จิ้นซู่กลับมารายงานเรื่องของตระกูลซิ่วให้แก่เยว่อู๋ชางได้ฟังในวันต่อมา ตามที่เขาไดัให้ลูกน้องไปสืบมา ปรากฏว่า ใต้เท้าซิ่วได้วางแผนที่จะกำจัดหลานสาว ที่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของน้องชายที่ล่วงลับไปนานนับสิบสองปี แต่ทว่ายามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลซิ่วกลับต้องการที่จะพบหน้าหลานสาว อาจจะเป็นเพราะข่าวลือที่ว่าตระกูลซิ่วทอดทิ้งสายเลือดทำให้ฮูหยินผู้เฒ่านึกใส่ใจหลานสาวขึ้นมา“นี่แม่นางชิงเป็นถึงศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาหวุนซีเชียวหรือนี่ มิน่าล่ะนางถึงได้ดูฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก” นั่นหมายความว่ายิ่งยากสำหรับเขาที่อยู่ไกลจากนางเช่นนี้ คงจะมีบุรุษไม่น้อยที่หมายตานางเอาไว้เช่นกัน“เป็นเพราะแม่นางชิง เอ่อ… คุณชาย แม่นางน้อยชิงชิง มีนามที่แท้จริงว่าชิงเหมยขอรับ” จิ้นซู่ลอบสังเกตสีหน้าของคุณชายรอง ทว่ากลับไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ไม่มีความขุ่นเคืองที่อีกฝ่ายหลอกลวงบอกนามเท็จมา จิ้นซู่จึงทำใจกล้าเอ่ยถามออกมา“คุณชายไม่รู้สึกโกรธแม่นางน้อยชิงชิง เอ่อ… แม่นางชิงเหมยเลยหรือขอรับ”เยว่อู๋ชางส่ายหน้าพลางหัวเราะเบาๆ ให้กับความมีไหวพริบของเด็กหญิง ทว่าจิ้นซู่กลับคิดว่าคุณชายตกหลุมรักเด็กน้อยผู้นั้นจนเปลี่ยนเป
ครั้นเห็นว่าพี่สาวไม่ได้รู้สึกกังวลกับสิ่งที่นางบอกเล่าให้ฟัง หลิ่วหริ่งจึงรีบนำบทความของท่านอาจารย์อวิ๋นที่นางเขียนมาให้ท่านพี่หญิงชิงเหมยได้ดู มือเล็กรับกระดาษมาจากหลิ่วหริ่งก่อนที่นางจะอ่านและทำความเข้าใจกับบทความตรงหน้า เพราะเป็นเรื่องราวที่นางเคยศึกษามาก่อนหน้า ชิงเหมยจึงสามารถอธิบายให้หลิ่วหริ่งฟังจนเด็กหญิงเข้าใจหลิ่วหริ่งอยู่กับชิงเหมยเกือบหนึ่งชั่วยามจึงขอลากลับเรือนของนาง และหลังจากนั้นไม่นานนักท่านยายซุนฉีของชิงเหมยก็กลับมาจากตลาดซานฉี พักนี้นางกลับเรือนเร็วกว่าเมื่อก่อนเพราะนึกเป็นห่วงหลานสาวที่ต้องอยู่ที่เรือนตามลำพัง นางเกรงว่าฝ่ายพ่อของหลานสาวที่ไม่เคยมาเหลียวแลจะมาพาตัวหลานไป“ท่านยาย… เหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ” ชิงเหมยนำน้ำมาให้ท่านยายของนางได้กิน“ขอบน้ำใจนะลูก ยายไม่เหนื่อยเลย ว่าแต่ยาย…เจ้าล่ะไปสำนักศึกษาวันนี้มาเป็นเช่นไรบ้าง” ซุนฉีรับแก้วน้ำมาดื่มก่อนที่จะเอ่ยถามหลานสาวออกมา“ก็เหมือนกับทุกวันเจ้าค่ะ อ่อ.. วันนี้หริ่งเอ๋อร์มาให้หลานสอนตีความหมายบทความของท่านอาจารย์ลู่อวิ๋นด้วยเจ้าค่ะ"“หืม… หริ่งเอ๋อร์น่ะหรือ อืม… ดีแล้วล่ะลูก เรือนเคียงกันหยิบยื่นน้ำใจให้ความช่วยเหล
เยว่อู๋ชางเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อไปสอบฮุ่ยซื่อหลังจากที่ได้รับผ้าพันคอจากชิงเหมยเพียงสามวัน ดีที่อากาศเริ่มเย็นลงทำให้เขาสามารถใช้ผ้าพันคอผืนนี้ได้อย่างไม่เป็นที่สะดุดตานัก แต่ถึงอย่างไรก็คงมีเพียงจิ้นซู่ที่พอจะรู้ความคิดของคุณชายรอง หากเป็นของที่แม่นางน้อยชิงเหมยทำให้แล้ว คุณชายของเขาก็พร้อมที่จะใช้สิ่งนั้นอย่างไม่ลังเลแม้ว่ามันจะมีรูปร่างหน้าตาประหลาดก็ตามที คิดแล้วก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้“หัวเราะอันใดจิ้นซู่” ผู้ที่นั่งอยู่บนหลังม้าเอ่ยถามบ่าวรับใช้คนสนิทที่นั่งอยู่บนหลังม้าติดตามเขามาไม่ห่าง“ฮ่าๆๆ ฮึบ… มิได้หัวเราะอันใดขอรับ” จิ้นซู่กลั้นขำพลางตอบคุณชายรอง“หึ!! มัวแต่ชักช้า ข้านำไปก่อนล่ะ”คุณชายหนุ่มรู้สึกเขินเพราะรู้ดีว่าบ่าวรับใช้คนสนิทกำลังหัวเราะในเรื่องอันใด จิ้นซู่มองตามคุณชายรองก่อนที่เขาจะควบม้าเร่งความเร็วติดตามคุณชายไปสองนายบ่าวควบม้าเกือบหนึ่งชั่วยามจึงพักมาที่โรงเตี๊ยมริมทาง ที่ตั้งอยู่ระหว่างเมืองถิงฮวาและเมืองหลวง ถือโอกาสนี้ให้ม้าได้พักเหนื่อยเสียหน่อย และให้คนได้พักกินอาหารด้วย เสี่ยวเอ้อร์รีบออกมาต้อนรับคุณชายหนุ่มและผู้ติดตาม“ยินดีต้อนรับขอรับ ขอเชิญแข
“พวกเจ้ายินดีที่จะไปอยู่กับข้าหรือไม่ ข้ามิได้ร่ำรวย แต่ข้าก็เป็นคนที่มีน้ำใจไม่ยอมให้พวกเจ้าต้องอดตายเป็นแน่” เสียงหวานร้องถามเด็กสาวเหล่านี้ออกมา“หนวกหู!! แม่นางน้อย หากอยากหาสหายเอาไว้เล่นกับเจ้าก็เอาเงินมาแลก หาใช่มาขดมยกันซึ่งๆ หน้าไม่”“คิกๆๆๆ โขมยเช่นนั้นหรือ ช่างน่าขัน”เสียงหัวเราะของสตรีนิรนามทำให้กลุ่มชายแปลกหน้ารู้สึกโกรธเกรี้ยวขึ้นมา ผู้ที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าส่งสัญญาณให้ลูกน้องจัดการสตรีร่างเล็กตรงหน้า แต่ไม่ทันที่บุรุษร่างโตจะได้เข้าใกล้ร่างบาง มีดสั้นก็ลอยมาปักที่คอหอยของชายผู้นั้นจนล้มลง ตาเหลือกค้างตายไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว“เฮ้ย!!! พวกเจ้ารีบไปจับตัวนังนั่นมาให้ข้าเร็วเข้า”สิ้นเสียงของหัวหน้ากลุ่ม ชายแปลกหน้าร่างโตที่เหลือสี่คนจึงรีบปรี่เข้าไปหาสตรีนิรนามตรงหน้า นางดึงดาบที่เหน็บไว้ที่เอวทั้งสองข้างออกมาแล้วตั้งรับพวกมันไม่เกรงกลัว สองฝ่ายปะทะกันเสียงดาบและเสียงกรีดร้องของเหล่าเด็กสาวดังขึ้นไปทั้งบริเวณ ร่างเล็กหลบหลีกเหล่าชายร่างโตได้อย่างคล่องแคล่ว อีกทั้งยังฟันพวกมันจนล้มลงทีละคน อาภรณ์สีดำอาบไปด้วยสีของโลหิตชายที่เป็นหัวหน้าเห็นท่าไม่ดีจึงรีบลากจูงกลุ่มเด็กสา
ควันโขมงที่ลอยขึ้นมาเหนือหลังคาเรือนของสองยายหลานในยามเหม่าเป็นเรื่องปกติในทุกเช้า เพราะซุนฉีตื่นนอนตั้งแต่ยามอิ๋นเพื่อหุงหาอาหาร ชิงเหมยเองก็มีหน้าที่ที่ต้องทำไม่ต่างกันกับท่านยายของนาง เด็กหญิงวัยแรกแย้มกำลังนั่งผสมแป้งเข้าด้วยกัน ครั้นเนื้อแป้งเข้ากันแล้วนางจึงจัดการยัดไส้ซาลาเปาที่มีทั้งไส้ถั่ว ไส้หมู ไส้ผัก และไส้มัน จากนั้นก็ปั้นเป็นรูปร่างต่างๆ เพื่อเรียกความสนใจจากลูกค้าที่เป็นเด็ก“เหมยเอ๋อร์… วันนี้ทำไปให้มากหน่อยเถิด เพราะวันนี้เป็นวันหยุดที่เด็กๆ ไม่ได้ไปสำนักศึกษากัน ส่วนใหญ่ก็คงจะติดตามพ่อแม่มาเดินเที่ยวตลาดด้วย” ซุนฉีร้องบอกหลานสาวที่กำลังตั้งอกตั้งใจเตรียมซาลาเปาสำหรับขายในวันนี้“เจ้าค่ะท่านยาย ข้าก็คิดเช่นเดียวกันกับท่าน อีกอย่าง… ข้าได้ยินมาว่าวันนี้ที่เมืองถิงฮวาของพวกเรา มีหัวหน้ามือปราบคนใหม่ เพิ่งจะมารับหน้าที่วันนี้เป็นวันแรก เขาต้องมาตรวจเยี่ยมตลาดที่เราค้าขายอยู่เป็นแน่เจ้าค่ะ” ชิงเหมยตอบรับทว่ามือของนางยังคงจดจ่ออยู่กับการปั้นแป้งซาลาเปาตรงหน้า“อืม…ยายก็ได้ยินมาเช่นกัน เห็นเขาบอกว่า หัวหน้ามือปราบที่มาใหม่วัยแค่สิบเจ็ดสิบแปดปีเท่านั้นเอง ความสามารถของเขาคงจ
“จะดีหรือเจ้าคะ ข้าน้อยเกรงว่า ผู้อื่นจะมองว่าหลานสาวของข้าน้อยพยายามจะตีสนิทคุณชาย เพราะอยากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเฉียว คุณชายก็น่าจะรู้ว่า พวกชาวบ้านนั้นชอบเล่าลือกันในสิ่งที่มิใช่เรื่องจริง และผู้ที่จะเสียหายก็มิใช่ผู้ใด แต่คือหลานสาวของข้าน้อยผู้ต่ำต้อยผู้นี้”ซุนฉีกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล ถึงหลานสาวจะมีเลือดของขุนนางอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่ความจริงที่หนีไม่พ้นก็คือ ชิงเหมยเป็นเพียงเด็กสาวชาวบ้านธรรมดาที่เติบโตมากับยายที่ขายขนมเลี้ยงชีพเพียงเท่านั้น“เอ่อ… ถ้าข้าทำให้ท่านยายและชิงเหมยลำบากใจ ข้าก็ต้องขออภัยด้วย แต่ข้ามีเรื่องที่อยากจะคุยกับชิงเหมยจริงๆ อืม… ถ้าเช่นนั้นให้ข้าได้พูดคุยกับชิงเหมยที่ในร้านนี้ได้หรือไม่”ในเมื่อออกไปเดินเล่นด้วยกันไม่ได้ คุณชายหนุ่มจึงเลือกที่จะพูดคุยอยู่ที่ร้านนี้แทน เพราะเช่นนี้จะได้อยู่ในสายตาของนางซุนฉี ผู้เป็นยายของชิงเหมยด้วย ซุนฉีมองหน้าหลานอย่างชั่งใจก่อนที่จะตอบคุณชายหนุ่มไป“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ย่อมได้เจ้าค่ะ เหมยเอ๋อร์… หลานพาคุณชายไปนั่งคุยที่โต๊ะด้านหลังร้านของเราเถิด” ครานี้ซุนฉีไม่ปฏิเสธชิงเหมยเองก็ไม่ได้ลำบากใจอันใดที่จะต้องพูดคุยก
คุณชายเฉียวเร่งฝีเท้ามาถึงร้านเหลาของสกุลหลิว เขาทันได้เห็นว่าชิงเหมยและสหายของนางยืนพูดคุยกับบุรุษร่างสูง ที่มีรูปโฉมงดงามปานเทพเซียน มองดูจากอาภรณ์ที่อีกฝ่ายสวมใส่ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นขุนนาง ในขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าไปหานาง ทั้งสามคนกลับเดินหลบเลี่ยงไปทางอื่นเสียก่อน และมีคนรู้จักเข้ามาทักทายเขาพอดี ทำให้เขาคลาดสายตาจากพวกนางไปอย่างน่าเสียดายชิงเหมยและใต้เท้าหนุ่ม เดินตามหลิวหลูซินไปที่ศาลาริมน้ำ ที่อยู่ข้างหลังร้านเหลาของสกุลหลิว ครั้นไปถึงหลิวหลูซินก็ขอตัวออกไปช่วยพ่อแม่ของนางขายอาหารที่ร้านเหลาต่อ ทิ้งให้สองหนุ่มสาวได้พูดคุยกันตามลำพัง เด็กสาวรู้สึกไม่คุ้นชินกับรูปโฉมที่น่ามองของพี่ชาง พี่ชายที่นางเคยพบเจอและได้รับความช่วยเหลือจากเขาเมื่อสองปีก่อน เขาเงียบหายไปนานถึงสองปี ทำให้นางกับเขาห่างเหินกันไป ครั้นได้มาพบหน้ากันอีกคราก็ทำให้นางรู้สึกทำตัวไม่ถูก“พี่ชาง… เอ่อ… ท่านใต้เท้า สบายดีนะเจ้าคะ”“เรียกพี่ว่าพี่เช่นเดิมเถิด” เสียงทุ้มน่าฟังดังออกมาจากปากของใต้เท้าหนุ่ม“พี่สบายดี แต่ปีก่อนก็ลำบากอยู่ไม่น้อย เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่ ว่าพี่ไปประจำการอยู่ที่ชายแดนมา”ชิงเหมยพยักหน้าเป็นคำ
“ท่านใต้เท้าเจ้าคะ ข้าน้อยได้ยินมาว่ายามที่ท่านฆ่าฟันพวกศัตรู ท่านมิยอมกะพริบตาเลย จริงหรือไม่เจ้าคะ”ด้วยความที่ยังเยาว์วัย หลิวหลูซินจึงเอ่ยถามออกมาเพราะความอยากรู้ ว่าเรื่องที่ได้ยินมานั้นเป็นเรื่องจริง หรือเป็นเรื่องที่พวกนักปราชญ์ที่มาเล่าเรื่องในโรงเตี๊ยมทั่วเมืองถิงฮวาตีความไปเองชิงเหมยสะกิดสหายของนาง เพราะเกรงว่าจะทำให้พี่ชางต้องลำบากใจ รอยแผลเป็นที่อยู่บนใบหน้าของเขานั้น แม้จะเบาบางและมีร่องรอยที่จางลง แต่ทว่าบาดแผลที่อยู่ภายในจิตใจของเขาก็คงยังอยู่ เพราะนางเองก็เคยผ่านสถานการณ์ที่ต้องฆ่าผู้อื่นและสูญเสียสหายร่วมรบมาเช่นกัน ในสนามรบหากเราไม่ฆ่าเขา เขาก็ฆ่าเรา เพราะเช่นนั้นแล้ว… หากแสดงความอ่อนแอข้าศึกเห็น ก็อาจจะกลายเป็นจุดอ่อนได้ ท่านพี่ชางจึงได้แสดงด้านที่เย็นชาออกมา ทำให้ผู้ที่มองเขาตีความเป็นเช่นนั้น“พี่ไม่เป็นอันใดแล้วล่ะชิงชิง… ผู้คนก็พูดกันไป ผู้ใดจะทนไม่กะพริบตาได้กันล่ะ” ชิงเหมยถึงกับนึกขันกับคำตอบที่ติดเล่นของพี่ชาง เขายิ้มออกมาให้กับเด็กสาวทั้งสอง“แหะๆ จริงด้วยเจ้าค่ะ” หลิวหลูซินหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยท่าทีเขินอาย“ท่านหัวหน้าขอรับ ด้านในให้ข้ามาตามท่านไปร่วมโต๊ะแ
“ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ข้ามิทันได้ระวัง จึงชนพี่สาวเข้า” ชิงเหมยพยายามกล่าวขออภัยออกมาอย่างใจเย็น เพราะดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจเข้ามาหาเรื่องนาง“คิดว่าแค่พูดแล้วข้าจะหายเจ็บเช่นนั้นหรือ คุกเข่าขออภัยต่อข้าประเดี๋ยวนี้” ชิวมู่หรงที่แอบมองอยู่ภายในเกี้ยวถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความชอบใจ ผู้คนเริ่มเข้ามามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น“ถนนก็ตั้งกว้าง เหตุใดพวกเจ้าถึงต้องเดินมาทางที่นางเดินด้วย เช่นนี้มิใช่ว่าเป็นการกลั่นแกล้งกันหรอกรึ”หนึ่งในชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นเริ่มแสดงความเห็นของตนออกมา เพราะดูชิงเหมยไม่แสดงกิริยาไม่น่ามองต่ออีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งนางก็ได้กล่าวขออภัยต่อสาวรับใช้สกุลชิวแล้ว“นั่นสิ ปกติพวกเจ้าเดินไม่เคยห่างเกี้ยวของคุณหนูของพวกเจ้า เหตุใดวันนี้ถึงได้เดินออกมาห่างไกลจากเกี้ยวของนางนักล่ะ” ชาวบ้านอีกคนหนึ่งที่รู้จักนิสัยของคุณหนูและสองสาวใช้ตระกูลชิวดีได้กล่าวออกมาสองสาวรับใช้เริ่มหน้าเสียที่พวกชาวบ้านไม่เข้าข้างตน ครั้นมองไปยังเด็กสาววัยแรกแย้มที่มีรูปหน้าและความงดงามราวกับบุปผา นางก็มิได้แสดงท่าทีโอนอ่อนต่อนางทั้งสองเลย อีกทั้งสายตาที่นางจ้องมองมายังราวกับกำลั
วันต่อมาวันนี้ชิงเหมยออกไปช่วยท่านยายของนางขายขนมที่ตลาด เพราะวันนี้เป็นวันที่ลูกค้าแวะเวียนมาจับจ่ายใช้สอยกันมากกว่าทุกๆ วัน เด็กสาววัยแรกแย้มต่างเป็นที่หมายตาของบรรดาหนุ่มๆ นางเปรียบดังบุปผางามแห่งหมู่บ้านซานฉี ถึงแม้จะเป็นเพียงหลานสาวแม่ค้า แต่ทว่าคุณชายทั้งหลายต่างก็พากันหมายตานางกันอยู่ไม่น้อย ยากก็ตรงที่ท่านยายของนางมิได้หวังในทรัพย์สินเงินทอง นางหวังเพียงแค่หลานสาวได้พบกับคนที่นางรักและรักนางเท่านั้น“เถ้าแก่เนี้ย หลานสาวของท่านช่างงดงามยิ่งนัก นางมีคู่หมายหรือยังขอรับ” มิใช่เพียงแค่มีรูปโฉมที่งดงาม ทว่าชิงเหมยนั้นกลับโด่งดังในเรื่องของความเฉลียวฉลาดและความขยันหมั่นเพียรอีกด้วย“นางก็เหมือนกับข้ายามสาวๆ นั่นแหละ ว่าแต่…วันนี้จะซื้อขนมอันใดดีล่ะ”ซุนฉีหันไปมองหลานสาวที่กำลังนั่งปั้นซาลาเปาอยู่ในสุดของร้าน ก่อนที่จะหันไปถามไถ่ลูกค้าที่เป็นชายหนุ่มที่แสดงท่าทีว่าสนใจหลานสาวของนางมากกว่าขนมเสียอีก เพราะเหตุนี้นางถึงรู้สึกยินดียิ่งกว่าหากวันใดชิงเหมยมิได้มาช่วยนางขายขนมในตลาด“ขอเป็นซาลาเปาสามลูกก็แล้วกัน”ลูกค้าหนุ่มรู้ตัวว่ากำลังเสียมารยาทจึงบอกความต้องการของตนต่อเถ้าแก่เนี้ยที่ย
สองหนุ่มสาวช่วยกันถางพงหญ้าจนราบเตียน แต่ก็ใช้เวลานานอยู่ไม่น้อย และอีกไม่หนึ่งก้านธูปชิงเหมยก็ต้องกลับเรือนแล้ว เพราะนางต้องกลับไปหุงข้าวและทำกับข้าวรอท่านยายของนางกลับมาจากตลาด ยามนี้นางมีฝีมือในการทำอาหารดีขึ้นแล้ว แม้จะรสชาติไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับที่ท่านยายทำให้กินก็ตาม“วันนี้ลำบากท่านแล้วเจ้าค่ะ” ชิงเหมยส่งน้ำให้ชายหนุ่มที่วันนี้มีน้ำใจมาช่วยนางถางหญ้าจนเตียน“ไม่ลำบากเลย ถือว่าได้ออกกำลัง” เขาบอกพลางรับน้ำจากนางมาดื่ม“วันนี้ท่านพี่จะกลับเมืองถิงฮวาเลยหรือไม่เจ้าคะ” นางเอ่ยถามเขาออกมา“ไม่หรอก วันนี้พี่กับลูกน้องอีกสองคนจะพักกันที่โรงเตี๊ยมในหมู่บ้านนี่แหละ"“แล้วท่านพี่ชางจะกลับเมืองถิงฮวาวันใดหรือเจ้าคะ”“อีกสองวันน่ะ พี่ว่าจะสืบหาเบาะแสของพวกพ่อค้าทาสเสียหน่อย”แม้เรื่องนี้จะเป็นความลับ แต่สำหรับชิงเหมยแล้วไม่มีเหตุผลอันใดที่เขาจะต้องปิดบังนาง หากนางคือสตรีนิรนามที่เคยขัดขวางพวกพ่อค้าทาสเมื่อปีก่อนจริง“ข้าว่า…เห็นทีข้าต้องขอตัวกลับเรือนก่อนแล้วล่ะเจ้าค่ะ” ชิงเหมยบอกเขายามที่นางมองแสงจากพระอาทิตย์ที่ต่ำลงไปทุกที“อ่อ… เจ้าอยากจะนั่งม้าไปกับพี่หรือไม่”“ไม่ดีกว่าเจ้าค่ะ ข้าเกรงว
หลังจากวันนั้นเพียงไม่กี่วัน หัวหน้ามือปราบหนุ่มก็กลับมาเยือนหมู่บ้านซานฉีอีกครา วันนี้เขามีลูกน้องติดตามมาเพียงแค่สองคนเท่านั้น เพราะไม่อยากให้กลายเป็นที่สะดุดตา และการมาของเขาก็เพียงเพราะต้องการตรวจตราความสงบเรียบร้อยของหมู่บ้านซานฉี และแวะเวียนมาหาสตรีที่เขาหมายปองก็เท่านั้น“แม่นางชิงเหมยคงจะอยู่ที่ร้านขายขนมในตลาด ท่านหัวหน้าจะแวะไปแนะนำตัวกับท่านยายของนางเลยหรือไม่ขอรับ”จิ้นซู่กล่าวพลางเอ่ยถามออกมายิ้มๆ ยามปฏิบัติหน้าที่เขามักจะเรียกคุณชายรองของตนว่าท่านหัวหน้า ทว่าหากอยู่กันตามลำพัง เขาก็จะเรียกว่าคุณชายรองเช่นเดิม“ที่แท้ท่่านหัวหน้าก็มีสตรีที่หมายปองอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านนี้หรือขอรับ”ฉางจี้ ลูกน้องในสำนักมือปราบที่ติดตามหัวหน้ามือปราบมาในวันนี้ด้วยเอ่ยถามออกมาด้วยความตื่นเต้น เพราะตั้งแต่เขาได้พบกับท่านหัวหน้ามา ไม่เคยมีสักคราที่ท่านหัวหน้าจะชายตาแลมองสตรีใด“อืม… แต่มิใช่แค่เรื่องนั้น ที่ข้ามาวันนี้เพราะอยากตรวจตราความสงบเรียบร้อยของหมู่บ้านซานฉีด้วย พวกเจ้าก็คงจะรู้อยู่แล้วว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังของพวกพ่อค้าทาสนั้นยังมิถูกจับได้ ข้าจึงอยากให้พวกเจ้าช่วยกันไปตรวจตราดูรอบๆ หม
นั่นเป็นเพราะชิงเหมยได้รับความช่วยเหลือจากหลิ่วหริ่ง ยามใดที่นางออกจากเรือนไป หลิ่วหริ่งก็จะเข้ามาอยู่ภายในเรือนและท่องบทกวี ให้พวกที่แอบฟ้งอยู่ด้านนอกได้ยินแทนตัวนาง ถึงแม้นการทำเช่นนี้จะเป็นเรื่องที่ดุเหมือนจะยุ่งยาก แต่ชิงเหมยกลับรู้สึกสนุกและเหมือนว่านางได้ออกกำลัง คนพวกนี้นั้นช่วยให้ชีวิตของนางในแต่ละวันนั้นไม่น่าเบื่อ“ข้าว่าพวกเราจ้างคนในหมู่บ้านให้คอยจับตาดูนางแล้วส่งข่าวให้พวกเรารู้จะดีกว่า พวกเราเสียเวลากับนางมานานเกินไปแล้ว ข้าเบื่อเต็มทีที่ต้องคอยจับตาดูเด็กเช่นนาง”“จะดีรึ หากท่านใต้เท้ารู้เข้ามีหวังพวกเรานี่แหละที่จะถูกจัดการเสียก่อน”“นางก็เป็นเพียงแค่เด็ก หากนางจะไปเยือนเมืองถิงฮวา เจ้าคิดว่านางจะรอจนป่านนี้งั้นรึ”ครั้นต่างคนต่างเห็นด้วยกับอีกฝ่าย ทั้งสองจึงได้จ้างให้พวกชาวบ้านที่เห็นแก่เงิน ให้คอยจับตาดูชิงเหมยแทนพวกตน หากคราใดที่เด็กหญิงออกจากหมู่บ้านซานฉีค่อยส่งสารให้พวกตนได้รับทราบ ชาวบ้านผู้นั้นเห็นว่าเป็นงานที่ได้เงินง่ายๆ จึงยินยอมที่จะเป็นผู้ที่คอยจับตาดูชิงเหมยแทน แม้จะรู้สึกประหลาดใจว่าเพราะเหตุใดถึงได้เกรงว่าชิงเหมยจะออกจากหมู่บ้าน แต่เขาก็ไม่สนใจเพราะหน้าท
หลังจากนั่งพูดคุยกันถึงเรื่องที่เยว่อู๋ชางไปจับกุมพวกพ่อค้าทาสมา สองหนุ่มสาวก็ได้ถามไถ่เรื่องราวที่ผ่านมาของกันและกัน เพราะคราแรกที่ได้กลับมาพบกันนั้น เขากับนางไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันมากนัก และที่เยว่อู๋ชางเดินทางมาหาชิงเหมยที่หมู่บ้านซานฉีในยามนี้ มิได้มีเพียงแค่ความสงสัยในตัวของเด็กสาว แต่ทว่าเขามาหานางด้วยความคะนึงหาและห่วงใยนางด้วยเช่นกัน“อืม… พี่ว่าจะถามเจ้า เรื่องคนของลุงเจ้าน่ะ เขาเรียกคนเหล่านั้นกลับไปหรือยัง” เพราะก่อนเขาเข้าเมืองหลวง เขารู้ว่าลุงของชิงเหมยส่งลูกน้องให้มาคอยจับตาดูนางเอาไว้“กลับไปตั้งแต่สามเดือนแรกแล้วเจ้าค่ะ” ชิงเหมยยิ้มออกมาพลางเล่าไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อนสองปีก่อนชิงเหมยครั้นได้รับสารจากพี่ชายจากเมืองถิงฮวาที่ส่งมาบอกนาง ว่าท่านลุงของนางส่งคนให้มาคอยติดตามนาง เพื่อตัดความรำคาญใจเพราะผ่านมานานหลายเดือน ลูกน้องของท่านลุงทั้งสองก็ยังคงคอยติดตามนางอยู่ลับๆ อยู่มาวันหนึ่งชิงเหมยจึงแสร้งออกจากเรือนไปที่ลานกว้างท้ายหมู่บ้านซานฉี ทุกย่างก้าวของนางมีคนของผู้เป็นลุงคอยแอบติดตามนางไป แต่แล้วคนเหล่านั้นก็ต้องคลาดสายตาจากนาง เพราะนางแอบหนีกลับเรือนโดย
ชิงเหมยได้ฟังเช่นนั้นก็ใจเต้นแรง เพราะแถบชายแดนของเมืองถิงฮวาที่อยู่ติดกับชายแดนของเมืองถิงซานั้นอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านซานฉียิ่งนัก นางจึงมิอาจเดินทางไปให้ความช่วยเหลือสตรีและเด็กที่ถูกพาไปขายยังแถบนั้นได้“ข้ารู้เจ้าค่ะ ว่าแคว้นเจียงโจวนั้นเลิกทาสมาตั้งแต่ข้าอายุเพียงสิบสองปีแล้ว” ชิงเหมยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ซึ่งความตื่นตระหนก“ครานี้พี่พลาดเองที่มิอาจจับกุมผู้ที่อยู่เบื้องหลังได้ แต่ก็ยังดีที่ได้ช่วยเหลือสตรีนับสิบเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่พวกมันจะทำการซื้อขายกัน”เขาเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นให้ชิงเหมยฟังพลางสังเกตสีหน้าของนาง ชิงเหมยรู้สึกโล่งใจที่ได้ยินเช่นนั้น ทว่านางกลับปกปิดสีหน้าเอาไว้ได้อย่างมิดชิดจนเยว่อู๋ชางเองก็มิอาจมองเห็นความผิดปกติได้“ข้าว่า…ผู้ที่อยู่เบื้องหลังต้องเป็นขุนนางในเมืองถิงฮวาของเราเป็นแน่เจ้าค่ะ"ชิงเหมยกล่าวออกมาอย่างมั่นใจ แต่ทว่านางกลับไม่ยอมบอกความจริงเรื่องที่นางคอยขัดขวางการทำงานของพวกพ่อค้าทาสที่เข้ามาซื้อขายทาสลับๆ ในหมู่บ้านซานฉีและหมู่บ้านใกล้เคียง นางยังไม่พร้อมที่จะบอกความจริงนี้ให้เขารู้“เหตุใดเจ้าถึงได้ดูมั่นใจนักล่ะ”“ข้าเคยได้ยินพวกพ่อค
“ท่านยายเจ้าคะ หลานขอไปหลังร้านสักครู่นะเจ้าคะ” ชิงเหมยบอกท่านยายของนางที่กำลังพูดคุยกับลูกค้าตรงหน้า จนไม่ทันได้สังเกตว่าลูกค้าหนุ่มผู้นั้นแอบส่งสารลับให้แก่หลานสาว“อืม… ไปเถิดเหมยเอ๋อร์ เสร็จแล้วรีบกลับมาล่ะ”ซุนฉีบอกหลานสาวก่อนที่จะหันไปสนใจลูกค้าตรงหน้าต่อ ชิงเหมยได้โอกาสจึงรีบเดินไปหลังร้านแล้วแกะกระดาษที่ถูกพับมาจนเหลือแผ่นเล็ก นางคลี่ออกดูก็พบว่าเป็นลายมือของพี่ชาง นางจดจำลายมือของเขาได้ดี‘ชิงเอ๋อร์… พี่รอเจ้าอยู่ที่ลานกว้างหลังหมู่บ้านที่เราพบเจอกันคราแรก ได้โปรดออกมาพบพี่สักนิดเถิด… พี่ชางของเจ้า’ดวงหน้างามแดงระเรื่อทันทีที่อ่านเนื้อความในสารนี้จบ ไม่รู้ว่าหลายวันที่ผ่านมานี้เขาหายไปที่ใดมา นางรู้ว่าเขามีหน้าที่จะต้องทำ เพียงแค่นางไม่รู้ว่างานที่เขากำลังกระทำอยู่นั้นอันตรายหรือไม่เท่านั้นเอง ชิงเหมยคิดหาทางที่จะออกไปพบกับเยว่อู๋ชางโดยที่จำเป็นต้องโป้ปดท่านยายของนางอีกครา นั่งคิดแผนการเพียงกะพริบตาเดียวนางก็คิดได้“ท่านยายเจ้าคะ หลานขออนุญาตกลับเรือนก่อนนะเจ้าคะ รูัสึกว่าท้องไส้ยามนี้ไม่ค่อยจะดีเลย” ชิงเหมยเดินมากระซิบบอกท่านยายของนางที่กำลังขายขนมให้แก่ลูกค้า ที่ยามนี้บางต
การเข้าจับกุมกลุ่มพ่อค้าทาสของหน่วยมือปราบในครานี้ถือว่าล้มเหลว เพราะผู้ที่อยู่เบื้องหลังและพวกหัวหน้าสามารถหลบหนีไปได้ทั้งหมด พวกที่จับมาได้ก็เป็นเพียงแค่พวกที่รับจ้างขนสินค้าให้เท่านั้น แต่การเข้าจับกุมในครานี้ก็พอจะได้รู้เบาะแสว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังยามนี้เขาได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ขวา ซึ่งถูกลูกธนูของมือปราบหนุ่มเฉียดไปในระหว่างที่กำลังหลบหนี“แล้วเราจะเอาเช่นไรกับเรื่องนี้ดีขอรับ”“หน้าที่ต่อจากนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาลต้าถิงเสีย เพราะเรามิอาจเข้าไปก้าวก่ายได้”เยว่อู๋ชางกล่าวออกมาก่อนที่เขาจะขึ้นไปนั่งบนหลังม้า จิ้นซู่เองก็รีบไปขึ้นม้าของตนเช่นกัน เพราะดูเหมือนว่าคุณชายรองต้องการจะไปที่ใดสักที่“พวกเจ้าที่เหลือ…กลับไปพักผ่อนกันที่สำนักก่อนเถิด”“แล้วท่านหัวหน้าจะไปที่ใดหรือขอรับ” เสียงของลูกน้องเอ่ยถามขึ้น“ข้ามีเรื่องสงสัย จึงอยากจะไปเยือนหมู่บ้านซานฉีเสียหน่อย” เพราะเรื่องที่พวกหัวหน้ากลุ่มค้าทาสคุยกัน ทำให้เขานึกสงสัยในตัวของชิงเหมยขึ้นมา จึงอยากจะไปถามไถ่นางด้วยตนเอง“ขอรับ” ครั้นลูกน้องรับคำ หัวหน้ามือปราบหนุ่มก็ควบม้าออกจากหน้าศาลต้าตงไปทันทีลูกน้องที่เหลือมองตามอย่างรู้ใ