บทยี่สิบเจ็ด
นี่คงเป็นเรื่อง ผิดบ้าง ถูกบ้าง “จริง ๆ แล้ว ระหว่างถูกขังในตำหนัก เสด็จพ่อมาหาข้าด้วย แววตาของเขาเลื่อนลอยและว่างเปล่า กระนั้นกลับสะท้อนความเหี้ยมโหดไม่น้อย” “อือ” เจินจิ่วหรงเปล่งเสียงครางตอบรับน้องชายที่นอนอยู่บนตักของนาง พลางยกมือลูบหัวเขาเบา ๆ เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ “เขาบอกว่าเสด็จแม่—ป๋ายอวี้หลันจะมีความสุขกว่า หากกลับสู่อ้อมอกของตระกูลป๋าย แทนการถูกฝังในสุสานหลวง” “…” “แล้วหลังจากนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมาละ” “อ่า” “ต่อให้พวกเราไม่เลือกชิงบัลลังก์ แต่ความกดดันจากตระกูลป๋าย และข้ายังเกิดมาเป็นบุรุษ อย่างไรก็หลีกหนีความโลภคนมากมายไม่พ้น แม้นแต่เสด็จแม่ก็ตาม” “…” “มีบางครั้งข้านึกอิจฉาท่านพี่ไม่น้อย ท่านไม่ต้องแก่งแย่งชิงบัลลังก์ ไม่ต้องเป็นที่คาดหวังของใคร ๆ แต่พอท่านพี่ต้องแต่งงาน ข้าก็ความเข้าใจความกดดันอันแตกต่างระหว่างชายหญิง ทว่ากลับอดริษยาท่านพี่มิได้เลย” เจินจิ่วหรงลืมตาขึ้นมองเขา ภาพตรงหน้าเลือนรางยากจะแยกออก นางขยับรอยยิ้มบางเบาอันเศร้าหมอง พร้อมเอ่ย “นี่ไม่เหมือนคำพูดของผู้ต้องการช่วงชิงเลยนะ หรือว่าตอนนี้เจ้าไม่ต้องการบัลลังก์แล้ว” เจินจิ่วเยี่ยนหยุดชะงัก พลางหัวเราะกลบเกลื่อน “พวกเรามาไกลเกินกว่าจะถอยกลับ หมากกระดานนี้เคยถูกเสด็จแม่เดินมากว่าสิบปี” “ใช่” “แม้นตอนนี้ข้ากับท่านพี่จะอยากเดินออกก็สายเกินไป ได้ข่าวว่าบิดาของเสด็จแม่ ผู้นำแห่งตระกูลป๋ายก็วางแผนอะไรไว้หมดแล้ว ขอแค่ข้าชนะสงคราม ทุกอย่างก็จะจบ ก่อนเราสองคนจะถูกพันธนาการด้วยบัลลังก์” เจินจิ่วหรงไม่มีรอยยิ้มอีกแล้ว นางไม่ร้องไห้หรืออะไร เพียงนั่งนิ่ง ๆ แผ่นหลังเหยียดตรง เจินจิ่วเยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปยังกองจดหมายมากมายบนโต๊ะหินอ่อน ก่อนเอ่ยถาม “นั่นจดหมายอะไรน่ะ” “จดหมายอวยพรวันเกิดให้ลูกชายของข้าจำนวนแปดสิบฉบับ” “…” “เขาลืมตามองข้าไม่กี่วัน ก็จำต้องให้คนอื่นดูแล เขายังกินนมแม่ไม่เก่งด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่ข้าอาจไม่ได้กลับไปทำหน้าที่มารดาของหย่งเล่ออีก” นางค่อย ๆ กำมือแน่น มุมปากยกยิ้มอ่อนโยนยามนึกถึงดวงหน้าชวนโหยหาของไท่หย่งเล่อ “ถ้าเจ้าชนะสงคราม และช่วงชิงบัลบังก์สำเร็จ ข้าก็ต้องขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทน หากเจ้าพ่ายแพ้ ข้าย่อมถูกขังด้วยความแค้นไม่สิ้นสุด สุดท้ายเจินเซียหยางฮ่องเต้ก็จะกักขังเอาไว้ด้วยความหวาดระแวง” เจินจิ่วหรงเริ่มง่วงแล้วจริง ๆ สติของนางเลื่อนลอย จนเผลอพูดอะไรไร้เดียงออกมา “ข้าอยากยอมแพ้ เพื่ออิสระ มิใช่การถูกสังหารด้วยคมดาบของเสด็จพ่อ” “…” “ชีวิตก็แบบนี้แหละ ผิดบ้าง ถูกบ้าง ไม่อาจสมหวังไปตลอด” เจินจิ่วเยี่ยนโคลงหัวลง เริ่มเผยรอยยิ้มบิดเบี้ยวออกมา “ซ่งเยี่ยหวั่นทำให้ข้าอยากแต่งงาน แต่นางควรตบแต่งกับคนที่ปลอดภัยกับนางและครอบครัวมากกว่า” “…” “นี่คงเป็นเรื่องผิดบ้าง ถูกบ้างสินะ” ตอนไท่หย่งเสียนเดินเข้ามา เจินจิ่วเยี่ยนก็นอนหลับอยู่บนตักของภรรยาเขา เจินจิ่วหรงแหงนหน้ามองสามี ก่อนขยับรอยยิ้มอ่อนหวานสะท้านไปถึงหัวใจ พร้อมกล่าวเสียงนุ่มนวล “ฝากหยิบหมอนให้อาเยี่ยนหน่อย” เขาพยักหน้าเดินไปหยิบหมอนมาให้องค์ชายสิบสามหนุนนอน พลางลอบสังเกตสีหน้าอ่อนล้าของอีกฝ่าย แม้นในยามหลับเจินจิ่วเยี่ยนก็มิอาจถามหาความสงบสุข ในตอนนั้นเขาเริ่มเข้าใจและเวทนา หากเจินจิ่วหรงและน้องชายไม่เกิดมาเป็นเชื้อพระวงศ์ พวกเขาอาจมีชีวิตแสนสงบมากกว่านี้เป็นไหน ๆ เจินจิ่วหรงรู้สึกว่าเรียวขาชาไปหมด นางค่อย ๆ ขยับลุกยืน โดยมีไท่หย่งเสียนพยุงไปนั่งบนเตียง พร้อมดับตะเกียงไฟภายในห้องนอน ขณะความมืดมิดค่อย ๆ กลืนกินทุกอย่าง “ขวัญกำลังใจขององค์ชายสิบสามเป็นอย่างไรบ้าง” นางจับมือไท่หย่งเสียน พบว่าฝ่ามือของตนเองเย็นเฉียบ หากเขากลับไปรังเกียจสักนิด ก่อนตอบเสียงแผ่วเบาและอ่อนล้า “ไม่ดีเลย…” “…” “ถึงเขาจะดูเหมือนผู้ใหญ่ แต่จริง ๆ ก็คือเด็กชายวัยย่างสิบสี่คนหนึ่ง ไม่เคยไปสนามรบ ทว่ากลับต้องทำศึกใหญ่ และเป้าหมายมีเพียงการกุมชัยเหนือสมรภูมิ ยิ่งกว่านั้นพรุ่งนี้ เขาก็ต้องออกเดินทางแล้ว” “ข้าจะปกป้องเขาเอง” ไท่หย่งเสียนกล่าวเสียงหนักแน่น แต่กลับถูกเจินจิ่วหรงเอื้อมมือปิดปากเอาไว้ก่อน ท่ามกลางดวงตาดำขลับอันเบิกกว้าง “ในสนามรบ ชีวิตใครคนนั้นต้องปกป้องด้วยตนเอง เรารบอย่างมีเป้าหมาย และนั่นมิใช่การปกป้องใคร แต่เป็นการครอบครองชัยชนะ” “…อ่า” “ต่อให้ข้าเป็นพี่สาวของเขา ก็มิอาจมองข้ามความจริงนี่หรอกนะ” ไท่หย่งเสียนยกมือโอบกอดภรรยา สูดดมกลิ่นหอมจากร่างกายของนาง “จิ่วหรง เจ้าหมายความว่าอยากให้ข้าทำเพื่อตนเองสินะ” เจินจิ่วหรงหลุบตาต่ำลง “คนเราก็ต้องมีชีวิตเพื่อตัวเอง ข้าคิดถึงลูกชายของเราแล้ว” “ข้าก็คิดถึงเขา” นางหลับตาลง ยกมือกอดตอบไท่หย่งเสียน หมายซึมซับความอบอุ่นจากร่างกายอันแข็งแกร่งของเขา “พรุ่งนี้ข้าคงไม่ไปส่งท่านกับอาเยี่ยนนะ” “เจ้าจะเข้าวังสินะ” “อือ” ไท่หย่งเสียนพยักหน้าช้า ๆ เรียวนิ้วเกี่ยวกับเส้นผมยาวสลวยของนาง “ข้ารักเจ้ามากนะ” และก็เหมือนทุกครั้ง เจินจิ่วหรงนิ่งเงียบไม่ตอบอะไรกลับมาสักคำเดียว ไท่หย่งเสียนยังเหม่อมองไปยังหลังคาตำหนักในวังหลวงจนลับสายตา เขานั่งอยู่บนอาชาขาวสะอาด ด้านหน้ารถม้าที่จับตัวตงเหลียนฮวาใส่เอาไว้ คุณค่าของนางคงทำให้ตีวงล้อมเข้าไปด้านในของศัตรูมิยาก เพียงแต่ดินแดนถูกกลืนกินไปแล้วเจ็ดส่วน ทำให้สิ้นเปลืองไพร่พลเหลือคณา สุดท้ายสงครามแดนบูรพาย่อมมีแต่การสูญเสีย “ท่านรองแม่ทัพ ข้าพบจดหมายที่ตงเหลียนฮวาแอบเขียนขอรับ” ไท่หย่งเสียนเลิกคิ้วสูง ปรายตามองเนื้อหาจดหมาย มันมิได้เขียนถึงแคว้นฝูเยว่ แต่เป็นจดหมายสารภาพถึงเขา ก่อนฉีกมันทิ้งอย่างไม่ไยดี “เสียลิ้นไปก็ยังมีอีกสองมือสินะ เช่นนั้นก็ไปตัดมือของนางมาด้วยแล้วกัน ข้าไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด” กุนซือข้างกายไท่หย่งเสียนเบิกตากว้างเล็กน้อย เขาไม่เคยเห็นท่านรองแม่ทัพเหี้ยมโหดเช่นนี้ ในแววตาไร้ความปราณี ราวกับตงเหลียนฮวามิใช่มนุษย์ “ข้าไม่ใช่คนดีแบบนั้นหรอกนะ”ไท่หย่งเสียนเอ่ยราวรู้ทันความคิด “…” “ภรรยาของข้าพยายามอย่างหนัก นางเผชิญกับเรื่องเลวร้ายมากมาย ข้าไม่มีเวลามาใจดีกับคนที่ไม่จำเป็น” สำหรับไท่หย่งเสียนแล้ว ชีวิตนี้มีอยู่ก็เพื่อเจินจิ่วหรงเท่านั้นเอง ชายอาภรณ์สีม่วงปักลายดอกรุ่ยเซียงยาวลากผืนพรมสีแดงชาด เจินจิ่วหรงก้มหัวลงแทบเท้าของโอรสสวรรค์ ปิ่นประดับบนหัวสะท้อนแสงไฟสาดส่องลงมา เหลือบมองออกไปด้านหลังฉากกั้น ก็เห็นหว่านกุ้ยเฟย สตรีวัยกลางคนที่โรยราแตกต่างจากเสด็จแม่นั่งอยู่ ถัดออกไปก็เป็นองค์ชายเจ็ดที่เสด็จพ่อหมายมั่นให้เป็นองค์รัชทายาท ที่แท้พวกเขาก็ถูกซ่อนไว้ในตำหนักหยางซิน นี่คงเป็นภรรยาและลูกชายที่เจินเซียหยางฮ่องเต้รักอย่างแท้จริง มิใช่พวกเราสามคนแม่ลูก “หม่อมฉันมาวันนี้ เพื่อราชโองการหนึ่งฉบับ” เจินเซียหยางฮ่องเต้ขมวดคิ้ว ดวงตาหมองหม่นไร้แววแจ่มใส ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัวอีกแล้ว ป๋ายอวี้หลันตายแล้ว เจินจิ่วเยี่ยนก็กำลังจะตายในสงคราม ส่วนเจินจิ่วหรงก็แค่สุนัขจนตรอกตัวหนึ่ง “ลองว่ามาก่อนสิ เจ้าแทนตนเองว่า ‘หม่อมฉัน’ ในสายตาคงไม่เห็นเจิ้นเป็นบิดาแล้วสินะ” เจินจิ่วหรงยังคงนิ่งเฉย หน้าผากแนบชิดผืนพรม หลบซ่อนอารมณ์ไม่จำเป็นอย่างแนบเนียน “หม่อมฉันต้องการหย่ากับไท่หย่งเสียนเพคะ” เจินเซียหยางฮ่องเต้เบิกตากว้างเล็กน้อย ปลายนิ้วมือเคาะลงบนโต๊ะไม้สัก พร้อมเอ่ยเสียงราบเรียบ “ทำไมถึงมาหย่าเอาตอนนี้ละ เจ้าต้องการแม่ทัพประจิมเพื่อบุกวังหลวงมิใช่หรือ ?” นางยกยิ้มบางเบา ไม่ได้เงยหน้ามองเจินเซียหยางฮ่องเต้สักนิด “น้องสิบสามไม่ไหวแล้ว ต่อให้เขาชนะสงคราม สุดท้ายก็จะกลายเป็นตัวหมากไร้อำนาจของตระกูลป๋าย สำหรับเขาตอนนี้แค่กลับมาอย่างปลอดภัยก็ยากมากแล้ว” “…” “นับแต่แรกนี่ก็เป็นเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ของพวกผู้ใหญ่ ตอนเห็นเสด็จแม่ตาย หม่อมฉันยังยอมรับไม่ได้ แต่ตอนนี้กลับเข้าใจจดหมายฉบับสุดท้ายของป๋ายอวี้หลันแล้ว” “เป็นจดหมายที่ไม่สมกับเป็นนางเลยใช่ไหมล่ะ” “ตอนนี้หม่อมฉันแค่อยากหนีไปให้ไกล แล้วก็พาอาเยี่ยนไปด้วยกัน รวมถึงการใช้ชีวิตอย่างสงบกับหย่งเสียน และลูกของเรา” “…” “แต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้แล้ว หม่อมฉันโกรธแค้นตระกูลป๋ายมาก ๆ พอ ๆ กับที่โกรธแค้นโอรสสวรรค์ ก็เลยไม่อยากเป็นเครื่องมือให้ตระกูลป๋ายกลับสู่อำนาจแล้วละ” “จิ่วหรง เจ้ายอมแพ้ได้จริงหรือ ๆ” นางยกยิ้มบางเบา “หม่อมฉันให้คนเอาบัญชีการทุจริตของตระกูลป๋ายที่เสด็จแม่รวบรวมมาตลอดชีวิตไปให้ขันทีของท่านแล้ว อยากจะใช้ทำอะไรก็เชิญเลย” เจินเซียหยางฮ่องเต้ตื่นตระหนก ไม่คาดว่าป๋ายอวี้หลันจะรวบรวมบัญชีเพื่อทำลายตระกูลป๋ายของตนเอง ภาพป๋ายอวี้หลันในความคิดของเขา มีแต่การช่วงชิงอำนาจอย่างบ้าคลั่ง แม้นนานมาแล้วนางจะเคยพูดประโยคหนึ่งออกมาว่า ‘หม่อมฉันเป็นสตรี ย่อมต้องการความรักเพียงหนึ่ง ตอนนี้เลยมีแต่ความริษยามากกว่าเหตุผลเสียอีก’ “แต่วอนขอราชโองการหย่าร้างด้วย แม่ทัพประจิมจะได้กลายเป็นของท่านอีกครั้ง หม่อมฉันกับตระกูลไท่จะไม่เกี่ยวข้องกันอีก“ เจินเซียหยางฮ่องเต้เริ่มยกยิ้ม ดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนแอ “ก็ดี เจิ้นจะเขียนให้ แล้วให้ขันทีนำไปมอบแก่แม่ทัพประจิมด้วยตนเอง เจ้าไม่ต้องห่วง” ณ ตอนนั้น เจินจิ่วหรงแหงนหน้ามองโอรสสวรรค์เป็นครั้งแรก หลังป๋ายอวี้หลันจากไป ดูเหมือนว่าเสด็จแม่จะพรากเอาความสดใสทั้งหมดของเจินเซียหยางฮ่องเต้จากไปด้วย นี่มิเรียกว่านรกบนดินได้จริงหรือ ? อาเยี่ยน สิ่งที่เจ้ากลัวจริง ๆ ไม่ใช่สนามรบสินะ แต่คืออนาคตที่ต้องกลายเป็นเหมือนเจินเซียหยางฮ่องเต้ ข้าเข้าใจแล้วบทสุดท้าย ท้องฟ้าและผืนหญ้า ปฏิหาริย์มีจริง และเต็มเปี่ยมด้วยหยดน้ำตาขององค์รัขทายาท หลังองค์หญิงเก้าที่สลบไปเป็นปีลืมตาตื่น พร้อมกับฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ดวงตาเรียวดั่งหงส์อันเลือนลอยกวาดมองรอบกาย ดวงหน้าซีดเซียวไร้รอยยิ้ม แตกต่างจากตอนสลบไปโดยสิ้นเชิง เสมือนว่าเจินจิ่วหรงไม่ต้องการตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ลำคอของนางแห้งเหือด จนต้องดื่มน้ำไปหลายถ้วย ขณะถูกองค์รัชทายาทและพระชายาเอกนามซ่งเยี่ยหวั่นพยุงตัวขึ้น เจินจิ่วหรงมองพวกเขา ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อบ เจินจิ่วเยี่ยนที่ตอนนี้ครองตำแหน่งองค์รัชทายาทมาสองปีเผยรอยยิ้มกว้าง หยดน้ำตาไหลอาบลงมาไม่ยอมหยุด เขาโอบกอดพี่สาวของตนเองแน่น ขณะเจินจิ่วหรงเหมือนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว “หย่งเสียน…ละ”นางถามหาเขาเป็นประโยคแรก ทำให้เจินจิ่วเยี่ยนและซ่งเยี่ยหวั่นหยุดชะงักไปตามกัน พวกเขาหลบสายตาของเจินจิ่วหรง แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “เขาตายไปนานแล้ว” “…” “ล่าสุดที่ข้าไปเยี่ยมหลุมศพของเขา มีดอกหญ้าขึ้นปกคลุม ทุกอย่างเขียวขจี” นางค่อย ๆ พยักหน้าอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาไหลออกมาตอนไหน ปลายนิ้วมือกำลังสั่นระริก ร่างกายสั่นสะท้านราวนกตัวน้อยห
บทยี่สิบแปด การไม่ครอบครอง การเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจเริ่มขึ้นแล้ว หลังเจินจิ่วหรงกลับจากวังหลวง เช้าวันต่อมาเรื่องราวการทุจริตของตระกูลป๋ายก็ถูกเปิดเผย เจินเซียหยางฮ่องเต้เผยแพร่เรื่องนี้ให้ประชาชนรับรู้ ตระกูลป๋ายกลายเป็นนักโทษของสังคม ก่อนการไต่สวนครั้งสุดท้ายจะมาถึงเสียอีก คนจากวังหลวงเชิญเจินจิ่วหรงไปเป็นพยานในการไต่สวน เดิมนางคิดจะปฏิเสธ แต่กลับอยากเห็นสีหน้าผู้เฒ่าของตระกูลป๋ายขึ้นมา เลยแต่งกายสีฉูดฉาดเรือนผมประดับปิ่นทองคำเก้าเล่มไปดูพวกเขาด้วยตาตน เสียงความวุ่นวายรบกวนความสงบ ท้องพระโรงเหมือนสนามรบ นางเลือกจะไม่พูดอะไรออกมามากนัก แค่พยักหน้าและตอบในสิ่งที่สมควร ทำเอาพวกตระกูลป๋ายชี้หน้าด่าจนโดนตบกันเป็นแถบ เจินจิ่วหรงแค่นยิ้มเย็นชา ประโยคสุดท้ายที่นางเอ่ยเลื่อนลอยยิ่งนัก ก่อนนางจะหมดสติไปท่ามกลางความตื่นตระหนกของคนมากมาย หมอหลวงบอกว่านางอยู่ได้อีกไม่นาน เจินจิ่วหรงนั่งนิ่ง เหม่อมองภาพสะท้อนของตนเองบนกระจกทองเหลือง ท่ามกลางเหล่านางกำนัลที่เกล้าผมให้อยู่ ทั้งหมดเป็นเพราะการไม่ได้พักผ่อนหลังคลอดลูก รวมถึงการถูกวางยาตลอดระยะเวลาที่กลับมายังจวนแม่ทัพ ไม่ต้องคาดเ
บทยี่สิบเจ็ด นี่คงเป็นเรื่อง ผิดบ้าง ถูกบ้าง “จริง ๆ แล้ว ระหว่างถูกขังในตำหนัก เสด็จพ่อมาหาข้าด้วย แววตาของเขาเลื่อนลอยและว่างเปล่า กระนั้นกลับสะท้อนความเหี้ยมโหดไม่น้อย” “อือ” เจินจิ่วหรงเปล่งเสียงครางตอบรับน้องชายที่นอนอยู่บนตักของนาง พลางยกมือลูบหัวเขาเบา ๆ เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ “เขาบอกว่าเสด็จแม่—ป๋ายอวี้หลันจะมีความสุขกว่า หากกลับสู่อ้อมอกของตระกูลป๋าย แทนการถูกฝังในสุสานหลวง” “…” “แล้วหลังจากนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมาละ” “อ่า” “ต่อให้พวกเราไม่เลือกชิงบัลลังก์ แต่ความกดดันจากตระกูลป๋าย และข้ายังเกิดมาเป็นบุรุษ อย่างไรก็หลีกหนีความโลภคนมากมายไม่พ้น แม้นแต่เสด็จแม่ก็ตาม” “…” “มีบางครั้งข้านึกอิจฉาท่านพี่ไม่น้อย ท่านไม่ต้องแก่งแย่งชิงบัลลังก์ ไม่ต้องเป็นที่คาดหวังของใคร ๆ แต่พอท่านพี่ต้องแต่งงาน ข้าก็ความเข้าใจความกดดันอันแตกต่างระหว่างชายหญิง ทว่ากลับอดริษยาท่านพี่มิได้เลย” เจินจิ่วหรงลืมตาขึ้นมองเขา ภาพตรงหน้าเลือนรางยากจะแยกออก นางขยับรอยยิ้มบางเบาอันเศร้าหมอง พร้อมเอ่ย “นี่ไม่เหมือนคำพูดของผู้ต้องการช่วงชิงเลยนะ หรือว่าตอนนี้เจ้าไม่ต้องการบัลลังก์แล้ว
บทยี่สิบหก ข้าอยากให้เขาเลือกครอบครัวมากกว่า ความรู้สึกที่เจินจิ่วหรงมีต่อตงเหลียนฮวา ในอดีตนอกจากความอิจฉาริษยาก็ไม่มีสิ่งใด ทว่าตอนนี้มันกลับไม่มีความริษยาอันรุนแรงเช่นนั้นอีกเลย หัวใจของนางร้าวรานและนิ่งสงบ หลังผ่านเรื่องราวมากมาย ตงเหลียนฮวาเป็นเพียงจุดบอดเล็ก ๆ ในชีวิตเท่านั้น ตอนพบหน้ากันอีกหนในค่ายทหาร นางขยับรอยยิ้มกว้างอันสดใส บดบังความมืดหม่นของอีกฝ่ายจนหมดสิ้น ตงเหลียนฮวาถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนหนา ดวงหน้าซีดเซียวและอิดโรย ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองนางสลับกับไท่หย่งเสียน เจินจิ่วหรงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้เขากวาง ในกระโจมแห่งนี้ นอกจากแม่ทัพประจิม ไท่หย่งเสียนและนางก็ไม่มีใครอื่น “ไม่เจอกันนานเลยนะ ตงเหลียนฮวา”นางเอ่ยเสียงราบเรียบ รอยยิ้มไม่เลือนหายจากดวงหน้าสักนิด ขณะตงเหลียนฮวากวาดมองทุกอย่างด้วยความหวาดระแวง เตรียมขอความช่วยเหลือจากไท่หย่งเสียน “หย่งเสียน…ช่วยข้าด้วย” ไท่หย่งเสียนยืนนิ่งเพื่อรอรับคำสั่งจากองค์หญิงเก้าแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ตงเหลียนฮวาตระหนักถึงความจริงว่าเขาเก็บนางไว้เพื่อกลายเป็นนักโทษหรือเหยื่อของเจินจิ่วหรงในสักวัน และวันนี้ก็มาถึง ตงเหลียนฮวาเปล่
บทยี่สิบห้า เจินจิ่วหรงที่บ้าคลั่ง เจินจิ่วหรงนอนแช่ตัวอยู่ในถังน้ำใสสะอาด เส้นผมดำขลับยาวสลวยเลื่อนลงปรกดวงหน้างดงาม หลบซ่อนแววตาสั่นไหวของนางอย่างแนบเนียน ไม่มีข้ารับใช้คนในอยู่ในเรือนนอน จวนตระกูลไท่ถูกทหารล้อมเอาไว้ แม้นว่าการปราบจลาจลจะจบลงแล้ว ดูเหมือนว่าเจินเซียหยางฮ่องเต้จะหวาดระแวงตระกูลไท่อย่างสมบูรณ์แบบ แม้นแม่ทัพประจิมจะเป็นดั่งสุนัขถวายหัวอยู่แทบเท้าก็ตามที ทั้งหมดเป็นเพราะเจินจิ่วหรงคือสะใภ้หนึ่งเดียวของตระกูลไท่ ซ้ำตอนนี้ยังให้กำเนิดบุตรชายแก่พวกเขา ต่อให้ปกปิดที่อยู่ของไท่หย่งเล่อ แต่ก็มิอาจปิดบังตัวตนการมีอยู่ของเขา เจินเซียหยางฮ่องเต้เป็นคนขี้ระแวงและโลภมาก ไม่นานย่อมจับลูกชายของนางเป็นตัวประกัน ทุก ๆ อย่างเหลือเวลาไม่มากแล้ว แต่เจินจิ่วเยี่ยนอายุย่างสิบสี่ปีเท่านั้น ไม่มากพอจะขึ้นครองบัลลังก์โดยไร้ผู้สำเร็จราชการแทน สุดท้ายเขาจะกลายหุ่นเชิดอีกตัวสำหรับตระกูลป๋าย “นี่ หย่งเสียน”นางเอ่ยปากเรียกเขาที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นไร้ลวดลาย ไท่หย่งเสียนชำเลืองมองภรรยา “อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ ข้าเตรียมอาภรณ์ให้เจ้าแล้ว” น้ำเสียงของไท่หย่งเสียนอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ร
บทยี่สิบสี่ ลาก่อนพระสนมเสียนเฟย เจินจิ่วหรงถูกกักตัวอยู่ภายในตำหนักของตนเอง ขณะไท่หย่งเสียนถูกแต่งตั้งเป็นหนึ่งในแม่ทัพเฉพาะกิจกวาดล้างตระกูลเสวียน ภายในวังเกิดการนองเลือดจำนวนมาก เสวียนผินถูกสังหาร แตกต่างจากองค์ชายไม่สมประกอบที่ถูกพวกกบฏนำตัวออกนอกวัง หว่านกุ้ยเฟยและโอรสของนางอย่างองค์ชายเจ็ดถูกนำตัวไปยังห้องลับอันปลอดภัย ส่วนองค์ชายสิบสามถูกกักตัวเช่นเดียวกันกับนาง ตระกูลป๋ายยังไร้การเคลื่อน พวกเขาไม่ได้มีกำลังทหารอะไร มีแต่พวกขุนนางร่วมตัวกันป่วน แน่นอนว่าถูกเจินเซียหยางฮ่องเต้กีดกันให้อยู่กันเป็นส่วน ๆ เจินเซียหยางฮ่องเต้มิอาจกำจัดตระกูลป๋าย พวกเขามีอิทธิพลมากเกินไป แค่กักบริเวณองค์ชายสิบสาม เสมือนว่าความผิดทั้งหมดเป็นของเจินจิ่วเยี่ยน ก็ทำตระกูลป๋ายไม่พอใจมากแล้ว ไม่มีทางที่โอรสสวรรค์จะกล้าลงมืออะไรอีก เจินจิ่วหรงเหยียดตัวนอนบนตั่งหินอ่อน รอเวลาที่ทุกอย่างจบลงด้วยกองเลือดมากมาย การพลัดพรากและสูญเสีย ทุกอย่างเริ่มต้นจากความเห็นแก่ตัวของเจินเซียหยางฮ่องเต้ นางกับเจินจิ่วเยี่ยนตระหนักดีว่าร่างกายของเสด็จแม่ทรุดโทรมขนาดนี้เพราะใคร ตลอดมาถึงนึกชิงชังเจินเซียหยางฮ่องเต