรยายถึงชีวิตประจำวันเรื่อยไป พร้อมถามนางกลับเป็นระยะว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง แล้วจบลงด้วยการบอกรักและถวิลหาเจินจิ่วหรงมากเพียงใด นอกจากจดหมายจากไท่หย่งเสียน เสด็จแม่ก็ไม่เคยส่งจดหมายมาสักฉบับเดียว มีเพียงน้องสิบสาม ตอนอายุครรภ์ใกล้จะครบสิบเดือน หน้าท้องของเจินจิ่วหรงแตกลายอย่างถึงที่สุด เท้าของนางบวมและปวดไปหมด ตอนนอนก็ลำบากเป็นอย่างยิ่ง ซ้ำยังเจ็บท้องเป็นระยะ เหมือนจะคลอดแต่ก็ไม่คลอดเสียที หลายครั้งที่รั่วซินต้องตามท่านหมอกู้มากลางดึก เพราะเจินจิ่วหรงเหมือนจะคลอดลูก แต่สุดท้ายก็เหมือนเดิม จนคืนนี้นางบอกรั่วซินไม่ต้องไปตามท่านหมอกู้มาอีกแล้ว หยาดเหงื่อมากมายพุดพรายกลางดวงหน้า คราวนี้มันเจ็บจนเจินจิ่วหรงเปล่งเสียงร้องออกมาท่ามกลางความตื่นตระหนกของรั่วซิน นางจิกปลายเล็บเรียวยาวลากลงบนอาภรณ์ พร้อมหอบหายใจเข้าออกอย่างรุนแรง มันปวดร้าวจนเหมือนร่างกายถูกฉีกออก หยดน้ำตาไหลอาบท่วมดวงหน้าซีดเซียว “หม่อมฉันจะรีบไปตามท่านหมอกู้มา !” รั่วซินกล่าวก่อนเดินหายไป ทิ้งให้เจินจิ่วหรงตะเกียกตะกายอยู่บนผืนพรม นางพยายามหลับตาลง กำหนดลมหายใจเข้าออกอย่างสงบ แต่เมื่อเผลอลืมตาขึ้นก็เห็นภาพหลอนของไท่หย่งเสียนพลักบานประตูเข้ามา ครานี้มันสมจริงมาก ได้ยินกระทั่งเสียงบานประตูเปิดออก รวมถึงเสียงปลายเท้าหยียบย้ำลงบนพื้น ฝ่ามืออุ่นร้อนของเขาทาบลงบนดวงหน้างดงาม โอบอุ้มเจินจิ่วหรงในอ้อมแขน และค่อย ๆ วางนางลงบนเตียง “หย่งเสียน…” ไท่หย่งเสียนพยักหน้า พร้อมหยดน้ำตาไหลรินออกมา “ข้าอยู่นี่แล้ว” ณ ตอนนั้น เจินจิ่วหรงร้องไห้ออกมาในที่สุดบทสุดท้าย ท้องฟ้าและผืนหญ้า ปฏิหาริย์มีจริง และเต็มเปี่ยมด้วยหยดน้ำตาขององค์รัขทายาท หลังองค์หญิงเก้าที่สลบไปเป็นปีลืมตาตื่น พร้อมกับฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ดวงตาเรียวดั่งหงส์อันเลือนลอยกวาดมองรอบกาย ดวงหน้าซีดเซียวไร้รอยยิ้ม แตกต่างจากตอนสลบไปโดยสิ้นเชิง เสมือนว่าเจินจิ่วหรงไม่ต้องการตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ลำคอของนางแห้งเหือด จนต้องดื่มน้ำไปหลายถ้วย ขณะถูกองค์รัชทายาทและพระชายาเอกนามซ่งเยี่ยหวั่นพยุงตัวขึ้น เจินจิ่วหรงมองพวกเขา ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อบ เจินจิ่วเยี่ยนที่ตอนนี้ครองตำแหน่งองค์รัชทายาทมาสองปีเผยรอยยิ้มกว้าง หยดน้ำตาไหลอาบลงมาไม่ยอมหยุด เขาโอบกอดพี่สาวของตนเองแน่น ขณะเจินจิ่วหรงเหมือนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว “หย่งเสียน…ละ”นางถามหาเขาเป็นประโยคแรก ทำให้เจินจิ่วเยี่ยนและซ่งเยี่ยหวั่นหยุดชะงักไปตามกัน พวกเขาหลบสายตาของเจินจิ่วหรง แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “เขาตายไปนานแล้ว” “…” “ล่าสุดที่ข้าไปเยี่ยมหลุมศพของเขา มีดอกหญ้าขึ้นปกคลุม ทุกอย่างเขียวขจี” นางค่อย ๆ พยักหน้าอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาไหลออกมาตอนไหน ปลายนิ้วมือกำลังสั่นระริก ร่างกายสั่นสะท้านราวนกตัวน้อยห
บทยี่สิบแปด การไม่ครอบครอง การเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจเริ่มขึ้นแล้ว หลังเจินจิ่วหรงกลับจากวังหลวง เช้าวันต่อมาเรื่องราวการทุจริตของตระกูลป๋ายก็ถูกเปิดเผย เจินเซียหยางฮ่องเต้เผยแพร่เรื่องนี้ให้ประชาชนรับรู้ ตระกูลป๋ายกลายเป็นนักโทษของสังคม ก่อนการไต่สวนครั้งสุดท้ายจะมาถึงเสียอีก คนจากวังหลวงเชิญเจินจิ่วหรงไปเป็นพยานในการไต่สวน เดิมนางคิดจะปฏิเสธ แต่กลับอยากเห็นสีหน้าผู้เฒ่าของตระกูลป๋ายขึ้นมา เลยแต่งกายสีฉูดฉาดเรือนผมประดับปิ่นทองคำเก้าเล่มไปดูพวกเขาด้วยตาตน เสียงความวุ่นวายรบกวนความสงบ ท้องพระโรงเหมือนสนามรบ นางเลือกจะไม่พูดอะไรออกมามากนัก แค่พยักหน้าและตอบในสิ่งที่สมควร ทำเอาพวกตระกูลป๋ายชี้หน้าด่าจนโดนตบกันเป็นแถบ เจินจิ่วหรงแค่นยิ้มเย็นชา ประโยคสุดท้ายที่นางเอ่ยเลื่อนลอยยิ่งนัก ก่อนนางจะหมดสติไปท่ามกลางความตื่นตระหนกของคนมากมาย หมอหลวงบอกว่านางอยู่ได้อีกไม่นาน เจินจิ่วหรงนั่งนิ่ง เหม่อมองภาพสะท้อนของตนเองบนกระจกทองเหลือง ท่ามกลางเหล่านางกำนัลที่เกล้าผมให้อยู่ ทั้งหมดเป็นเพราะการไม่ได้พักผ่อนหลังคลอดลูก รวมถึงการถูกวางยาตลอดระยะเวลาที่กลับมายังจวนแม่ทัพ ไม่ต้องคาดเ
บทยี่สิบเจ็ด นี่คงเป็นเรื่อง ผิดบ้าง ถูกบ้าง “จริง ๆ แล้ว ระหว่างถูกขังในตำหนัก เสด็จพ่อมาหาข้าด้วย แววตาของเขาเลื่อนลอยและว่างเปล่า กระนั้นกลับสะท้อนความเหี้ยมโหดไม่น้อย” “อือ” เจินจิ่วหรงเปล่งเสียงครางตอบรับน้องชายที่นอนอยู่บนตักของนาง พลางยกมือลูบหัวเขาเบา ๆ เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ “เขาบอกว่าเสด็จแม่—ป๋ายอวี้หลันจะมีความสุขกว่า หากกลับสู่อ้อมอกของตระกูลป๋าย แทนการถูกฝังในสุสานหลวง” “…” “แล้วหลังจากนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมาละ” “อ่า” “ต่อให้พวกเราไม่เลือกชิงบัลลังก์ แต่ความกดดันจากตระกูลป๋าย และข้ายังเกิดมาเป็นบุรุษ อย่างไรก็หลีกหนีความโลภคนมากมายไม่พ้น แม้นแต่เสด็จแม่ก็ตาม” “…” “มีบางครั้งข้านึกอิจฉาท่านพี่ไม่น้อย ท่านไม่ต้องแก่งแย่งชิงบัลลังก์ ไม่ต้องเป็นที่คาดหวังของใคร ๆ แต่พอท่านพี่ต้องแต่งงาน ข้าก็ความเข้าใจความกดดันอันแตกต่างระหว่างชายหญิง ทว่ากลับอดริษยาท่านพี่มิได้เลย” เจินจิ่วหรงลืมตาขึ้นมองเขา ภาพตรงหน้าเลือนรางยากจะแยกออก นางขยับรอยยิ้มบางเบาอันเศร้าหมอง พร้อมเอ่ย “นี่ไม่เหมือนคำพูดของผู้ต้องการช่วงชิงเลยนะ หรือว่าตอนนี้เจ้าไม่ต้องการบัลลังก์แล้ว
บทยี่สิบหก ข้าอยากให้เขาเลือกครอบครัวมากกว่า ความรู้สึกที่เจินจิ่วหรงมีต่อตงเหลียนฮวา ในอดีตนอกจากความอิจฉาริษยาก็ไม่มีสิ่งใด ทว่าตอนนี้มันกลับไม่มีความริษยาอันรุนแรงเช่นนั้นอีกเลย หัวใจของนางร้าวรานและนิ่งสงบ หลังผ่านเรื่องราวมากมาย ตงเหลียนฮวาเป็นเพียงจุดบอดเล็ก ๆ ในชีวิตเท่านั้น ตอนพบหน้ากันอีกหนในค่ายทหาร นางขยับรอยยิ้มกว้างอันสดใส บดบังความมืดหม่นของอีกฝ่ายจนหมดสิ้น ตงเหลียนฮวาถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนหนา ดวงหน้าซีดเซียวและอิดโรย ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองนางสลับกับไท่หย่งเสียน เจินจิ่วหรงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้เขากวาง ในกระโจมแห่งนี้ นอกจากแม่ทัพประจิม ไท่หย่งเสียนและนางก็ไม่มีใครอื่น “ไม่เจอกันนานเลยนะ ตงเหลียนฮวา”นางเอ่ยเสียงราบเรียบ รอยยิ้มไม่เลือนหายจากดวงหน้าสักนิด ขณะตงเหลียนฮวากวาดมองทุกอย่างด้วยความหวาดระแวง เตรียมขอความช่วยเหลือจากไท่หย่งเสียน “หย่งเสียน…ช่วยข้าด้วย” ไท่หย่งเสียนยืนนิ่งเพื่อรอรับคำสั่งจากองค์หญิงเก้าแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ตงเหลียนฮวาตระหนักถึงความจริงว่าเขาเก็บนางไว้เพื่อกลายเป็นนักโทษหรือเหยื่อของเจินจิ่วหรงในสักวัน และวันนี้ก็มาถึง ตงเหลียนฮวาเปล่
บทยี่สิบห้า เจินจิ่วหรงที่บ้าคลั่ง เจินจิ่วหรงนอนแช่ตัวอยู่ในถังน้ำใสสะอาด เส้นผมดำขลับยาวสลวยเลื่อนลงปรกดวงหน้างดงาม หลบซ่อนแววตาสั่นไหวของนางอย่างแนบเนียน ไม่มีข้ารับใช้คนในอยู่ในเรือนนอน จวนตระกูลไท่ถูกทหารล้อมเอาไว้ แม้นว่าการปราบจลาจลจะจบลงแล้ว ดูเหมือนว่าเจินเซียหยางฮ่องเต้จะหวาดระแวงตระกูลไท่อย่างสมบูรณ์แบบ แม้นแม่ทัพประจิมจะเป็นดั่งสุนัขถวายหัวอยู่แทบเท้าก็ตามที ทั้งหมดเป็นเพราะเจินจิ่วหรงคือสะใภ้หนึ่งเดียวของตระกูลไท่ ซ้ำตอนนี้ยังให้กำเนิดบุตรชายแก่พวกเขา ต่อให้ปกปิดที่อยู่ของไท่หย่งเล่อ แต่ก็มิอาจปิดบังตัวตนการมีอยู่ของเขา เจินเซียหยางฮ่องเต้เป็นคนขี้ระแวงและโลภมาก ไม่นานย่อมจับลูกชายของนางเป็นตัวประกัน ทุก ๆ อย่างเหลือเวลาไม่มากแล้ว แต่เจินจิ่วเยี่ยนอายุย่างสิบสี่ปีเท่านั้น ไม่มากพอจะขึ้นครองบัลลังก์โดยไร้ผู้สำเร็จราชการแทน สุดท้ายเขาจะกลายหุ่นเชิดอีกตัวสำหรับตระกูลป๋าย “นี่ หย่งเสียน”นางเอ่ยปากเรียกเขาที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นไร้ลวดลาย ไท่หย่งเสียนชำเลืองมองภรรยา “อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ ข้าเตรียมอาภรณ์ให้เจ้าแล้ว” น้ำเสียงของไท่หย่งเสียนอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ร
บทยี่สิบสี่ ลาก่อนพระสนมเสียนเฟย เจินจิ่วหรงถูกกักตัวอยู่ภายในตำหนักของตนเอง ขณะไท่หย่งเสียนถูกแต่งตั้งเป็นหนึ่งในแม่ทัพเฉพาะกิจกวาดล้างตระกูลเสวียน ภายในวังเกิดการนองเลือดจำนวนมาก เสวียนผินถูกสังหาร แตกต่างจากองค์ชายไม่สมประกอบที่ถูกพวกกบฏนำตัวออกนอกวัง หว่านกุ้ยเฟยและโอรสของนางอย่างองค์ชายเจ็ดถูกนำตัวไปยังห้องลับอันปลอดภัย ส่วนองค์ชายสิบสามถูกกักตัวเช่นเดียวกันกับนาง ตระกูลป๋ายยังไร้การเคลื่อน พวกเขาไม่ได้มีกำลังทหารอะไร มีแต่พวกขุนนางร่วมตัวกันป่วน แน่นอนว่าถูกเจินเซียหยางฮ่องเต้กีดกันให้อยู่กันเป็นส่วน ๆ เจินเซียหยางฮ่องเต้มิอาจกำจัดตระกูลป๋าย พวกเขามีอิทธิพลมากเกินไป แค่กักบริเวณองค์ชายสิบสาม เสมือนว่าความผิดทั้งหมดเป็นของเจินจิ่วเยี่ยน ก็ทำตระกูลป๋ายไม่พอใจมากแล้ว ไม่มีทางที่โอรสสวรรค์จะกล้าลงมืออะไรอีก เจินจิ่วหรงเหยียดตัวนอนบนตั่งหินอ่อน รอเวลาที่ทุกอย่างจบลงด้วยกองเลือดมากมาย การพลัดพรากและสูญเสีย ทุกอย่างเริ่มต้นจากความเห็นแก่ตัวของเจินเซียหยางฮ่องเต้ นางกับเจินจิ่วเยี่ยนตระหนักดีว่าร่างกายของเสด็จแม่ทรุดโทรมขนาดนี้เพราะใคร ตลอดมาถึงนึกชิงชังเจินเซียหยางฮ่องเต