บทสุดท้าย
ท้องฟ้าและผืนหญ้า ปฏิหาริย์มีจริง และเต็มเปี่ยมด้วยหยดน้ำตาขององค์รัขทายาท หลังองค์หญิงเก้าที่สลบไปเป็นปีลืมตาตื่น พร้อมกับฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ดวงตาเรียวดั่งหงส์อันเลือนลอยกวาดมองรอบกาย ดวงหน้าซีดเซียวไร้รอยยิ้ม แตกต่างจากตอนสลบไปโดยสิ้นเชิง เสมือนว่าเจินจิ่วหรงไม่ต้องการตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ลำคอของนางแห้งเหือด จนต้องดื่มน้ำไปหลายถ้วย ขณะถูกองค์รัชทายาทและพระชายาเอกนามซ่งเยี่ยหวั่นพยุงตัวขึ้น เจินจิ่วหรงมองพวกเขา ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อบ เจินจิ่วเยี่ยนที่ตอนนี้ครองตำแหน่งองค์รัชทายาทมาสองปีเผยรอยยิ้มกว้าง หยดน้ำตาไหลอาบลงมาไม่ยอมหยุด เขาโอบกอดพี่สาวของตนเองแน่น ขณะเจินจิ่วหรงเหมือนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว “หย่งเสียน…ละ”นางถามหาเขาเป็นประโยคแรก ทำให้เจินจิ่วเยี่ยนและซ่งเยี่ยหวั่นหยุดชะงักไปตามกัน พวกเขาหลบสายตาของเจินจิ่วหรง แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “เขาตายไปนานแล้ว” “…” “ล่าสุดที่ข้าไปเยี่ยมหลุมศพของเขา มีดอกหญ้าขึ้นปกคลุม ทุกอย่างเขียวขจี” นางค่อย ๆ พยักหน้าอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาไหลออกมาตอนไหน ปลายนิ้วมือกำลังสั่นระริก ร่างกายสั่นสะท้านราวนกตัวน้อยหัดโบยบิน “ไท่หย่งเล่ออยู่ไหน ตระกูลไท่เล่า” เจินจิ่วเยี่ยนกอบกุมมือของพี่สาว สบมองเข้าไปในดวงตาสั่นไหวคู่นั้น พร้อมตอบอย่างใจเย็น “หลังหย่งเสียนตาย ตงเหลียนฮวาถูกสังหาร แม่ทัพประจิมก็แทงตนเองตายพร้อมสารภาพความผิดที่วางยาท่านพี่ ส่วนไท่ฮูหยินสุขภาพไม่ค่อยดี ตอนนี้ไปเยือนโลกหน้าแล้ว ตอนนี้ตระกูลไท่ไม่มีอีกแล้ว ไท่หย่งเล่อถูกรับเข้าเป็นสมาชิกของราชวงศ์ตามรับสั่งของเสด็จพ่อ” “ข้ายังเป็นองค์หญิงเก้าอยู่สินะ” เจินจิ่วเยี่ยนส่ายหน้า ก่อนฉีกยิ้มกว้าง “ตอนนี้ท่านเป็นองค์หญิงขั้นหนึ่ง มีราชทินนามว่าหนิงหรง เป็นพี่สาวแท้ ๆ ขององค์รัชทายาท มิใช่องค์หญิงเก้าที่เป็นเพียงลูกของสนมอีกแล้ว” “…” “ข้ารู้ว่าท่านพี่อาจมิชอบ แต่มันเป็นราชโองการของเจินเซียหยางฮ่องเต้ ไม่สามารถขัดขืนไม่รับตำแหน่ง” นางสบตาเจินจิ่วเยี่ยนหนหนึ่ง แลเห็นความสดใสภายในนั้น พลันตระหนักว่าอย่างน้อยก็ปกป้องเขาเอาไว้ได้ กระนั้นแล้ว กลับเป็นความยินดีอันว่างเปล่าเหลือเกิน “ข้าเหลือเวลาอีกนานแค่ไหน” “ท่านหมอกู้เจิงหนานบอกว่า หากท่านฟื้นภายในปีนี้ ก็เหลือเวลาอีกหกเดือนให้ใช้ชีวิต” เจินจิ่วหรงพยักหน้า ก่อนเจินจิ่วเยี่ยนจะบีบมือนางแน่นขึ้น พร้อมเอ่ยเสียงหนักแน่น “ข้าจะตามหาหมอเทวดามารักษา ท่านพี่ต้องอยู่ข้าง ๆ ข้าไปนาน ๆ” เจินจิ่วหรงยกรอยยิ้มบางเบา “กู้เจิงหนานนับว่าเก่งมาก หากเขาบอกแบบนั้น แสดงว่าเกินเยียวยาแล้วละ” “…” “ตอนนี้เจ้ามีซ่งเยี่ยหวั่นแล้ว ข้าก็อยากใช้ชีวิตเฝ้ามองท้องฟ้าและผืนหญ้า กลับไปอยู่แดนใต้ ไม่อยากอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว” “จิ่วหรง…” “ข้าเป็นพี่สาวที่ดีของเจ้าแล้ว ตอนนี้ขอใช้ชีวิตในฐานะเจินจิ่วหรงบ้างเถอะนะ” หย่งเสียน นี่คือสิ่งที่ท่านต้องการหรือไม่ ? ตอนพบกู้เจิงหนานที่บ้านในแดนใต้ นางก็ไม่เหลือน้ำตาให้ร้องไห้อีกแล้ว ไท่หย่งเล่อดีใจมากที่ได้เจอเขา เด็กชายวัยสามขวบวิ่งวนไปมาบริเวณชานเรือน ขณะเจินจิ่วหรงนั่งนิ่ง ๆ คอยเฝ้ามองพวกเขาอย่างสงบ ตอนนั้นก็เผลอนึกถึงคำพูดบางประโยคของเจินจิ่วเยี่ยนขึ้นมา “หย่งเสียนฝากข้าบอกท่านพี่ว่า ‘ขอโทษนะ ที่สุดท้ายก็ยังรักเจ้ามากกว่าตนเองอยู่ดี‘ ” กู้เจิงหนานย่อตัวลงตรงหน้าเจินจิ่วหรงที่สายตาเหม่อลอยอีกแล้ว รั่วซินเองก็เป็นห่วงเรื่องนี้ จนสุดท้ายก็ตรอมตรมจากไป หลังองค์หญิงหนิงหรงหลับใหลไปหนึ่งปีกว่า พอนางตื่นมาอีกครั้ง คนที่รักก็ตายจากไปไม่น้อย “หย่งเล่อ เกิดวันที่เท่าไหร่แล้วนะ ข้าจะอยู่ทันวันเกิดเขาปีนี้ไหม” ใช่ เจินจิ่วหรงลืมเลือนแม้นแต่วันเกิดของลูกชายเพียงหนึ่งเดียว นางบกพร่องในฐานะแม่อย่างชัดเจน ถึงอย่างนั้นไท่หย่งเล่อกลับไม่โกรธเคือง เด็กชายตัวน้อยฉีกยิ้มกว้าง เดินเข้ามากอดมารดาด้วยความออดอ้อน “ท่านแม่ ลูกเกิดวันที่ห้าเดือนหก” “ปีนี้ก็สี่ขวบแล้วสินะ”เจินจิ่วหรงฉีกยิ้ม แววตาหม่นหมองลง เดือนหกเป็นเดือนสุดท้ายที่นางจะอยู่ถึง และคงไม่สามารถฉลองวันเกิดกับไท่หย่งเล่อในสภาพดี ๆ ได้ “ใช่แล้วขอรับ ท่านแม่ !” ช่างสดใส เหมือนดวงตะวัน ลูกของท่านกับข้า เจินจิ่วหรงกินในสิ่งที่ชอบ เที่ยวเล่นไปตามตลาดพร้อมกับไท่หย่งเล่อ บ้างไปชมดอกอวี้หลันผลิบานที่เรือนของเจ้าเมืองหรือจวนของกู้เจิงหนาน จากนั้นก็เหยียดตัวนอนนอกชานเรือน คอยสังเกตท้องฟ้าและปุยเมฆในแต่ละวัน นางหัดทำอาหารง่าย ๆ ที่ไม่ลำบากร่างกายมากเกินไป แต่ละวันล้วนมีแต่เรื่องสนุก กลายเป็นอิสระโบยบินเหมือนนกน้อย จนในที่สุดก็มีความกล้าพอจะไปเหยียบหลุมศพของไท่หย่งเสียน เขาอาจจบชีวิตแดนบูรพา ทว่ากลับเคลื่อนศพมาแดนใต้ และฝังในสุสานที่ห่างจากบ้านของนางไปไม่ไกล วันนั้นนางทำอาหารที่เขาชอบหลายอย่าง ซ้ำยังแต่งกายให้ไท่หย่งเล่อด้วยอาภรณ์สีฟ้าคราม พวกเขาสองแม่ลูกจับจูงมือกันไปที่สุสาน แลเห็นปลายหญ้าเขียวขจีเหมือนที่เจินจิ่วเยี่ยนบอกเอาไว้ไม่ผิด ไท่หย่งเล่อมาทำความเคารพบิดาพร้อมเจินจิ่วเยี่ยนหลายปี เขารู้ตัวดีว่าต้องทำอย่างไรบ้าง จึงไม่รบกวนเจินจิ่วหรงสักนิด เป็นเด็กดีว่าง่าย คอยนั่งข้าง ๆ อย่างเรียบร้อย เจินจิ่วหรงมองป้ายชื่อบนหินแกะสลัก อยู่ดี ๆ ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมา นางอยากจะบอกว่า ‘ข้าเองก็รักท่าน’ แต่กลับไม่มีเสียงออกมา ราวกับนี่เป็นคำสาป ท้องฟ้าเริ่มครึ้มฝน เมฆก้อนใหญ่ก่อตัว เจินจิ่วหรงหอบหายใจแผ่วเบา น้ำตาไหลออกมาในที่สุด พร้อม ๆ สายฝนโปรยปราย ขณะไท่หย่งเล่อรีบกอดนางเอาไว้แน่น นางยกมือบังฝนให้ไท่หย่งเล่อ พยายามปาดน้ำตาทิ้ง แล้วเตรียมอุ้มเด็กน้อยวิ่งฝ่าสายฝนออกไป แต่แล้วภาพทุกอย่างกลับมืดดับลง เจินจิ่วหรงสลบไปบนผืนหญ้า พร้อมเลือดที่ไหลออกมาจากจมูก ท่ามกลางเสียงร้องไห้ของไท่หย่งเล่อ ตอนนางลืมตาตื่นอีกหน เดือนหกก็มาถึงเสียแล้ว กู้เจิงหนานน้ำตานองหน้า ยามเห็นว่าเจินจิ่วหรงลืมตาตื่น ขณะไท่หย่งเล่อร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่ยอมหยุด ทำเอาบรรยากาศในบ้านเศร้าหมองและตรอมตรม การตื่นขึ้นมาหนนี้ ไม่เหมือนคราวก่อน เจินจิ่วหรงอ่อนแอลงจนไม่อาจขยับตัวได้เหมือนที่ตั้งใจเอาไว้ นางวิ่งไม่ได้อีกแล้ว แค่เดินไม่กี่ก้าวก็เหนื่อยหอบไปหมด สุดท้ายอาหารในวันเกิดของไท่หย่งเล่อ ก็เป็นกู้เจิงหนานที่ทำ ไท่หย่งเล่อดีใจมากเป็นพิเศษ นี่เป็นปีแรกที่มารดาฉลองวันเกิดให้ โดยไม่รู้เลยว่ามันก็เป็นครั้งสุดท้ายเช่นเดียวกัน ในตอนที่ต้องอวยพรวันเกิดให้ไท่หย่งเล่อ เจินจิ่วหรงมีความปรารถนามากมายเกินกว่าจะพูดออกมาหมด นางยกมือลูบหัวไท่หย่งเล่อ พร้อมกล่าวช้า ๆ “ขอให้เจ้าสามารถลืมเรื่องที่ควรลืม และมีชีวิตต่อไป” ลืมมารดาคนนี้ไปให้หมด อย่าเสียใจให้มากนัก ไท่หย่งเล่อพยักหน้าตามประสาเด็ก ขณะกู้เจิงหนานเข้าใจความหมายทั้งหมด หลังเก็บกวาดทุกอย่างเรียบร้อย เจินจิ่วหรงก็เข้านอนพร้อมลูกชาย กลางดึกคืนนั้นไท่หย่งเล่อหลับสนิท ส่วนนางทรมานมากขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายปวดร้าวจนไม่อยากขยับ ซ้ำยังหนักกว่าเดิมเป็นเท่าตัว การหายใจเองก็ยากลำบากเช่นกัน เจินจิ่วหรงหอบหายใจเข้าออก หยาดเหงื่อผุดพรายแต่กลับรู้สึกหนาวเย็นราวก้อนน้ำแข็ง ดวงตาร้อนผ่าวเต็มไปด้วยหยดน้ำตา ในตอนนั้นเอง นางเห็นภาพเลือนรางของไท่หย่งเสียน เขามองมาพร้อมเอื้อมมือลูบหัวเจินจิ่วหรง ราวกับบอกว่าไม่ต้องหวาดกลัวไป คงเป็นครั้งแรกในรอบไม่กี่วัน ที่นางขยับรอยยิ้มโดยไร้ความทรมานจากร่างกาย เจินจิ่วหรงหลับตาลง ซึมซับความอบอุ่นอันเป็นภาพลวงนั้น และเบาสบายในที่สุด เรื่องราวหลังจากนั้น นางไม่รู้อีกแล้ว รัชสมัยเจินเซียหยางปีที่ห้าสิบห้า องค์หญิงหนิงหรงสิ้นพระชนม์ มันเป็นเหมือนความมืดที่มีแสงสว่างส่องนำทาง เจินจิ่วหรงเดินตามความรู้สึกไปเรื่อย ๆ ก็ถึงทางออก และที่แห่งนั้นมีชายคนหนึ่งนั่งรออยู่บนหิน ดวงหน้าคมคายของเขาประดับรอยยิ้มบางเบา เพียงสบมองดวงตาคู่นั้น นางก็รู้เลยว่านั่นคือเขา—ไท่หย่งเสียน เขาสวมอาภรณ์สีขาวสะอาดเหมือนนาง เรือนผมปล่อยสยายเช่นเดียวกัน ก่อนขยับลุกเดินเข้ามาใกล้ เจินจิ่วหรงมองเขาตาไม่กะพริบ ไม่กล้าเดินและถอยหนี สุดท้ายก็ถูกรวบเข้าไปกอดในอ้อมแขน “ทำไมต้องตายก่อนข้าด้วย” ไท่หย่งเสียนกระชับอ้อมกอดแน่นกว่าเดิม “ถ้าองค์ชายสิบสามตาย นอกจากเจ้าจะเสียใจ เจ้ากับลูกก็จะลำบากด้วย” “ไม่ว่าใครตายข้าก็ลำบากทั้งนั้น” เขาแสร้งหัวเราะร่วน “เจ้าบอกข้าเองนะ ว่าเจ้ารักตนเองมากกว่าข้า ข้าถึงเชื่อว่าเจ้าจะอยู่ได้” เจินจิ่วหรงกัดปาก จิกมือลงบนแผ่นอกของเขา “ถ้าคิดแบบนั้น ทำไมยังไม่ไปเกิดอีก” “ก็เพราะข้ารู้ว่าเจ้าน่ะปากหนัก เห็นเหตุผลมาก่อนความรู้สึก เลยกลัวว่าเจ้าจะเดียวดายในโลกแห่งความตาย” นางผละตัวออกเล็กน้อย แหงนหน้ามองไท่หย่งเสียน “รอข้ามาตลอดเลยหรือ” “ช่วยไม่ได้นี่นา ข้ารักเจ้ามากกว่าตนเอง ไม่ว่ายามเป็นหรือตายก็ห่วงหาไม่ต่างกัน” “…” “พวกเราไปเกิดใหม่ด้วยกันเถอะ” เจินจิ่วหรงโคลงหัวลงช้า ๆ พลางเอ่ยประโยคหนึ่งออกมา “ข้ารักท่านนะ หย่งเสียน” ไท่หย่งเสียนขยับยิ้ม ยกมือลูบหัวนาง หลุบมองด้วยสายตาลุ่มลึก หลังจากเฝ้ามองนางมาตลอด เขาก็ตระหนักดีว่าเจินจิ่วหรงอยากพูดคำนี้มานาน“ชาติหน้าฝากตัวด้วยนะ ภรรยาของข้า” “อือ” ขอบคุณนะ ท้องฟ้าและผืนหญ้าของข้า [จบบริบูรณ์]บทสุดท้าย ท้องฟ้าและผืนหญ้า ปฏิหาริย์มีจริง และเต็มเปี่ยมด้วยหยดน้ำตาขององค์รัขทายาท หลังองค์หญิงเก้าที่สลบไปเป็นปีลืมตาตื่น พร้อมกับฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ดวงตาเรียวดั่งหงส์อันเลือนลอยกวาดมองรอบกาย ดวงหน้าซีดเซียวไร้รอยยิ้ม แตกต่างจากตอนสลบไปโดยสิ้นเชิง เสมือนว่าเจินจิ่วหรงไม่ต้องการตื่นขึ้นมาอีกแล้ว ลำคอของนางแห้งเหือด จนต้องดื่มน้ำไปหลายถ้วย ขณะถูกองค์รัชทายาทและพระชายาเอกนามซ่งเยี่ยหวั่นพยุงตัวขึ้น เจินจิ่วหรงมองพวกเขา ริมฝีปากเผยอออกเล็กน้อบ เจินจิ่วเยี่ยนที่ตอนนี้ครองตำแหน่งองค์รัชทายาทมาสองปีเผยรอยยิ้มกว้าง หยดน้ำตาไหลอาบลงมาไม่ยอมหยุด เขาโอบกอดพี่สาวของตนเองแน่น ขณะเจินจิ่วหรงเหมือนไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว “หย่งเสียน…ละ”นางถามหาเขาเป็นประโยคแรก ทำให้เจินจิ่วเยี่ยนและซ่งเยี่ยหวั่นหยุดชะงักไปตามกัน พวกเขาหลบสายตาของเจินจิ่วหรง แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่น “เขาตายไปนานแล้ว” “…” “ล่าสุดที่ข้าไปเยี่ยมหลุมศพของเขา มีดอกหญ้าขึ้นปกคลุม ทุกอย่างเขียวขจี” นางค่อย ๆ พยักหน้าอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาไหลออกมาตอนไหน ปลายนิ้วมือกำลังสั่นระริก ร่างกายสั่นสะท้านราวนกตัวน้อยห
บทยี่สิบแปด การไม่ครอบครอง การเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจเริ่มขึ้นแล้ว หลังเจินจิ่วหรงกลับจากวังหลวง เช้าวันต่อมาเรื่องราวการทุจริตของตระกูลป๋ายก็ถูกเปิดเผย เจินเซียหยางฮ่องเต้เผยแพร่เรื่องนี้ให้ประชาชนรับรู้ ตระกูลป๋ายกลายเป็นนักโทษของสังคม ก่อนการไต่สวนครั้งสุดท้ายจะมาถึงเสียอีก คนจากวังหลวงเชิญเจินจิ่วหรงไปเป็นพยานในการไต่สวน เดิมนางคิดจะปฏิเสธ แต่กลับอยากเห็นสีหน้าผู้เฒ่าของตระกูลป๋ายขึ้นมา เลยแต่งกายสีฉูดฉาดเรือนผมประดับปิ่นทองคำเก้าเล่มไปดูพวกเขาด้วยตาตน เสียงความวุ่นวายรบกวนความสงบ ท้องพระโรงเหมือนสนามรบ นางเลือกจะไม่พูดอะไรออกมามากนัก แค่พยักหน้าและตอบในสิ่งที่สมควร ทำเอาพวกตระกูลป๋ายชี้หน้าด่าจนโดนตบกันเป็นแถบ เจินจิ่วหรงแค่นยิ้มเย็นชา ประโยคสุดท้ายที่นางเอ่ยเลื่อนลอยยิ่งนัก ก่อนนางจะหมดสติไปท่ามกลางความตื่นตระหนกของคนมากมาย หมอหลวงบอกว่านางอยู่ได้อีกไม่นาน เจินจิ่วหรงนั่งนิ่ง เหม่อมองภาพสะท้อนของตนเองบนกระจกทองเหลือง ท่ามกลางเหล่านางกำนัลที่เกล้าผมให้อยู่ ทั้งหมดเป็นเพราะการไม่ได้พักผ่อนหลังคลอดลูก รวมถึงการถูกวางยาตลอดระยะเวลาที่กลับมายังจวนแม่ทัพ ไม่ต้องคาดเ
บทยี่สิบเจ็ด นี่คงเป็นเรื่อง ผิดบ้าง ถูกบ้าง “จริง ๆ แล้ว ระหว่างถูกขังในตำหนัก เสด็จพ่อมาหาข้าด้วย แววตาของเขาเลื่อนลอยและว่างเปล่า กระนั้นกลับสะท้อนความเหี้ยมโหดไม่น้อย” “อือ” เจินจิ่วหรงเปล่งเสียงครางตอบรับน้องชายที่นอนอยู่บนตักของนาง พลางยกมือลูบหัวเขาเบา ๆ เปลือกตาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ “เขาบอกว่าเสด็จแม่—ป๋ายอวี้หลันจะมีความสุขกว่า หากกลับสู่อ้อมอกของตระกูลป๋าย แทนการถูกฝังในสุสานหลวง” “…” “แล้วหลังจากนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมาละ” “อ่า” “ต่อให้พวกเราไม่เลือกชิงบัลลังก์ แต่ความกดดันจากตระกูลป๋าย และข้ายังเกิดมาเป็นบุรุษ อย่างไรก็หลีกหนีความโลภคนมากมายไม่พ้น แม้นแต่เสด็จแม่ก็ตาม” “…” “มีบางครั้งข้านึกอิจฉาท่านพี่ไม่น้อย ท่านไม่ต้องแก่งแย่งชิงบัลลังก์ ไม่ต้องเป็นที่คาดหวังของใคร ๆ แต่พอท่านพี่ต้องแต่งงาน ข้าก็ความเข้าใจความกดดันอันแตกต่างระหว่างชายหญิง ทว่ากลับอดริษยาท่านพี่มิได้เลย” เจินจิ่วหรงลืมตาขึ้นมองเขา ภาพตรงหน้าเลือนรางยากจะแยกออก นางขยับรอยยิ้มบางเบาอันเศร้าหมอง พร้อมเอ่ย “นี่ไม่เหมือนคำพูดของผู้ต้องการช่วงชิงเลยนะ หรือว่าตอนนี้เจ้าไม่ต้องการบัลลังก์แล้ว
บทยี่สิบหก ข้าอยากให้เขาเลือกครอบครัวมากกว่า ความรู้สึกที่เจินจิ่วหรงมีต่อตงเหลียนฮวา ในอดีตนอกจากความอิจฉาริษยาก็ไม่มีสิ่งใด ทว่าตอนนี้มันกลับไม่มีความริษยาอันรุนแรงเช่นนั้นอีกเลย หัวใจของนางร้าวรานและนิ่งสงบ หลังผ่านเรื่องราวมากมาย ตงเหลียนฮวาเป็นเพียงจุดบอดเล็ก ๆ ในชีวิตเท่านั้น ตอนพบหน้ากันอีกหนในค่ายทหาร นางขยับรอยยิ้มกว้างอันสดใส บดบังความมืดหม่นของอีกฝ่ายจนหมดสิ้น ตงเหลียนฮวาถูกล่ามด้วยโซ่ตรวนหนา ดวงหน้าซีดเซียวและอิดโรย ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองนางสลับกับไท่หย่งเสียน เจินจิ่วหรงทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้เขากวาง ในกระโจมแห่งนี้ นอกจากแม่ทัพประจิม ไท่หย่งเสียนและนางก็ไม่มีใครอื่น “ไม่เจอกันนานเลยนะ ตงเหลียนฮวา”นางเอ่ยเสียงราบเรียบ รอยยิ้มไม่เลือนหายจากดวงหน้าสักนิด ขณะตงเหลียนฮวากวาดมองทุกอย่างด้วยความหวาดระแวง เตรียมขอความช่วยเหลือจากไท่หย่งเสียน “หย่งเสียน…ช่วยข้าด้วย” ไท่หย่งเสียนยืนนิ่งเพื่อรอรับคำสั่งจากองค์หญิงเก้าแต่เพียงผู้เดียว ทำให้ตงเหลียนฮวาตระหนักถึงความจริงว่าเขาเก็บนางไว้เพื่อกลายเป็นนักโทษหรือเหยื่อของเจินจิ่วหรงในสักวัน และวันนี้ก็มาถึง ตงเหลียนฮวาเปล่
บทยี่สิบห้า เจินจิ่วหรงที่บ้าคลั่ง เจินจิ่วหรงนอนแช่ตัวอยู่ในถังน้ำใสสะอาด เส้นผมดำขลับยาวสลวยเลื่อนลงปรกดวงหน้างดงาม หลบซ่อนแววตาสั่นไหวของนางอย่างแนบเนียน ไม่มีข้ารับใช้คนในอยู่ในเรือนนอน จวนตระกูลไท่ถูกทหารล้อมเอาไว้ แม้นว่าการปราบจลาจลจะจบลงแล้ว ดูเหมือนว่าเจินเซียหยางฮ่องเต้จะหวาดระแวงตระกูลไท่อย่างสมบูรณ์แบบ แม้นแม่ทัพประจิมจะเป็นดั่งสุนัขถวายหัวอยู่แทบเท้าก็ตามที ทั้งหมดเป็นเพราะเจินจิ่วหรงคือสะใภ้หนึ่งเดียวของตระกูลไท่ ซ้ำตอนนี้ยังให้กำเนิดบุตรชายแก่พวกเขา ต่อให้ปกปิดที่อยู่ของไท่หย่งเล่อ แต่ก็มิอาจปิดบังตัวตนการมีอยู่ของเขา เจินเซียหยางฮ่องเต้เป็นคนขี้ระแวงและโลภมาก ไม่นานย่อมจับลูกชายของนางเป็นตัวประกัน ทุก ๆ อย่างเหลือเวลาไม่มากแล้ว แต่เจินจิ่วเยี่ยนอายุย่างสิบสี่ปีเท่านั้น ไม่มากพอจะขึ้นครองบัลลังก์โดยไร้ผู้สำเร็จราชการแทน สุดท้ายเขาจะกลายหุ่นเชิดอีกตัวสำหรับตระกูลป๋าย “นี่ หย่งเสียน”นางเอ่ยปากเรียกเขาที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นไร้ลวดลาย ไท่หย่งเสียนชำเลืองมองภรรยา “อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ ข้าเตรียมอาภรณ์ให้เจ้าแล้ว” น้ำเสียงของไท่หย่งเสียนอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ร
บทยี่สิบสี่ ลาก่อนพระสนมเสียนเฟย เจินจิ่วหรงถูกกักตัวอยู่ภายในตำหนักของตนเอง ขณะไท่หย่งเสียนถูกแต่งตั้งเป็นหนึ่งในแม่ทัพเฉพาะกิจกวาดล้างตระกูลเสวียน ภายในวังเกิดการนองเลือดจำนวนมาก เสวียนผินถูกสังหาร แตกต่างจากองค์ชายไม่สมประกอบที่ถูกพวกกบฏนำตัวออกนอกวัง หว่านกุ้ยเฟยและโอรสของนางอย่างองค์ชายเจ็ดถูกนำตัวไปยังห้องลับอันปลอดภัย ส่วนองค์ชายสิบสามถูกกักตัวเช่นเดียวกันกับนาง ตระกูลป๋ายยังไร้การเคลื่อน พวกเขาไม่ได้มีกำลังทหารอะไร มีแต่พวกขุนนางร่วมตัวกันป่วน แน่นอนว่าถูกเจินเซียหยางฮ่องเต้กีดกันให้อยู่กันเป็นส่วน ๆ เจินเซียหยางฮ่องเต้มิอาจกำจัดตระกูลป๋าย พวกเขามีอิทธิพลมากเกินไป แค่กักบริเวณองค์ชายสิบสาม เสมือนว่าความผิดทั้งหมดเป็นของเจินจิ่วเยี่ยน ก็ทำตระกูลป๋ายไม่พอใจมากแล้ว ไม่มีทางที่โอรสสวรรค์จะกล้าลงมืออะไรอีก เจินจิ่วหรงเหยียดตัวนอนบนตั่งหินอ่อน รอเวลาที่ทุกอย่างจบลงด้วยกองเลือดมากมาย การพลัดพรากและสูญเสีย ทุกอย่างเริ่มต้นจากความเห็นแก่ตัวของเจินเซียหยางฮ่องเต้ นางกับเจินจิ่วเยี่ยนตระหนักดีว่าร่างกายของเสด็จแม่ทรุดโทรมขนาดนี้เพราะใคร ตลอดมาถึงนึกชิงชังเจินเซียหยางฮ่องเต