บทยี่สิบสอง
ไท่หย่งเล่อ ตอนกู้เจิงหนานมาถึงหัวเด็กก็เริ่มโผล่ออกมาทางช่องคลอด เจินจิ่วหรงนอนอยู่ในอ้อมแขนชายแปลกหน้าผู้หนึ่ง นางกำลังเบ่งเอาเด็กออกมาตามสัญชาตญาณ กู้เจิงหนานรีบถอดเสื้อคลุมออก แล้วตรงไปหานางทันที ไท่หย่งเสียนขมวดคิ้วมองคุณชายหน้าหยกตรงหน้า คล้ายว่าอีกฝ่ายคาดเดาความคิดเขาออก จึงรีบแนะนำตนเองอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเจินจิ่วหรง “ข้าเป็นหมอของจิ่วหรง” จิ่วหรง ? ชายตรงหน้าถือดีอย่างไรมาเรียกชื่อภรรยาของเขาหวน ๆ นางเป็นองค์หญิงเก้า นอกจากคนในครอบครัวก็ไม่ควรมีใครกล้าเรียกนามของนาง ! เจินจิ่วหรงปวดร้าวจนไม่สนใจความบาดหมางของชายหนุ่มอีกแล้ว นางเอื้อมมือจับชายแขนอาภรณ์ของกู้เจิงหนาน พร้อมเอ่ยเสียงลอดไรฟัน “ลูกของข้าต้องปลอดภัยเท่านั้น…” กู้เจิงหนานพยักหน้า จัดเตรียมยาให้นางดื่ม โดยมีไท่หย่งเสียนคอยโอบประคองอย่างใกล้ชิด หลังดื่มยาไปสักพักสีหน้าของเจินจิ่วหรงเริ่มดีขึ้นตามลำดับ นางสามารถออกเร่งเบ่นได้มากขึ้น และบุตรตัวน้อยยังเคลื่อนตัวออกมาอย่างง่ายดาย ณ ตอนนั้น ไท่หย่งเสียนตกตะลึงในฝีมือของหมอคนนี้พอสมควร ไม่เพียงหน้าตาดีพอ ๆ กับเหล่าคุณชายในเมืองหลวง ซ้ำยังมากความสามารถ นับว่ามองหาได้ยากยิ่ง เจินจิ่วหรงหอบหายใจเข้าออกเป็นครั้งสุดท้าย นางจิกปลายเล็บลงบนเรียวแขนของไท่หย่งเสียน สบมองดวงตาของเขาด้วยแววตาอันพร่ามัว ก่อนออกแรงเบ่งเป็น และในที่สุดตัวเด็กก็เลื่อนหลุดออกมาจนครบ โดยมีกู้เจิงหนานโอบอุ้มทารกชายตัวน้อยเอาไว้ ขณะไท่หย่งเสียนยังคงวนเวียนกับการสังเกตสีหน้าของภรรยา “ข้า…ไม่เป็นไรแล้ว”เจินจิ่วหรงเอ่ยเสียงแผ่วเบา เปลือกตาค่อย ๆ ปิดลงด้วยความอ่อนล้า ท่ามกลางสีหน้าตื่นตระหนกของกู้เจิงหนานกับไท่หย่งเสียนตามลำดับ พวกเขาเบิกตากว้าง มองดูหว่างขาของนางที่มีเลือดไหลออกมาไม่ยอมหยุด กู้เจิงหนานรีบส่งตัวเด็กทารกให้รั่วซินรับเอาไว้ พลางไท่หย่งเสียนจับมือเย็นเยียบของเจินจิ่วหรงอย่างแนบแน่น พร้อมร้องเรียกนางเสียงสั่น “จิ่วหรง ห้ามหลับนะ เจ้าห้ามหลับเด็ดขาด !” เปลือกตาของนางหนักเหลือเกิน กระนั้นกลับเป็นห่วงไท่หย่งเสียนอยู่มาก ถึงพยายามลืมตามองเขาเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน “เด็กคนนี้น่ารักมาก…” น่ารักอันใดกัน นางยังไม่เห็นหน้าเด็กด้วยซ้ำ “ต้องเลี้ยงเขาให้ดีเข้าใจหรือไม่” ได้โปรดมองดูเขาแทนข้าด้วยสายอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักทีเถอะ เขาน่ะ ต้องการความรัก เช่นเดียวกับที่ข้าเคยต้องการมาตลอด สิ้นความคิดนั้น เปลือกตาของนางก็ปิดลง ร่างกายเย็นเฉียบเหมือนคนตาย ท่ามกลางกองเลือดอาบท่วมเตียงนอนกว้างใหญ่ ในอ้อมแขนของไท่หย่งเสียน และความตื่นตระหนกของกู้เจิงหนาน เรื่องราวทุกอย่างเหมือนกับเมื่อตอนนั้น แรกเช้าของฤดูใบไม้ผลิบาน นางห้อยตัวอยู่เบื้องบน ปลายเท้าเหนือพื้นกระเบื้อง ดวงหน้าขาวซีดไร้สีเลือด เรียวนิ้วมือร่วงหล่น เปลวเทียนแห่งชีวิตถูกพรากไปตลอดกาล สามวันหลังจากคลอดเด็กชาย ไท่หย่งเสียนวนเวียนอยู่ข้างกายภรรยาที่นอนหลับไม่ได้สติ เขาพยายามโอบอุ้มทารกเพศชายอยู่หลายหน แต่เป็นต้องส่งให้รั่วซินดูแลอยู่เรื่อยไป กระทั่งชื่อก็ยังไม่เคยคิดจะมอบให้ หัวใจของไท่หย่งเสียนแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี แม้นคุณชายหน้าหยกที่รู้ภายหลังว่ามีนามว่ากู้เจิงหนานพยายามบอกว่านางจะลืมตาตื่นวันนี้ ก็ยังทำให้ไท่หย่งเสียนแน่ใจมิได้ เป็นอีกวันที่กู้เจิงหนานมาตรวจดูอาการของจิ่วหรง เขาเหลือบมองสีหน้าอิดโรยของไท่หย่งเสียนด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อย แม้นรั่วซินไม่ต้องบอก กู้เจิงหนานก็พอคาดเดาได้ว่าไท่หย่งเสียนคือสามีของเจิ่วหรง อย่างไรก็ตาม ทั้งไท่หย่งเสียนและนางล้วนปิดบังฐานะของตนเองอย่างชัดเจน กู้เจิงทราบว่าพวกเขามาจากเมืองหลวง บางทีคนหนึ่งอาจเป็นเชื้อพระวงศ์ และอีกคนอาจเป็นขุนนางชั้นสูง หน้าตาของจิ่วหรงงามล่มแผ่นดิน ส่วนหน้าตาของไท่หย่งเสียนก็หล่อเหลาและคมคายราวหลานหลิงหวางในภาพวาด หากเปรียบเทียบกับกู้เจิงหนานแล้ว เขาคงต่องยอมแพ้สองคนนี้จริง ๆ “นางจะตื่นวันนี้จริง ๆ ใช่ไหม” กู้เจิงหนานพยักหน้า “ไม่ผิดแน่” ไท่หย่งเสียนขบริมฝีปากตนเองเบา ๆ หันไปเผชิญหน้ากับกู้เจิงหนานอย่างเถรตรง พร้อมกล่าวเสียงหนักแน่น “ข้าอยากทำหมัน” กู้เจิงหนานเลิกคิ้วสูง ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย “คิดดีแล้วหรือ” ชายหนุ่มกอบกุมมือที่อบอุ่นขึ้นมาบางแล้วของภรรยา หยดน้ำตาไหลรินลงมาไม่ขาดสาย ไท่หย่งเสียนไม่เคยอับอายที่ต้องร้องไห้เพื่อเจินจิ่วหรง “นางเป็นทุกอย่างในชีวิตข้า ไม่ว่านางต้องการสิ่งใด ข้าจะแสวงหามาให้ หากนางต้องการ ข้ายินยอมสยบแทบเท้านาง จิ่วหรงมีค่ายิ่งกว่าใต้หล้า ข้าไม่อยากให้นางต้องเผชิญกับความเจ็บปวดเหมือนตายเช่นนี้อีก” ตลอดชีวิตของกู้เจิงหนานพึ่งเคยเห็นสามีร้องไห้เพื่อภรรยาอย่างไม่เกรงกลัวความอับอาย ซ้ำยังยินดีทำหมัน เพื่อมิให้นางต้องเจ็บปวดจากการคลอดลูกอีก ไหนจะสยบแทบเท้านาง ไท่หย่งเสียน เขาช่างมีความรักต่อจิ่วหรงอย่างลึกซึ้ง จนความชื่นชอบของกู้เจิงหนานกลายเป็นเด็กเล่นทันที “เดิมสุขภาพร่างกายนางก็อ่อนแออยู่แล้ว การไม่ตั้งครรภ์อีก นับว่าดีที่สุดแล้ว” “…” “ไปเตรียมตัวให้พร้อม เดี๋ยวข้าจะทำหมันให้ ตื่นขึ้นมาจะได้เห็นดวงหน้างดงามของนางเป็นคนแรก” ราวกับหลงอยู่ในห้วงฝันอันยาวนาน ร่างกายเคยเบาหวิวหนักขึ้นเรื่อย ๆ ภาพความทรงจำมากมายไหลย้อนกลับเข้ามาในหัว นางอยู่ในอ้อมแขนของไท่หย่งเสียน และกระเสือกกระสนสุดชีวิตเพื่อคลอดเด็กคนหนึ่งออกมา ความปรารถนาที่อยากจะเห็นดวงหน้าเล็ก ๆ ของเขาค่อย ๆ ปลุกนางให้ลืมตาตื่นในที่สุด ทว่าสิ่งแรกที่เห็นกลับเป็นดวงหน้าขาวซีดและสีหน้าอิดโรยของไท่หย่งเสียน เขากอบกุมมือของนางแน่น น้ำตาหลั่งรินออกมาไม่หยุด จำได้ว่าในชีวิตก่อน ตอนตงเหลียนฮวาคลอดลูกไท่หย่งเสียนมิได้อยู่ข้างกายด้วยซ้ำ เจินจิ่วหรงพ้นลมหายใจอุ่นร้อนออกมา ไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่ามีกู้เจิงหนานอยู่ในห้องเช่นกัน พลางเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ข้าอยากเห็นหน้าลูก เขาแข็งแรงดีหรือไม่…” ไท่หย่งเสียนขยับรอยยิ้มกว้าง พร้อมตอบด้วยความอ่อนโยน “เขาเป็นเด็กชายที่แข็งแรงดีมากเชียวละ” “ดีเหลือเกิน…” “รอเจ้าอาการคงที่ ข้าจะอุ้มเขามาให้เจ้าดูด้วยตนเอง” เจินจิ่วหรงพยักหน้าเบา ๆ ลืมเลือนความหลังเก่าไปจดหมด หัวใจนางเต้นระรัว ราวกับมีผีเสื้อโบยบินอยู่ในท้องเต็มไปหมด ความเจ็บปวดเสมือนโบยบินหายไป “ข้าจะรักเขาให้มาก มิลำเอียงเช่นเสด็จแม่เด็ดขาด” ในตอนนั้น กู้เจิงหนานพลันตระหนักถึงฐานันดรอันแท้จริงของจิ่วหรง คำว่าเสด็จแม่ ตัวตนของนางย่อมไม่พ้นองค์หญิงพระองค์หนึ่งแห่งต้าเจิน สกุลของนางย่อมเป็นแซ่เจิน แซ่เดียวกับองค์จักรพรรดิ—เจินจิ่วหรง เจินจิ่วหรงเคยบอกว่านางแยกกันอยู่กับสามี ครั้งหนึ่งเขาคิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาร้าวรานยากสมาน แต่พอเห็นสายตาที่จดจ้องมองกันและกัน กู้เจิงหนานได้แต่ฉีกยิ้มเย้ยหยันแก่ตนเอง ไม่มีพื้นที่สำหรับเขาอยู่หรอก ยิ่งกว่านั้นกู้เจิงหนานเพียงอยากเห็นเจินจิ่วหรงมีความสุข นั่นเป็นความปรารถนาสูงสุด เด็กชายตัวน้อยถูกมอบชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า ‘ไท่หย่งเล่อ’ เขาเกิดมาพร้อมกับดวงตากลมโตพร่างพราว และริมฝีปากจิ้มลิ้มน่าหยอกล้อ เขาจะมีชื่อทางการก็ต่อเมื่อเรื่องนี้ถูกรายงานแก่เจินเซียหยางฮ่องเต้เท่านั้น หลังผ่านไปหลายวัน อาการป่วยของเจินจิ่วหรงก็ดีขึ้นมา นางนั่งเหยียดเรียวขาอยู่ตรงชานเรือน แขนโอบกอดไท่หย่งเล่อเอาไว้ โดยมีไท่หย่งเสียนประคองกายนางหลวม ๆ กลีบดอกไม้โปรยปราย ผืนหญ้างอกงาม ดอกบัวในสระน้ำเองก็เบ่งบานสะพรั่ง ช่างสงบสุขอย่างยิ่ง ยากจะถามหาจากเมืองหลวง หากยังมีหนึ่งเรื่องในใจที่ทำให้เจินจิ่วหรงมัวหมอง นางกำมือแน่นจนผิดสังเกต ก่อนแหงนหน้ามองไท่หย่งเสียน พร้อมเอ่ยเสียงจริงจัง “ท่านไม่ควรทำหมัน การมีทายาทสืบสกุลเป็นเรื่องสำคัญ” ไท่หย่งเสียนยกยิ้ม “พวกเรามีอาเล่ออยู่แล้วนี่ จะถามหาทายาทไปอีกทำไมกัน ?” “ถ้าเกิดหย่งเล่อ…ตายล่ะ” แน่นอนว่ามารดาไม่ควรกล่าววาจาเช่นนี้กับบุตรของตน แต่ว่าวังหลวงสอนนางให้รู้จักความไม่แน่นอน ไม่อาจมั่นใจกับสิ่งใด และไม่อาจมองบุตรชายแค่หนึ่งคนเป็นเหมือนความมั่นคง แม้นเสด็จพ่อจะมีโอรสมากมาย แต่กลับล้มตายไปกว่าเก้าในสิบส่วน น่าแปลกใจที่ธิดากลับรอดมาได้มากมาย และยังถูกส่งไปเป็นบรรณาการเชื่อมสัมพันธ์ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมาจากฝีมือสนมด้วยกันเอง ขณะอีกส่วนเป็นฝีมือของอดีตไทเฮา “ข้าจะปกป้องเขากับเจ้าเอง” “หย่งเสียน ทุกอย่างไม่แน่นอนหรอกนะ” เขาเลื่อนมือประคองดวงหน้างดงามของนางสบมองเขา ดวงตาคู่คมแน่วแน่เหนืออื่นใด “จิ่วหรง ข้าขาดอะไรก็ได้ทั้งนั้น ต่อให้นั้นเป็นตระกูลไท่ หนึ่งเดียวที่ข้าขาดไปไม่ได้คือเจ้า” “แล้วหย่งเล่อล่ะ ?” ไท่หย่งเสียนยกยิ้มบางเบา แววตาหม่นหมองลง แต่น้ำเสียงกลับหนักแน่นและเจ็บปวด “ข้าเป็นสามีของเจ้า ก่อนเป็นบิดาของเขา” หมายความว่าต่อให้เป็นไท่หย่งเล่อ เขาก็ละทิ้งได้ มีเพียงนางเท่านั้นที่มิอาจขาดไป “ไท่หย่งเสียน ท่านถล้ำลึกเกินไปแล้ว” ในชีวิตก่อนนางเคยถล้ำลึกในความรักต่อไท่หย่งเสียน จนตัดสินใจพรากเอาชีวิตของตนเอง เพื่อถนอมความรักอันเหลือน้อยเต็มที หากชีวิตพวกเขาถล้ำลึกอย่างเท่าเทียมก็คงดี แต่ว่า “แม้ท่านจะขาดข้าไปไม่ได้ แต่ข้าขาดท่านได้” เจินจิ่วหรงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ว่านางจะไม่ถล้ำลึกอีกแล้ว นางจะหวงแหนตนเอง ถนอมตนเอง ไม่ผูกมัดความเป็นตายกับใครอีก ไท่หย่งเสียนเหมือนจะตกใจ แต่เขากลับยิ้มกว้าง โคลงหัวลงด้วยความยินดี “ดีแล้ว นั่นน่ะคือสิ่งที่ข้าปรารถนาจากใจจริง” ความรักน่ะ ไม่มีความเท่าเทียมตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เขายินดีที่จะรักมากกว่า ขอเพียงเจินจิ่วหรงมีชีวิตอยู่และเปล่งประกายต่อไป สามวันหลังจากนั้น ไท่หย่งเสียนต้องรีบกลับเมืองหลวงเป็นการเร่งด้วย เพราะเจินเซียหยางฮ่องเต้ดึงดันจะแต่งตั้งองค์รัชทายาท จนเกิดกบฏขึ้นบทสุดท้าย ท้องฟ้าและผืนหญ้า ปฏิหาริย์มีจริง และเต็มเปี่ยมด้วยหยดน้ำตาขององค์รัขทายาท หลังองค์หญิงเก้าที่สลบไปเป็นปีลืมตาตื่น พร้อมกับฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ดวงตาเรียวดั่งหงส์อันเลือนลอยกวาดมองรอบกาย ดวงหน้าซีดเซียวไร้รอยยิ้ม แตกต่างจากตอนสลบไปโดยสิ้นเชิง เสมือนว่าเจินจิ่วหรงไม่ต้องการตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ลำคอของนางแห้งเหือด จนต้องดื่มน้ำไปหลายถ้วย ขณะถูกองค์รัชทายาทและพระชายาเอกนามซ่งเยี่ยหวั่นพยุงตัวขึ้น เจินจิ่วหรงมองพวกเขา ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อบ เจินจิ่วเยี่ยนที่ตอนนี้ครองตำแหน่งองค์รัชทายาทมาสองปีเผยรอยยิ้มกว้าง หยดน้ำตาไหลอาบลงมาไม่ยอมหยุด เขาโอบกอดพี่สาวของตนเองแน่น ขณะเจินจิ่วหรงเหมือนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว “หย่งเสียน…ละ”นางถามหาเขาเป็นประโยคแรก ทำให้เจินจิ่วเยี่ยนและซ่งเยี่ยหวั่นหยุดชะงักไปตามกัน พวกเขาหลบสายตาของเจินจิ่วหรง แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “เขาตายไปนานแล้ว” “…” “ล่าสุดที่ข้าไปเยี่ยมหลุมศพของเขา มีดอกหญ้าขึ้นปกคลุม ทุกอย่างเขียวขจี” นางค่อย ๆ พยักหน้าอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาไหลออกมาตอนไหน ปลายนิ้วมือกำลังสั่นระริก ร่างกายสั่นสะท้านราวนกตัวน้อยห
บทยี่สิบแปด การไม่ครอบครอง การเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจเริ่มขึ้นแล้ว หลังเจินจิ่วหรงกลับจากวังหลวง เช้าวันต่อมาเรื่องราวการทุจริตของตระกูลป๋ายก็ถูกเปิดเผย เจินเซียหยางฮ่องเต้เผยแพร่เรื่องนี้ให้ประชาชนรับรู้ ตระกูลป๋ายกลายเป็นนักโทษของสังคม ก่อนการไต่สวนครั้งสุดท้ายจะมาถึงเสียอีก คนจากวังหลวงเชิญเจินจิ่วหรงไปเป็นพยานในการไต่สวน เดิมนางคิดจะปฏิเสธ แต่กลับอยากเห็นสีหน้าผู้เฒ่าของตระกูลป๋ายขึ้นมา เลยแต่งกายสีฉูดฉาดเรือนผมประดับปิ่นทองคำเก้าเล่มไปดูพวกเขาด้วยตาตน เสียงความวุ่นวายรบกวนความสงบ ท้องพระโรงเหมือนสนามรบ นางเลือกจะไม่พูดอะไรออกมามากนัก แค่พยักหน้าและตอบในสิ่งที่สมควร ทำเอาพวกตระกูลป๋ายชี้หน้าด่าจนโดนตบกันเป็นแถบ เจินจิ่วหรงแค่นยิ้มเย็นชา ประโยคสุดท้ายที่นางเอ่ยเลื่อนลอยยิ่งนัก ก่อนนางจะหมดสติไปท่ามกลางความตื่นตระหนกของคนมากมาย หมอหลวงบอกว่านางอยู่ได้อีกไม่นาน เจินจิ่วหรงนั่งนิ่ง เหม่อมองภาพสะท้อนของตนเองบนกระจกทองเหลือง ท่ามกลางเหล่านางกำนัลที่เกล้าผมให้อยู่ ทั้งหมดเป็นเพราะการไม่ได้พักผ่อนหลังคลอดลูก รวมถึงการถูกวางยาตลอดระยะเวลาที่กลับมายังจวนแม่ทัพ ไม่ต้องคาดเ
บทยี่สิบเจ็ด นี่คงเป็นเรื่อง ผิดบ้าง ถูกบ้าง “จริง ๆ แล้ว ระหว่างถูกขังในตำหนัก เสด็จพ่อมาหาข้าด้วย แววตาของเขาเลื่อนลอยและว่างเปล่า กระนั้นกลับสะท้อนความเหี้ยมโหดไม่น้อย” “อือ” เจินจิ่วหรงเปล่งเสียงครางตอบรับน้องชายที่นอนอยู่บนตักของนาง พลางยกมือลูบหัวเขาเบา ๆ เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ “เขาบอกว่าเสด็จแม่—ป๋ายอวี้หลันจะมีความสุขกว่า หากกลับสู่อ้อมอกของตระกูลป๋าย แทนการถูกฝังในสุสานหลวง” “…” “แล้วหลังจากนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมาละ” “อ่า” “ต่อให้พวกเราไม่เลือกชิงบัลลังก์ แต่ความกดดันจากตระกูลป๋าย และข้ายังเกิดมาเป็นบุรุษ อย่างไรก็หลีกหนีความโลภคนมากมายไม่พ้น แม้นแต่เสด็จแม่ก็ตาม” “…” “มีบางครั้งข้านึกอิจฉาท่านพี่ไม่น้อย ท่านไม่ต้องแก่งแย่งชิงบัลลังก์ ไม่ต้องเป็นที่คาดหวังของใคร ๆ แต่พอท่านพี่ต้องแต่งงาน ข้าก็ความเข้าใจความกดดันอันแตกต่างระหว่างชายหญิง ทว่ากลับอดริษยาท่านพี่มิได้เลย” เจินจิ่วหรงลืมตาขึ้นมองเขา ภาพตรงหน้าเลือนรางยากจะแยกออก นางขยับรอยยิ้มบางเบาอันเศร้าหมอง พร้อมเอ่ย “นี่ไม่เหมือนคำพูดของผู้ต้องการช่วงชิงเลยนะ หรือว่าตอนนี้เจ้าไม่ต้องการบัลลังก์แล้ว
บทยี่สิบหก ข้าอยากให้เขาเลือกครอบครัวมากกว่า ความรู้สึกที่เจินจิ่วหรงมีต่อตงเหลียนฮวา ในอดีตนอกจากความอิจฉาริษยาก็ไม่มีสิ่งใด ทว่าตอนนี้มันกลับไม่มีความริษยาอันรุนแรงเช่นนั้นอีกเลย หัวใจของนางร้าวรานและนิ่งสงบ หลังผ่านเรื่องราวมากมาย ตงเหลียนฮวาเป็นเพียงจุดบอดเล็ก ๆ ในชีวิตเท่านั้น ตอนพบหน้ากันอีกหนในค่ายทหาร นางขยับรอยยิ้มกว้างอันสดใส บดบังความมืดหม่นของอีกฝ่ายจนหมดสิ้น ตงเหลียนฮวาถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนหนา ดวงหน้าซีดเซียวและอิดโรย ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองนางสลับกับไท่หย่งเสียน เจินจิ่วหรงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้เขากวาง ในกระโจมแห่งนี้ นอกจากแม่ทัพประจิม ไท่หย่งเสียนและนางก็ไม่มีใครอื่น “ไม่เจอกันนานเลยนะ ตงเหลียนฮวา”นางเอ่ยเสียงราบเรียบ รอยยิ้มไม่เลือนหายจากดวงหน้าสักนิด ขณะตงเหลียนฮวากวาดมองทุกอย่างด้วยความหวาดระแวง เตรียมขอความช่วยเหลือจากไท่หย่งเสียน “หย่งเสียน…ช่วยข้าด้วย” ไท่หย่งเสียนยืนนิ่งเพื่อรอรับคำสั่งจากองค์หญิงเก้าแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ตงเหลียนฮวาตระหนักถึงความจริงว่าเขาเก็บนางไว้เพื่อกลายเป็นนักโทษหรือเหยื่อของเจินจิ่วหรงในสักวัน และวันนี้ก็มาถึง ตงเหลียนฮวาเปล่
บทยี่สิบห้า เจินจิ่วหรงที่บ้าคลั่ง เจินจิ่วหรงนอนแช่ตัวอยู่ในถังน้ำใสสะอาด เส้นผมดำขลับยาวสลวยเลื่อนลงปรกดวงหน้างดงาม หลบซ่อนแววตาสั่นไหวของนางอย่างแนบเนียน ไม่มีข้ารับใช้คนในอยู่ในเรือนนอน จวนตระกูลไท่ถูกทหารล้อมเอาไว้ แม้นว่าการปราบจลาจลจะจบลงแล้ว ดูเหมือนว่าเจินเซียหยางฮ่องเต้จะหวาดระแวงตระกูลไท่อย่างสมบูรณ์แบบ แม้นแม่ทัพประจิมจะเป็นดั่งสุนัขถวายหัวอยู่แทบเท้าก็ตามที ทั้งหมดเป็นเพราะเจินจิ่วหรงคือสะใภ้หนึ่งเดียวของตระกูลไท่ ซ้ำตอนนี้ยังให้กำเนิดบุตรชายแก่พวกเขา ต่อให้ปกปิดที่อยู่ของไท่หย่งเล่อ แต่ก็มิอาจปิดบังตัวตนการมีอยู่ของเขา เจินเซียหยางฮ่องเต้เป็นคนขี้ระแวงและโลภมาก ไม่นานย่อมจับลูกชายของนางเป็นตัวประกัน ทุก ๆ อย่างเหลือเวลาไม่มากแล้ว แต่เจินจิ่วเยี่ยนอายุย่างสิบสี่ปีเท่านั้น ไม่มากพอจะขึ้นครองบัลลังก์โดยไร้ผู้สำเร็จราชการแทน สุดท้ายเขาจะกลายหุ่นเชิดอีกตัวสำหรับตระกูลป๋าย “นี่ หย่งเสียน”นางเอ่ยปากเรียกเขาที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นไร้ลวดลาย ไท่หย่งเสียนชำเลืองมองภรรยา “อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ ข้าเตรียมอาภรณ์ให้เจ้าแล้ว” น้ำเสียงของไท่หย่งเสียนอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ร
บทยี่สิบสี่ ลาก่อนพระสนมเสียนเฟย เจินจิ่วหรงถูกกักตัวอยู่ภายในตำหนักของตนเอง ขณะไท่หย่งเสียนถูกแต่งตั้งเป็นหนึ่งในแม่ทัพเฉพาะกิจกวาดล้างตระกูลเสวียน ภายในวังเกิดการนองเลือดจำนวนมาก เสวียนผินถูกสังหาร แตกต่างจากองค์ชายไม่สมประกอบที่ถูกพวกกบฏนำตัวออกนอกวัง หว่านกุ้ยเฟยและโอรสของนางอย่างองค์ชายเจ็ดถูกนำตัวไปยังห้องลับอันปลอดภัย ส่วนองค์ชายสิบสามถูกกักตัวเช่นเดียวกันกับนาง ตระกูลป๋ายยังไร้การเคลื่อน พวกเขาไม่ได้มีกำลังทหารอะไร มีแต่พวกขุนนางร่วมตัวกันป่วน แน่นอนว่าถูกเจินเซียหยางฮ่องเต้กีดกันให้อยู่กันเป็นส่วน ๆ เจินเซียหยางฮ่องเต้มิอาจกำจัดตระกูลป๋าย พวกเขามีอิทธิพลมากเกินไป แค่กักบริเวณองค์ชายสิบสาม เสมือนว่าความผิดทั้งหมดเป็นของเจินจิ่วเยี่ยน ก็ทำตระกูลป๋ายไม่พอใจมากแล้ว ไม่มีทางที่โอรสสวรรค์จะกล้าลงมืออะไรอีก เจินจิ่วหรงเหยียดตัวนอนบนตั่งหินอ่อน รอเวลาที่ทุกอย่างจบลงด้วยกองเลือดมากมาย การพลัดพรากและสูญเสีย ทุกอย่างเริ่มต้นจากความเห็นแก่ตัวของเจินเซียหยางฮ่องเต้ นางกับเจินจิ่วเยี่ยนตระหนักดีว่าร่างกายของเสด็จแม่ทรุดโทรมขนาดนี้เพราะใคร ตลอดมาถึงนึกชิงชังเจินเซียหยางฮ่องเต