———ย้อนกลับไป ในเวลาเดียวกับที่กรพบกับมีอาเป็นครั้งแรกที่ชั้น 33 …
หลังจากเหตุการณ์ที่กลุ่มของรินและเสือเข้าปะทะกันด้วยวาจาอย่างรุนแรงที่หน้าค่ายพักผ่อนเมื่อหนึ่งสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมีสาเหตุมาจากที่ปาร์ตี้ของฮาวลี่ถูกวาร์ปเข้าไปในดันเจี้ยนอย่างกะทันหันนั่น
หลังจากที่ทุกคนรวมถึงกลุ่มของเสือและรินกลับเข้าไปในค่ายแล้ว ฮันซี่ก็ทำการประกาศเหตุฉุกเฉินให้ทหารทุกนายรวมถึงเหล่านักเรียนผู้กล้าทุกคนรีบกลับไปยังเมืองหลวงอย่างเร่งด่วน โดยอ้างว่าช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้เส้นทางกลับอาจมีพายุฝนฟ้าคะนองและลมกรรโชกพัดผ่านอย่างหนัก ซึ่งนั่นอาจทำให้เกิดความล่าช้าและอันตรายที่คาดไม่ถึงได้
ส่วนตัวฮันซี่นั้นไม่สามารถกลับไปพร้อมกันได้ โดยใช้ข้ออ้างอีกอย่างหนึ่งว่าตนเองและเหล่าทหารคนสนิทได้รับคำสั่งจากองค์ราชาให้ไปปฏิบัติภารกิจฉุกเฉิน จึงต้องรอคำสั่งต่อไปที่หมู่บ้านใกล้ๆนี่ ด้วยเหตุที่ว่าจึงร่วมเดินทางกลับกับทุกคนไม่ได้ แม้จะฟังดูเหมือนเป็นคำแก้ตัวน้ำขุ่นๆก็ตาม แต่นักเรียนผู้กล้าทุกคนก็เชื่อฟังเป็นอย่างดีและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดโดยไม่มีบิดพลิ้ว
แน่นอนว่าสาเหตุที่แท้จริงนั่นก็คือ การตามหาตัวกรซึ่งเป็นสมาชิกในปาร์ตี้ของฮาวลี่นั่นเอง และจากคำบอกเล่าของลินดา ฮันซี่จึงได้ทราบความจริงที่ฮาวลี่เสียชีวิตไปแล้วพร้อมๆกัน นั่นเลยทำให้ทั้งกองอัศวินตกใจกันยกใหญ่ที่ทหารชั้นหนึ่งเช่นเขาถูกการโจมตีครั้งเดียวจนตายไปทันทีแบบนั้น
แล้วซึ่งแรกที่ฮันซี่คิดนั่นก็คือ กรไม่มีทางรอดจากสถานการณ์ที่ว่าได้แน่นอน เพราะขนาดฮาวลี่ที่เป็นถึงแนวหน้าระดับสูงยังตายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว แล้วกรที่เป็นผู้กล้าที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มนักเรียนผู้กล้าด้วยกันมีหรือจะมีโอกาสรอดชีวิตได้ แต่ดูเหมือนลินดาจะแอบไปกระซิบกับฮันซี่ว่า กรนั้นสามารถเลี่ยงการโจมตีของมอนสเตอร์ทั้งหมดจนถึงตอนที่พวกเสือวาร์ปออกมาได้(แน่นอนว่ามีการปรุงแต่งนิดหน่อยเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ) นั่นเลยทำให้ฮันซี่มองเห็นโอกาสรอดของกรขึ้นมาบ้าง รวมถึงตัวเองที่มีตำแหน่งและศักดิ์ศรีเป็นถึงหัวหน้ากองอัศวิน จึงจะทำเป็นมองไม่เห็นโอกาสช่วยนั้นไม่ได้ ส่วนนึงก็ต้องการที่จะเก็บกู้ศพของพวกพ้องเช่นฮาวลี่ก็ด้วย
พอฮันซี่ประชุมกับอัศวินระดับสูงในกองของตัวเองจนได้ข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ทำการคัดเลือกอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดในกองเป็นจำนวน 19 คน(รวมตัวเองเป็น 20, คน 4 ปาร์ตี้)เพื่อไปสำรวจดันเจี้ยนที่ว่า เพราะจากคำบอกเล่าของลินดา ดันเจี้ยนที่ว่าไม่มีลักษณะที่ตรงกับดันเจี้ยนในบริเวณใกล้ๆนี้เลย แถมดันเจี้ยนใกล้ๆก็ยังมีระดับไม่สูงถึงขนาดที่จะจัดการฮาวลี่ได้ด้วย ที่ฮันซี่คิดออกก็มีเพียงดันเจี้ยนระดับ S ขึ้นไปเท่านั้น
แต่แน่นอนว่าข้อมูลแค่นั้นมันไม่เพียงพอต่อการออกค้นหาดันเจี้ยนดังกล่าว ฮันซี่กับกลุ่มของเขาจึงสั่งให้รองหัวหน้ากองรีบกลับไปที่เมืองหลวงที่มีข้อมูลครบครันกว่าให้เร็วที่สุดเพื่อตรวจสอบรายละเอียดของดันเจี้ยนที่ลินดาเล่ามาให้ตรงกันที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งวิธีดังกล่าวเป็นวิธีการที่รวดเร็วที่สุดแล้ว แม้จะวิธีที่รวดเร็วกว่าอย่างการใช้สัตว์ปีกส่งข่าวเช่นเหยี่ยวหรือการใช้『ศิลาเวทย์เคลื่อนย้าย』แต่หน้าเสียดายที่วิธีแรกนั้นทำไม่ได้เพราะฮันซี่ไม่ได้นำมันมาด้วย ส่วนวิธีที่สองก็โชคร้ายที่อัศวินในกองนั้นไม่มีใครซักคนที่มีใบอนุญาติ แน่นอนว่าอัศวินทุกคนรวมถึงฮันซี่เองก็ไม่มีศิลาในครอบครองเช่นกัน เพราะการทำใบอนุญาตและมีมันในครอบครองนั้นส่วนใหญ่จำต้องเป็นนักผจญภัยชื่อดังที่เดินทางข้ามทวีปบ่อยๆหรือพ่อค้ากระเป๋าเงินตุงเท่านั้นที่มีโอกาสได้ใช้ ทั้งเพราะราคาสูงและต้องมีเส้นสายภายในมากพอสมควรในการทำใบอนุญาต จึงน่าเสียดายที่ทำแบบที่ว่ามาไม่ได้
พอเป็นอย่างที่ว่า จึงไม่มีทางเลือกนอกจากเดินทางกลับตามปกติเท่านั้น ในขณะเดียวกับที่ตกลงปลงใจกับแผนดังกล่าวได้ กองอัศวินก็ทำการนำเหล่านักเรียนผู้กล้าทั้งหลายรวมถึงพวกของเสือและรินที่ยังสลบอยู่กลับเมืองหลวงไปพร้อมกัน แน่นอนว่าเรื่องที่กรหายตัวไป ฮันซี่ยังไม่ได้ป่าวประกาศให้รู้โดยทั่วกัน เพราะหากทำแบบนั้นไปก็มีแต่จะทำให้เกิดอาการตื่นตระหนกและเสียขวัญกำลังใจ ขั้นร้ายแรงสุดก็อาจจะถึงขั้นก่อจลาจลเลยก็เป็นได้ ฮันซี่จึงทำได้แค่ปิดข่าวการหายตัวไปของกรเพียงเท่านั้น และแน่นอนว่าได้ทำการสั่งและกำชับพวกเสือและรินก่อนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลังจากนั้นหนึ่งวัน ทันทีที่กลุ่มนักเรียนผู้กล้าเดินทางจนถึงเขตเมืองหลวงโดยสวัสดิภาพแล้ว เหยี่ยวที่ทำหน้าที่ส่งข้อมูลดันเจี้ยนที่ผ่านการคัดกรองมาแล้วจากทางเมืองหลวง ก็บินมาถึงหมู่บ้านที่พวกฮันซี่พักอยู่โดยใช้เวลาแค่ครึ่งวันเท่านั้น แต่พอเปิดอ่านรายละเอียดของดันเจี้ยนที่รองหัวหน้าส่งมาให้ กลุ่มของฮันซี่ก็ต้องตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่อยู่ตรงหน้าจนหัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มกันทุกคน นั่นเพราะข้อมูลที่ส่งมาก็คือ ข้อมูลที่บ่งบอกว่าดันเจี้ยนที่ปาร์ตี้ของฮาวลี่ถูกกับดักวาร์ปเข้ามาก็คือ 1 ใน『มหาดันเจี้ยนโบราณทั้ง 8』หรือก็คือ ดันเจี้ยนสูงสุดระดับ SSS ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากจุดที่ฮันซี่อยู่ถึง 250 กิโลเมตร
แล้วพอข้อมูลส่งมาถึง ทั้งกองอัศวินก็เริ่มการเดินทางไปยังดันเจี้ยนที่ว่าอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาเพียง 3 วันก็มาถึงเป็นที่เรียบร้อย หลังจากทำเรื่องขอใช้『ศิลาเวทย์เคลื่อนย้าย』เพื่อลงไปยังชั้นที่ 23 เนื่องด้วยเหตุฉุกเฉินพร้อมมอบตราทางการเพื่อยืนยันกับทางกิลด์นักผจญภัยในเมืองใกล้ๆเสร็จแล้ว กองอัศวินทั้ง 20 คนก็ทำการวาร์ปเข้าไปในชั้นดังกล่าวแล้วเริ่มการค้นหาตัวกรและศพของฮาวลี่ในทันที
.
.
〝หัวหน้ากองครับ! ทางแยกซ้ายข้างหน้า น่าจะเป็นตำแหน่งที่เรากำลังตามหาอยู่ครับ〞
〝ดีหล่ะ! ทุกคน... ตรึงระดับการเฝ้าระวังไว้เหมือนเดิม ห้ามประมาทเด็ดขาด!!!〞
〝〝〝〝〝〝 ครับหัวหน้ากอง!!!!! 〞〞〞〞〞〞
หลังจากที่ทั้งสามปาร์ตี้ลงมายังชั้นที่ 23 และทำการค้นหาก็ผ่านไปได้เพียง 30 นาทีเท่านั้น เห็นได้ชัดเลยว่ากองอัศวินของราชอาณาจักรเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ไม่ใช่ชื่อที่เอาไว้โอ้อวดแต่อย่างใด(ถึงจะใช้ถึง 4 ปาร์ตี้ในการบุกตะลุยก็ตาม) แล้วพอทำการเคลียร์มอนสเตอร์รอบๆได้หมดแล้ว ทหารนายนึงก็พบกับทางแยกที่คาดว่าจะเป็นแหล่งเดียวจากคำบอกเล่าของลินดาเข้า ฮันซี่ที่สังเกตเห็นเช่นนั้นก็สั่งทหารทุกคนให้เฝ้าระวังมอนสเตอร์ ก่อนที่จะนำปาร์ตี้ของตัวเองเดินนำเข้าไปทางแยกนั่นอย่างระมัดระวัง แล้วก็ต้องพบเข้ากับภาพที่เป็นสาเหตุการค้นหาในครั้งนี้ในที่สุด
〝นั่นมัน... คุณฮาวลี่... สินะครับ?〞
〝อืม... เป็นหมอนั่นไม่ผิดแน่〞
หลังจากที่เดินตรงเข้ามาในทางแยกราวๆ 10 เมตร ฮันซี่ก็พบเข้ากับร่างของสหายของตนที่อยู่ในสภาพน่าอนาถ เพราะลำตัวท่อนบนและล่างขาดออกจากกันจนลำไส้ไหลออกมาดูน่าสะอิดสะเอียน แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ทั้งคู่ก็ยังคงพูดคุยด้วยเสียงเรียบๆอยู่เช่นเคย ฮันซี่ที่เห็นร่างของฮาวลี่แล้วก็หลับตาลงเบาๆราวกับจะแผ่เมตตาให้เขาไปสู่สุขคติ ก่อนที่จะออกคำสั่งต่อไป
〝เข้าไปลึกกว่านี้อีกหน่อย! ตามหาผู้กล้าอุษณกรให้เจอ... ต่อให้มีร่องรอยเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ให้รีบมาแจ้งข้าทันที!!!! 〞
〝〝〝〝〝〝 ครับ!!!!! 〞〞〞〞〞〞
ทันทีที่ฮันซี่สั่งออกไปแบบนั้น ทหารทุกคนที่ตอบกลับอย่างแข็งขันแล้วก็พุ่งตัวเข้าไปในทางแยกนั่น และแยกย้ายกันสำรวจตั้งแต่ปากทางแยกไปจนถึงจุดที่เคยมีวงเวทย์จาก『จุดหนี』อยู่เลยทีเดียว ฮันซี่เองก็สำรวจศพของฮาวลี่อยู่เช่นกัน นั่นจึงทำให้เขาพบเข้ากับร่องรอยสำคัญของกรเข้า
〝แขน... งั้นเหรอ? ฮาวลี่ก็มีแขนครบทั้งสองข้าง.... งั้นหรือว่านี่จะเป็นแขนของเด็กคนนั้น!? 〞
แน่นอนว่านั่นคือ แขนของกรที่ถูกมอนสเตอร์ตัดจนขาดสะบั้นไปก่อนที่จะจุติครั้งแรก แต่เพราะยังไม่ได้สังเกตุและตรวจสอบอย่างละเอียด เลยทำให้เขายังไม่เห็นสัญลักษณ์ที่กรทำไว้ ถึงนั่นจะเป็นข้อความที่กรต้องการส่งไปถึงพวกรินที่รออยู่ในเมืองหลวงเพียงพวกเดียวก็ตามที
〝หัวหน้ากอง! ลึกเข้าไปข้างใน... นอกจากร่องรอยการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4-5 วันที่แล้ว ก็ไม่พบร่องรอยของใครเลยครับ〞
〝แล้วเจอไอเทมหรือชิ้นส่วนชุดเกราะ... ชิ้นส่วนของผู้กล้าอุษณกรบ้างรึเปล่า?〞
〝มะ ไม่พบอะไรเลยครับผม!!!〞
〝…..งั้นเหรอ〞
พอฮันซี่เห็นแบบนั้นเข้า ก็ไม่พ้นที่จะคิดว่ากรตายไปแล้วและชั้นส่วนถูกแยกจากกันและกระจัดกระจายไปทั่ว จึงได้ถามออกไปแบบนั้นอย่างเยือกเย็น นายทหารที่ตอบกลับดูท่าจะยังไม่ชินกับเรื่องแบบนี้จึงตอบกลับไปอย่างหวั่นๆ แล้วจากนั้นทหารคนสนิทอีกคนของฮันซี่ก็เดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วก็เริ่มการสันนิษฐานกันสองคนกับฮันซี่
〝เหลือแค่แขนงั้นเหรอครับ?〞
〝ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น... คิดว่าไงบ้าง?〞
〝จากประสบการณ์แล้ว... คิดว่าโอกาสรอดแทบไม่มีเลยครับ... นอกเสียจาก...〞
〝นอกเสียจาก?〞
〝ที่โลกเดิมของเด็กคนนั้น... ถ้าเกิดเป็นคนละโลกกับที่พวกเราได้อัญเชิญมาเมื่อ 2 ปีก่อน... ก็มีความเป็นไปได้ที่เด็กคนนี้จะถูกฝึกมาแบบทหารในโลกที่แตกต่างกับครั้งก่อน โอกาสที่จะเอาตัวรอดได้ก็คง...... คงไม่ใช่แบบนั้นสินะครับ〞
〝ข้าคิดว่าคงไม่ใช่แบบนั้นหรอก... วิถีชีวิตของผู้กล้าทุกคนแทบไม่มีอะไรแตกต่างจากพวกที่อัญเชิญมาครั้งก่อนเลย แล้วหากเด็กคนนี้เป็นแบบที่ว่าจริง ตอนฝึกก็คงแสดงอะไรให้เห็นบ้างสิ... ถึงที่ข้าดูเขาตอนฝึก จะรู้ว่าเขายังไม่ได้เอาจริง แถมยังแตกต่างจากผู้กล้าคนอื่นๆ...〞
〝แน่อยู่แล้วนี่ครับ.... ก็สเตตัสของเขาน้อยที่สุดในหมู่ผู้กล้าเลยนี่ครับ?〞
〝ข้าไม่ได้หมายความแบบนั้น.... ที่ข้าหมายถึงก็คือ... ความสามารถดั้งเดิมจากโลกก่อนของเขาต่างหาก... แถมเรื่องที่เด็กคนนี้สามารถประลองกับผู้กล้าคนอื่นได้ทั้งที่ไม่มีฉายาและสกิลดีๆเลยได้อย่างสูสีก็ด้วย... ถึงการเคลื่อนไหวจะดูทื่อๆ แต่ก็ตามการเคลื่อนไหวของทุกคนได้ทัน ไม่สิ อาจเร็วกว่าด้วยซ้ำ... ข้าคิดว่าเรื่องทั้งหมดคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ 〞
ต่อหน้าคำสันนิษฐานของฮันซี่ ทหารคนสนิทก็ทำได้แค่อึ้งกิมกี่และคิดตามอย่างจริงจังเท่านั้น จากเรื่องนี้ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าฮันซี่ไม่ได้ปล่อยปละละเลยกรไปเสียทีเดียว ทั้งยังสังเกตกรได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกต่างหาก
〝หรือท่านจะบอกว่า... เขายังมีชีวิตอยู่งั้นเหรอครับ?〞
〝ไม่หรอก... ถึงข้าจะพูดแบบนั้นไปก็จริง แต่ก็เหมือนเจ้า... ข้าไม่คิดว่าคนที่เคยมีชีวิตอยู่ในโลกที่สงบสุขมาก่อน จะสามารถเอาชีวิตรอดในโลกอันแสนโหดร้ายนี้ได้หรอก..... อย่างน้อยมันก็ควรเป็นแบบนั้นหล่ะนะ.....〞
〝.....ท่านหัวหน้ากอง?〞
แล้วฮันซี่ก็ทำหน้าเศร้าๆในขณะที่พูดแบบนั้นไปด้วย พลางแหงนมองผนังดันเจี้ยนไปพร้อมกันราวกับกำลังนึกถึงเรื่องเศร้าในอดีตอยู่ยังไงอย่างงั้นเลย นั่นทำให้นายทหารที่คุยอยู่ข้างๆเป็นห่วงจนต้องเรียกสติเขากลับมาเลยทีเดียว
〝โทษที ข้าเผลอนึกถึงเรื่องแย่ๆเข้าซะได้!〞
〝......งั้นจะเอายังไงต่อดีครับ... จะลงไปชั้นที่ลึกกว่านี้ไหมครับ?〞
แล้วพอทหารคนสนิทถามกลับมาอีกราวกลับจะช่วยกลบเกลื่อนเรื่องที่ฮันซี่ทำหน้าเศร้าๆออกมา ฮันซี่ก็ยกมือขวาขึ้นมาจับคางเพื่อครุ่นคึดถึงการสำรวจอย่างจริงจังอีกครั้ง
〝แม้ความเป็นไปได้ที่เด็กคนนี้จะยังมีชีวิตอยู่จะไม่หายไปทั้งหมดก็จริง... แต่ข้าว่าเราคงไม่สามารถตามลงไปชั้นลึกกว่านี้ได้ เพราะถึงการตามหาคนที่มีโอกาสรอดชีวิตจะสำคัญก็จริง แต่ข้าคงเอาชีวิตของทหาร 19 คนในกองมาเสี่ยงกับคนๆเดียวไม่ได้ กลับกัน ถ้าจะหา... ข้าว่าเราลองหาขึ้นไปจนถึงชั้นหนึ่งจะดีกว่า〞
〝งี้เองสินะครับ... เพราะหากเขายังมีชีวิตอยู่ ก็น่าจะหาทางขึ้นไปยังโลกภายนอกด้วยตัวเอง แล้วก็อาจจะพบร่องรอยระหว่างทางด้วย!〞
〝ก็ตามนั้นแหล่ะ.... ถ้างั้นก็———〞
แล้วพอคิดถึงความเสี่ยงและส่วนได้ส่วนเสียต่างๆนานา คำตอบก็ออกมาเป็นแบบนี้ ดูเหมือนจากประสบการณ์ที่เขาผ่านมา จึงสามารถชั่งน้ำหนักชีวิตและตัดสินใจในสิ่งที่ควรทำได้อย่างเหมาะสม แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ว่าทางไหนเป็นสิ่งที่ถูกต้องและควรทำที่สุด ทางที่ฮันซี่เห็นแก่พวกพ้องที่ยังมีชีวิตอยู่มากกว่าเด็กที่อยู่ในสถานะหายสาบสูญแถมโอกาสรอดยังน้อยสุดๆคงเป็นทางที่ดีที่สุดที่เขาคิดได้แล้ว แม้นั่นจะทำให้เขารู้สึกผิดมากก็ตาม แต่นั่นก็สื่อให้เห็นการเตรียมใจของเขาได้เป็นอย่างดี พอคิดว่าตัวเองจะแบกรับบาปเหล่านั้นไว้เองแล้ว ก็ทำการสั่งให้ลูกน้องทั้งหมดหยุดการค้นหา พอทำการเก็บกู้ศพของฮันซี่ รวมถึงแขนของกรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดก็ทำการสำรวจจากชั้นที่ 23 นี้ทีละชั้นไปจนถึงชั้นที่ 1 ที่อยู่บนสุดโดยใช้เวลาทั้งหมดร่วม 1 สัปดาห์เลยทีเดียว และแน่นอนว่ากองอัศวินของฮันซี่ไม่พบหลักฐานหรือร่องรอยใดๆของกรเพิ่มอีกเลยซักอย่างเดียว เพราะทางที่เขาทำการสำรวจมันเป็นทิศตรงข้ามกับที่กรลงไปเลยนั่นเอง นั่นเลยทำให้พวกฮันซี่จำต้องตีความไปว่า〝กรได้ตายไปแล้วแน่นอน〞อย่างเลี่ยงไม่ได้....
❖❖❖❖❖
——— หลังจากนั้น 3 วัน ทางด้านของพวกริน เป็นเวลาเดียวกับที่กรและมีอาเข้าปะทะกับบอสมังกรห้าหัวของชั้นที่ 50…
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!————————
ณ บริเวณหน้าประตูของวังหลวง ซึ่งเป็นที่พำนักขององค์ราชาแห่งอาณาจักรอาลัน รวมถึงเป็นที่พักของเหล่านักเรียนผู้กล้า ได้มีเสียงฝีเท้าของคนๆหนึ่งกำลังเดินวนไปวนมาที่บริเวณนั้นด้วยเสียงก้าวเดินที่ไม่สม่ำเสมอ รวมถึงบรรยากาศที่แผ่ออกมาจากตัวเขาเองก็แสดงให้เห็นถึงความทุกข์ใจ หากมองจากมุมมองของบุคคลที่สาม ก็จะเห็นได้เลยว่าเขาคนนี้กระวนกระวายขนาดไหน
〝โชต ผมว่าเลิกเดินไปเดินมาแบบนั้นจะดีกว่านะ〞
〝ฮึ่ย! ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้ล่ะก็ มีหวังกังวลจนเป็นบ้ากันพอดี!〞
〝ทุกคนก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกันหมดนั่นแหล่ะ!〞
คนที่เดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายนี้ก็คือ โชต หนึ่งในเพื่อนสนิทของกรนั่นเอง ผมยาวสีเหลืองทองอร่าม จัดทรงคล้ายดาราเกาหลี หน้าตาดูดีมีระดับ แถมด้วยใบหน้าเคร่งขรึมในตอนที่กังวลก็ยิ่งเสริมมาดคุณชายเข้าไปอีก เพียงแต่บรรยากาศที่เขาแผ่ออกมามันไม่ทำให้รู้สึกดีเลยซักนิด นั่นเลยทำให้ ชาญ ที่เป็นหนุ่มแว่นเพื่อนสนิทของกรอีกคน ซึ่งตอนนี้กำลังยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่ใกล้ๆกัน บอกแบบนั้นออกไป เพราะมันทำให้คนงานหรือทหารที่ผ่านเข้าออกรู้สึกกลัวและกังวลไปหมดแล้ว แต่ถึงชาญจะเป็นคนพูดแบบนั้นออกไปเอง แต่ตัวเขาเองก็ยังตบปลายเท้าของตัวเองไปที่พื้นจนถี่ยิบขณะเดียวกับเตือนโชต แสดงให้เห็นว่าเขาเองก็กังวลใจไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลย
〝นี่ชาญ... กรคง.... ไม่เป็นอะไรหรอกใช่ไหม?〞
〝.....อลิซ?〞
และข้างๆชาญที่ยืนกอดอกอยู่ก็คือ อลิซ สาวน้อยผิวขาวผมสีบลอนด์ทองเข้มหน้าตาสละสลวย แต่น้ำเสียงและบรรยากาศกาศนั้นค่อนข้างหดหู่จนมองไม่เห็นความงดงามราวกับดอกกุหลาบแรกแย้มนั่นเลย
แล้วตอนนี้อลิซเองก็อยู่ในอารมณ์กังวลแบบสุดๆไม่ต่างจากทั้งสองคน เพียงแต่เธอดูเหนื่อยอ่อนกว่ากันมาก เห็นได้จากที่เธอคนนี้เอาแต่นั่งกอดเข่าเอาหลังพิงกำแพงแล้วก็ก้มหน้าของตัวเองซุกลงไปจนมองไม่เห็นหน้ามาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ทั้งยังตอบกลับชาญด้วยเสียงที่สั่นเครือราวกับจะร้องไห้… ไม่สิ… เธอคงกำลังร้องไห้อยู่อย่างแน่นอน เพียงแต่เพราะก้มหน้าอยู่เลยทำให้ไม่มีใครเห็นน้ำตานั่นเท่านั้นเอง
〝ไม่เป็นไรหรอกน่า กรซะอย่าง! หมอนั่นต้องหาทางทำอะไรซักอย่างได้แน่นอน! 〞
〝ฉันหน่ะ… เชื่อใจกรอยู่แล้ว… กรไม่เคยผิดสัญญา ฉันรู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร… 〞
〝อลิซ…. 〞
〝ถึงแบบนั้น… ก็ผ่านมาตั้งสองสัปดาห์แล้ว แต่ก็ยัง… ฮึก! ถึงฉันจะเชื่อใจ… แต่แบบนี้มัน… เกินไปแล้ว…〞
〝…….. 〞
〝ตาบ้านั่น… ถ้ากลับมาเมื่อไหร่… จะอัด… ให้น็อคเลย… 〞
แล้วอย่างเคย อลิซพูดประโยคคล้ายๆแบบนี้ออกมาตลอดตั้งแต่กรหายตัวไป ทั้งยังสะอึกสะอื้นเป็นพักๆ ด้วยอีกต่างหาก แต่เพราะไม่อยากให้ทุกคนกังวลมากเกินไป เลยอดกลั้นเป็นพักๆจนดูน่าสงสารไม่น้อย ทั้งที่เวลาปกติจะทำตัวขี้เล่น แต่เวลาแบบนี้กลับคิดถึงความรู้สึกของคนอื่น ก็เป็นที่แน่ชัดพอสมควรว่าแท้จริงแล้ว บุคลิกของอลิซนั้นค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่พอสมควร
ส่วนรินที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันนั้น ถูกทุกคนบังคับให้นอนพักอยู่ที่เตียงในห้องพยาบาล นั่นเพราะหลังจากที่รู้ว่ากรหายตัวไปจนถึงกับเกิดอาการช็อคและสลบไปในครั้งก่อน เธอได้หลับไปนานเกือบ 3 วันเลยทีเดียว แถมจากการวินิจฉัยของหมอหลวง เลยทำให้ทราบว่ารินที่สลบไปนานนั่น เป็นเพราะได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจที่รุนแรงมากเกินไป จนอาจส่งผลถึงบุคลิกและสภาพจิตใจเบื้องลึกเลยทีเดียว นั่นเลยทำให้ทุกคนเป็นห่วงกันมากจนถึงกับให้เธอเอาแต่นอนพักอยู่บนเตียงลูกเดียว
แล้วพอทุกคนกลับมาจากการนั่งเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูเช่นที่ว่ามาในทุกๆวัน สิ่งแรกที่ได้ยินก็คือ 〝กรยังไม่กลับมา〞ทุกครั้ง แต่เพราะได้ทุกคนช่วยเกลี่ยกล่อมและอยู่เป็นเพื่อนตลอด รินเลยไม่ได้มีอาการช็อคขึ้นมาอีก หมอหลวงก็บอกว่าอาการเธอเสถียรดีแล้ว แต่ก็ต้องให้นอนพักไปอีกพอสมควร เธอจึงได้แต่นอนอยู่เงียบๆบนเตียงของหน่วยพยาบาลมาตลอดจนถึงตอนนี้
.
.
กร… นี่นาย… ไปอยู่ที่ไหนกันแน่!
พวกคุณฮันซี่ที่ออกไปตามหาเองก็ใช้เวลานานเกินไปแล้ว… คงไม่ใช่ว่ากร…
มะ ไม่หรอก… กรต้องยังไม่ตาย!
ไม่ได้มีแค่อลิซหรอกที่เชื่อแบบนั้น ทั้งผมและชาญ… รินเองก็ด้วย
แต่นี่มันก็นานมากเกินไปแล้ว… ต่อให้คิดว่าที่นานขนาดนี้เป็นเพราะต้องสำรวจอย่างละเอียดก็เถอะ…
แต่แบบนั้นก็หมายความเป็นนัยๆ ว่าหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอซักทีไม่ใช่รึไงกัน————
คลึ๊กๆๆๆๆ!!!
〝〝〝 !!!!!!! 〞〞〞
และในขณะที่เพื่อนของกรทุกคนกำลังคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆราวกับจะให้ความหวังกับตัวเองอยู่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของเกวียนและม้ากว่าสิบตัว กำลังเคลื่อนที่มาทางพวกตน นั่นเลยทำให้พวกชาญหันเหความสนใจไปทางนั้นทุกคน
แล้วพอมองไปยังต้นเสียงที่ว่าก็พบเข้ากับฮันซี่ที่นำหน้าขบวนอยู่ พอเห็นแบบนั้นเข้าพวกชาญทุกคนก็ออกวิ่งไปทางขบวนนั้นอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนคนรอบข้างที่สวนทางไปมาเลยซักนิด จนมาถึงจุดที่ฮันซี่อยู่ในที่สุด
〝พวกเธอ!?〞
〝แฮ่ก! คะ… คุณฮันซี่… แฮ่ก! พวกผมเป็น… เพื่อนของอุษณกร… แฮ่ก! เองครับ〞
〝!!!!!〞
แล้วพอทุกคนวิ่งมาถึงฮันซี่ที่กำลังนั่งอยู่บนหลังม้าแล้ว คนที่พูดตัดเข้าประเด็นสำคัญก่อนใครก็คือชาญที่กำลังหอบอยู่ทั้งที่พูดแบบนั้น รวมถึงทุกคนที่วิ่งมาด้วยกันอย่างเร่งรีบก็กำลังหอบอยู่เช่นเดียวกัน
ฮันซี่ที่ได้ยินคำถามแบบนั้นอย่างกะทันหันก็ถึงกับร่างกระตุกไปเล็กน้อย แถมยังกำเชือกที่ใช้คุมม้าในมือไว้แน่นเสียยิ่งกว่าเดิมอีกต่างหาก นั่นเพราะตอนนี้เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นกับกรยังไงนั่นเอง
〝คะ… คุณฮันซี่คะ… แฮ่ก! ทำไม… ถึงไม่เห็นกรในขบวนเลยหล่ะ!〞
〝มะ… หมอนั่นอยู่ในเกวียนใช่รึเปล่าครับ…….. พูดอะไรหน่อยสิครับคุณฮันซี่!!!〞
〝…….. 〞
แล้วคนที่ถามออกมาต่อจากชาญก็คืออลิซและโชต ที่พอวิ่งมาถึงก็รีบสังเกตขบวนทั้งหมดในทันที แต่ก็ไม่เห็นตัวของกรเลยซักนิด นั่นเลยทำให้ทั้งคู่ถามออกมาแบบนั้นด้วยความกังวลแบบสุดๆ
ส่วนคุณฮันซี่ที่นั่งอยู่บนม้าเมื่อครู่ พอได้ยินแบบนั้นก็กระโดลงจากอานม้าอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนท่าทีเป็นเยือกเย็นต่อหน้าทั้งสามคนอีกครั้ง จากนั้นก็หันหน้าไปหาทหารคนสนิทนายหนึ่ง แล้วพยักหน้าให้ครั้งหนึ่งพลางพูดเบาๆว่า〝ไปเอานั่นมาที 〞 เขาก็รับคำสั่งและวิ่งไปที่เกวียนเพื่อหยิบของสิ่งหนึ่งมาให้ในทันที
หลังจากนั้น นายทหารคนเมื่อครู่ก็วิ่งจากเกวียนมาทางพวกชาญอย่างรวดเร็วและยื่นของสิ่งหนึ่งที่มีรูปร่างคลายทรงกระบอกยาว ถูกพันไว้ด้วยผ้าคลุมสีน้ำตาลอีกทีหนึ่งให้แก่ฮันซี่ แล้วพอพวกชาญเห็นของนั่นเข้า แม้จะยังไม่ได้เปิดดู แต่ก็รู้สึกได้เลยว่าความหวังเพียงหนึ่งเดียวของพวกตนกำลังจะดับมอดลงเมื่อเปิดมันออก
〝ขอโทษด้วย… นี่อาจจะโหดร้ายเกินไปสำหรับเด็กๆอย่างพวกเธอ… แต่ไม่มีวิธีพิสูจน์อย่างอื่นอีกแล้วนอกจากการสังเกตุลักษณะจำเพาะจากคนรู้จัก…….〞
〝คะ…. คุณฮันซี่คะ… มะ หมายความว่ายังไง?… ขอโทษทำไม? หนูงงไปหมดแล้ว…. 〞
〝……ข้าต้องขอโทษด้วยจริงๆ แต่ก็ต้องถามให้แน่ใจ……〞
ฮันซี่เริ่มพูดสิ่งที่ต้องการจะสื่ออย่างรวดเร็วและเยือกเย็น โดยทำใจยักษ์และไม่สนใจท่าทางของพวกชาญไปขณะนึง เพราะคิดว่ายืดเยื้อไปก็เสียเวลาเปล่าและพูดต่อไปทั้งอย่างงั้นเลย จากนั้นก็ยื่นของที่ว่าไปอยู่ข้างหน้าของอลิซที่อยู่ตรงกลางของกลุ่ม จนอลิซที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งตกตะลึงจนช็อคเลยทีเดียว
〝นี่หน่ะใช่….. เพื่อนของพวกเจ้ารึเปล่า?〞
〝〝〝 !!!!!!! 〞〞〞
แล้วคำพูดที่ทุกคนไม่อยากได้ยินที่สุดก็หลุดออกมาจากปากของฮันซี่จนได้ นั่นเลยทำให้พวกชาญทุกคนเบิกตาออกจนกว้างและยืนแน่นิ่งไปเลย แต่ฮันซี่ก็กัดฟันอย่างทรมาน และทำเป็นไม่สนใจอีกเช่นเคย ในขณะเดียวกันก็ยื่นมันเข้าไปใกล้อลิซที่ตกใจจนแทบจะล้มทั้งยืนยิ่งกว่าเดิมเพื่อให้เธอรับมันไว้
อลิซที่เห็นแบบนั้นก็รับมันเอาไว้และเปิดมันออกอย่างกล้าๆกลัวๆอย่างช้าๆ ชาญและโชตเองก็มองมันอยู่ข้างๆด้วยเช่นกัน แล้วพอปลดผ้าที่พันอยู่ออกไปเรื่อยๆจนเริ่มสัมผัสได้ถึงความแข็งแบบแปลกๆของวัตถุนั่นเข้า อลิซจึงเปิดมันออกจนถึงชั้นในสุดอย่างรวดเร็ว
แล้วสิ่งแรกที่เธอเห็นหลังจากที่พบเข้ากับวัตถุนั่นก็คือ นิ้วมือของใครบางคนนั่นเอง พอถึงตอนนั้นอลิซก็เข้าใจได้ทุกอย่างในทันที แล้วอลิซที่ยืนอยู่ได้ทั้งที่ขาสั่นระริกไปทั่ว ก็ล้มลงกับพื้นไปทั้งแบบนั้น จนเข่ากระแทกพื้นอย่างแรงจนเลือดออก แล้วก็เบิกตาค้างอยู่อย่างงั้นเลยทีเดียว
〝อึก! นี่มันบ้า… ชัดๆ〞
〝โกหกใช่ไหม…. เนี่ย〞
และแม้ปฏิกิริยาของโชตและชาญจะน้อยกว่าของอลิซ แต่ทั้งคู่ก็ต้องใจกันแบบสุดทั้งที่ยืนอยู่เช่นเดียวกัน จนถึงกับพูดออกมาด้วยเสียงที่สั่นเครือนั่นแหล่ะ
แล้วจากนั้น อลิซที่ยังคงมีความหวังและเชื่อใจกรจนถึงท้ายที่สุดก็ปลดผ้าคลุมออกจากแขนนั้นจนหมดและสังเกตแขนของกรไปทั่วเพื่อหวังว่าจะเป็นการเข้าใจผิด แต่พอสังเกตไปเรื่อยๆก็มีแต่จะยืนยันว่านี่คือแขนของกรมากขึ้นเท่านั้น ทั้งตำแหน่งของไฝ ขนาดและลักษณะของนิ้วที่เธอจำได้เป็นอย่างดี รอยแผลเป็นทุกๆที่ที่เธอจำได้ ทั้งหมดตรงกับแขนของกรในความทรงจำของอลิซทั้งสิ้น
〝……….〞
〝ไม่จริงน่า…..〞
〝กร…. โกหกใช่ไหม ฮึก! กร… กร…〞
แล้วโชตก็ล้มลงก้นจ้ำเบ้ากับพื้นและนั่งชันเข่าไปอีกคน ส่วนชาญก็ก้มหน้าลงจนแทบจะมองพื้นแต่ไม่ได้พูดอะไรราวกับจะไม่อยากให้ใครเห็นว่าร้องไห้ยังไงอย่างงั้น ส่วนอลิซก็นั่งพับเพียบแล้วนำแขนของกรมากอดในอ้อมอกของตัวเองอย่างแรงโดยไม่มีทีท่ารังเกียจเลยซักนิดเดียวพลางรำพึงแบบนั้นในลำคอด้วยความอาวรณ์ไปพร้อมกัน
〝ใช่จริงๆ…. ไม่ผิดแน่นะ?〞
แล้วท่ามกลางบรรยากาศอันเศร้าโศก ฮันซี่กลับถามย้ำออกมาอีกครั้งอย่างเลือดเย็นด้วยเสียงเรียบๆ แต่ทุกคนก็ไม่ได้เดือดดาลขึ้นมาอีกครั้งแต่อย่างใด กลับกันเลยทำให้ทุกคนเศร้ายิ่งกว่าเดิม แต่คนที่ตอบกลับเขากลับเป็นอลิซที่เศร้าใจที่สุดเสียอย่างงั้น
〝ฮึก! ก็ใช่หน่ะสิ!!! 【ใครจะไปลืม… ฮึก! มือของผู้ชายที่ตัวเองเคยกุมกันเล่า!】〞
〝อลิซ?〞
อลิซตอบกลับฮันซี่ไปด้วยน้ำเสียงเชิงตะคอกอยู่ในลำคอแต่แน่นอนว่าฮันซี่ไม่ได้ใส่ใจ แต่โชตที่นั่งชันเข่าพลางน้ำตาซึมแต่ก็อดกลั้นไว้ไม่ให้ไหลอยู่ใกล้ๆ ก็ได้ยินคำพูดเบาๆราวกับกระซิบอยู่ข้างหูนั่นแต่ไม่เข้าใจความหมายจึงสงสัยออกมาเล็กน้อย แต่เพราะความเศร้ามันพอกพูนอยู่ในใจมากกว่าจึงไม่ได้เก็บไปคิดมากนัก
แตกต่างจากชาญที่ได้ยินคำพูดเบาๆนั้นของอลิซเข้า น้ำตาของเขาก็ไหลรินออกมาทั้งสองข้างทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่ในทันที ฮันซี่ที่ยืนมองสภาพนั้นของนักเรียนตัวเองเข้าก็รู้สึกสลดใจเช่นเดียวกัน แต่เขาก็ทำไม่ได้แม้แต่จะปลอบใจทุกคน ฮันซี่จึงทำได้แค่ยืนมองดูสภาพของนักเรียนตัวเองไปแบบนั้น
〝ฮืออออออ!!!!!!!!!〞
แล้วอลิซก็ร้องไห้โฮออกมาชุดใหญ่ทั้งที่นั่งกอดแขนของกรอยู่ โชตและชาญที่อยู่ใกล้ๆก็เข้าไปกอดอลิซกลม เพื่อปลอบโยนเธอและตัวเองไปพร้อมกันโดยมีแขนของกรเป็นศูนย์กลาง กว่า 5 นาที จนทำให้ชาวบ้านและผู้คนที่เดินอยู่รอบๆรู้สึกสลดใจไปตามๆกันเลยทีเดียว
.
.
และเพราะเวลาผ่านไปนานถึงขนาดนั้น เลยทำให้ชาญที่เริ่มกลับมาเป็นปกติก่อนคนอื่นสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่อลิซข้ามไปเพราะสนแค่การพิสูจน์แขนของกรเท่านั้นในที่สุด!
〝นี่มัน!〞
สะ… สัญลักษณ์นี้มัน!!!!!!!
ไอ้นี่มันอย่าบอกนะว่า!!! …….
ไม่สิ… นี่มันเข้าใจได้ง่ายๆเลย!
สัญลักษณ์นี้ถูกเขียนขึ้นอย่างประณีต… ถ้าไม่มีเวลาคงเขียนให้สมมาตรทั้งสองด้านแบบนี้ไม่ได้หรอก
แล้วความหมายของสัญลักษณ์ก็อีก!!!
ไอ้นี่มัน…. หรือว่าจะเป็น…
.
.
.
.
〝หึ! ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆๆๆ!!!!〞
〝ชะ… ชาญ!?〞
〝ชาญ〞
แล้วพอชาญที่เห็นสัญลักษณ์ที่กรทำไว้ก็เข้าใจความหมายของมันได้ในทันที นั่นเลยทำให้ชาญยิ้มออกมาอย่างยิ้มแย้มเสียจนกว้าง แล้วหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความดีใจอย่างที่สุด เพียงแต่สำหรับทั้งสองคนที่ยังไม่เข้าใจ เลยทำให้คิดว่าชาญคงเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ พอชาญมองเห็นเป็นแบบนั้น จึงเช็ดน้ำตาของตัวเองออกอย่างรวดเร็ว แล้วโบกมือบอกกับทั้งสองคนว่าไม่เป็นไรพลางบอกเบาๆว่า〝ผมยังปกติดี〞ก่อนที่จะกระแอมออกมาเบาๆครั้งนึง และดันแว่นตาขึ้น จนอยู่ในมาดเงียบครึมและเยือกเย็นขึ้นมาราวกับเป็นคนละคนกับที่ร้องไห้ออกมาเมื่อกี้
เข้าใจแล้ว!!! เข้าใจแล้วหล่ะกร!!!
ไอ้บ้าเอ้ย! แสบนักนะที่ทำให้ผมกับทุกคนเป็นห่วง นายนี่มันบ้าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย!!!
เข้าใจเจตนาของนายซักที! นายนี่มันจะบ้าไปถึงไหน!
ทำไมถึงได้เลือกทางอันตรายแบบนั้น ถ้ากลับมาผมจะถามและอัดนายแรงๆซัก ผั๊ว! แน่นอน!!!
ถึงจะไม่รู้ว่านายต้องการทำอะไร แต่ไว้ใจผมได้เลย!!!
เจ้าบ้าพวกนี้หน่ะ! ผมจะดูแลจนกว่านายจะกลับมาเอง!!!!
〝กรหน่ะ… ยังไม่ตายหล่ะ!〞
ชาญพูดแบบนั้นพลางใช้นิ้วชี้ไปยังสัญลักษณ์ที่กรทำไว้ที่แขนตัวเองทั้งที่ยิ้มและฉีกฟันออกเสียกว้างโดยไม่อายใครทั้งสิ้นเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ เลยไม่พ้นที่จะทำให้โชตและอลิซตกตะลึงจนเบิกตาโพลง พริบตานั้นทั้งคู่ก็มีสีหน้าดีอย่างเห็นได้ชัดทั้งที่ยังไม่เข้าใจทั้งหมดด้วยซ้ำ นั่นเพราะความสิ้นหวังอันแสนมืดมิดและลึกสุดหยั่งถึงเมื่อครู่ ถูกเปลี่ยนให้เป็นความหวังอันแสนเจิดจ้าในชั่วพริบตาที่เข้าใจในความหมายของสัญลักษณ์นั่น และนั่นเลยทำให้เพื่อนสนิทของกรทุกคนรู้ได้ในที่สุดว่าตัวเขายังคงมีชีวิตอยู่นั่นเอง…
❖❖❖❖❖
ภายในห้องโถงที่น่าจะมืดมิดเพราะอยู่ใต้ดินที่ลึกกว่า 5 กิโลเมตร แต่ก็ยังสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่รอบตัวได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้เป็นเพราะโดยรอบห้องโถงที่ว่ามีคบเพลิงขนาดใหญ่ส่องแสงสว่างไปทั่วทั้งบริเวณ ซึ่งจะเห็นได้ว่าบริเวณนี้มีลักษณะเป็นลานประลองที่ทำจากหินอ่อนเป็นลานวงกลมตรงกลาง แล้วบริเวณรอบๆยังมีบริเวณที่นั่งคนดูเป็นขั้นบันไดคล้ายกับอัฒจันทร์สูงมากกว่า 10 เมตร วัสดุที่ใช้ก็เป็นแบบเดียวกันวนอยู่รอบลานประลองตรงกลางนั่น
ซึ่งจะว่าไปแล้วบรรยากาศของสถานที่นี้ มันก็คือ โคลอสเซียม ที่เป็นลานประลองของเหล่ากลาดิเอเตอร์และจัดการแสดงเพื่อความบันเทิงในสมัยโรมันนั่นเอง เพียงแต่ว่า…
〝ยินดีต้อนรับสู่『ห้องบอส』ประจำชั้นที่ 75!!!〞
〝เอ๋!〞
เพียงแต่ว่า สิ่งที่รออยู่ลึกเข้าไปข้างในนั้น กลับเป็นเสียงของหญิงสาวที่ดังสดใสและกังวาลราวกับสาววัยรุ่น เป็นผู้หญิงที่มีใบหน้าอันแสนงดงามและสละสลวยราวกับเทพีอะโฟรไดร์ที่เป็นเทพแห่งความรักและความงาม ใบหน้างดงามจนสามารถตรึงสายตาของชายทั้งปวงดูยั่วยวนใจเป็นอย่างมาก ซ้ำยังถูกเสริมความเป็นผู้ใหญ่ให้มากขึ้นไปอีกด้วยแว่นตาที่สวมอยู่ ดวงตาสีเหลืองสดใสราวกับอำพัน มีเรือนผมสีเขียวส่องประกายราวกับมรกตไว้ผมสั้นแสกข้างขวา ด้านหลังถักผมเปียยาวเลยหลังไปเสียอีก สวมชุดที่ค่อนข้างเปิดเนื้อหนังและผ้าคลุมที่มีลักษณะคล้ายจอมเวทย์ ที่ทำให้มั่นใจแบบนั้นก็คือ คฑารูปร่างมังกร ที่มีลวดลายอันสลับซับซ้อนดูน่าเกรงขามที่เธอคนนี้ถืออยู่นั่นแหล่ะ
นั่นเลยทำให้กร เด็กหนุ่มที่เข้ามาเผชิญหน้ากับเธอรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่ที่ตกใจไม่ได้เป็นเพราะเธอคนนี้งดงามมาก แต่หากเป็นเพราะเขาคิดว่าสิ่งที่รออยู่จะเป็นสัตว์ประหลาดเหมือนทุกทีต่างหาก นั่นรวมถึงมีอา เด็กสาวอายุเท่ากันที่เป็นทั้งพวกพ้องร่วมปาร์ตี้และคนรักของเขาก็ตกใจกับภาพที่อยู่ตรงหน้าไม่ต่างกัน…
.
.
.
ตัวฉัน..... อุษณกร วัชรวิรุฬห์
ไอ้หนุ่มโสดซิง…. ไม่สิ เสียใจด้วย ตอนนี้ฉันมีแฟนแล้วนะเอ้อ!
แต่ถึงแบบนั้นอาการบ้าอนิเมะและเกม(ที่ตอนนี้อยู่โลกเดิมทั้งหมด) ก็ยังไม่หายไปอยู่ดี
สามารถแปรเปลี่ยนสิ่งที่อยู่รอบตัวให้เข้ามาอยู่ในจินตนาการอันเพ้อฝัน จนคนอื่นมองว่าเพี้ยนสุดๆจนบ้าได้เป็นเรื่องปกติ….
ไม่ใช่แล้วโว้ย!!!! บ้าชิบ!
พอกังวลขึ้นมาแล้ว เลยคิดนู่นนี่นั่นไปเรื่อยตลอดเลยให้ตายสิ!!!
เรื่องของฉันหน่ะเอาไว้ก่อน ที่สำคัญหน่ะ———
〝บอสประจำชั้นก็คือ ฉันคนนี้แหล่ะ!!!!〞
〝เดี๋ยวก่อน! เรื่องนั้นพอรู้อยู่หรอก แต่ที่ฉันจะถามคือ———〞
〝เงื่อนไขในการผ่านลงไปชั้นถัดไปก็คือ———〞
〝ก็บอกว่าเดี๋ยวก่อนไงฟ่ะ ไม่ได้ยินเหรอ!!!!!〞
〝………………….〞
ทันทีที่กรตะโกนแบบนั้นออกไป หญิงสาวก็เงียบเสียงลงในทันที จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาแรงๆครั้งนึง ก่อนที่จะเปิดปากพูดออกมาด้วยเสียงที่หน่ายๆ ราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อกี้
〝เห้อ!!! อะไรอีก? นายนี่มันไร้มารยาทซะจริง! คนกำลังพูดอยู่อย่ามาขัดจังหวะจะได้ไหม!!! คิดว่ามีแค่ตัวเองรึไงกันที่กำลังลำบากใจหน่ะ… หา!!! 〞
แล้วหญิงสาวก็ตอบกลับกรไปแบบนั้นพลางบ่นอยู่ในลำคอประมาณว่า【น่าหน่ายใจจริงๆ ทำไมฉันต้องมาทำอะไรยุ่งยากแบบนี้ด้วย! 】นั่นจึงทำให้กรรู้ตัวสึกตัวได้ว่าตัวเองทำตัวไร้มารยาทอย่างที่บอกจริงๆ กรจึงข่มอารมณ์หงุดหงิดที่ถูกต่อว่าไว้ก่อนแล้วเริ่มการสนทนาอีกครั้งในทันที
〝กะ เกี่ยวกับเรื่องนั้นต้องขอโทษด้วยแล้วกัน…. ก็มันตกใจจริงๆนี่หว่า!〞
〝ตกใจ! ทั้งที่ลุยผ่านมาตั้ง 74 ชั้น… ไม่สิ 52 ชั้นแล้ว?〞
〝อย่าทำหน้าแบบ 〝ชินซักทีได้แล้วน่า〞แบบนั้นสิเฟ้ย! ประเด็นที่ฉันสงสัยหน่ะคือ ตัวเธอเองนั่นแหล่ะเฟ้ย! เสียงของเธอกับน้ำเสียงเบื่อหน่ายของเธอทั้งหมดนั่นหน่ะ…. ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิดหล่ะก็———〞
หญิงสาวเอียงคอสงสัยคำพูดของกรที่พูดออกไปแบบนั้นอย่างน่ารักน่าแกล้ง พลางทำสีหน้าบอกกรเป็นนัยว่า〝ยังไม่ชินอีกเหรอ?〞กลับมายังกร ก่อนที่จะหาวออกมาเสียงดังพลางใช้มือขวาปิดปากด้วยท่าทางเบื่อหน่าย จนขัดกับที่พูดเรื่องมารยาทเมื่อครู่มากเลยทีเดียว แม้จะทำให้กรหงุดหงิด แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาเลิกสงสัยและกังขาในตัวตนของเธอคนนี้เลยแม้แต่น้อย นั่นก็เป็นเพราะ….
〝เธอมัน…. ผู้ประกาศไม่ใช่เหรอ?〞
แล้วกรก็ถามออกไปแบบนั้นตรงๆ ด้วยเสียงที่คิดว่าสุภาพที่สุด แต่รูปประโยคไม่ได้แสดงถึงความเคารพเลยก็ตาม เพราะตัวกรในตอนนี้สนใจคำตอบของเธอมากจนลืมเรื่องอื่นไปเสียสนิทนั่นเอง
ใช่แล้ว เสียงที่กรได้ยินมาจากเธอคนนี้ก็คือ เสียงที่เขาได้ยินมาตลอด ทั้งตอนเคลเบรอสและมังกรห้าหัว รวมถึงนิสัยเบื่อหน่ายที่ถ่ายทอดออกมาในครั้งที่สู้กับเคลเบรอสซึ่งมีลักษณะเฉพาะแบบที่ว่า มันจึงตราตรึงอยู่ในสมองของกรไม่น้อย พอตัดความเป็นไปได้ที่เหลือออกไป นั่นเลยทำให้กรคิดว่าตัวจริงของเธอก็คือ ผู้ประกาศนั่นเอง
〝ใช่แล้ว แปลกรึไง?〞
〝ก็แปลกหน่ะสิเฟ้ย!!!!!〞
แล้วพอเธอคนนั้นตอบออกมาตรงๆ กรที่ใช้สุดยอดการประมวลผลตรวจสอบก็รู้ทันทีว่าเธอไม่ได้โกหก จึงตะโกนออกไปแบบนั้นดังลั่นราวกับจะตบมุขของเธอพลางหัวเสียอย่างแรง เพราะก่อนเข้ามาในห้องบอสกรได้เตรียมพร้อมรบแบบเต็มสตรีมในการสู้กับบอสทุกรูปแบบไว้แล้ว แต่ดันมาตกม้าตายอย่างคาดไม่ถึงอีกครั้ง เพราะต้องมาเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า『ผู้หญิง』ที่ตัวเองแพ้ทางเสียยิ่งกว่าบอสมอนสเตอร์ไหนๆซะอีกนั่นเอง
ก๊าซซซซ!!!!!!!! เสียงร้องแหลมๆแสบแก้วหูคล้ายกับของสัตว์เลื้อยคลานเช่นกิ้งก่า ดังขึ้นท่ามกลางความมืดมิดของดันเจี้ยนชั้นที่ 75 ซึ่งมีสภาพแวดล้อมเป็นถ้ำหินแกรนิตสีน้ำตาล ผิวขรุขระไม่สม่ำเสมอกันตลอดแนว ส่วนพื้นเองก็ทำจากวัสดุแบบเดียวกัน แต่ที่แตกต่างก็คือ มันเรียบเนียนตลอดจนสุดสายตาราวกับถูกปูด้วยกระเบื้องอย่างประณีตเลยทีเดียว ซ้ำยังไม่มีรอยต่อให้เห็นราวกับมันเป็นเนื้อเดียวจริงๆอีกต่างหากก๊าซซซซ!!!!!!!! เสียงร้องโหยหวนอันแสดงถึงอาการบาดเจ็บสาหัสของมอนสเตอร์ตัวเมื่อครู่ยังคงร้องลั่นอย่างต่อเนื่องเพราะมันได้เสียแขนขวาไป และที่มาของเสียงร้องนั้นก็คือ『 ครอกโคแมน 』 ซึ่งเป็นมอนสเตอร์รูปร่างจระเข้ผิวสีเขียวขี้ม้าสูงกว่า 2 เมตร มีรอยตะปุ่มตะป่ำอยู่ทั่วร่าง แต่ที่แปลกประหลาดกว่าจระเข้ทั่วไปคือ ครอกโคแมนที่ว่ามันยืนสองขา สวมชุดเกราะหนักอย่างรัดกุมโดยโผล่ส่วนที่เป็นเนื้อหนังให้เห็นแค่บริเวณลำคอและใบหน้าเท่านั้น ทั้งยังถือขวานเหล็กขนาดใหญ่ไว้ด้วยมือทั้งสองข้างอีกต่างหาก เพิ่มเติมคือเจ้าจระเข้เดินสองขาตัวนี้มันสวมหมวกกันกระแทกและแว่นกันลมแบบเดียวกับนักบินของเยอรมันในสงครามโลกครั้ง
หลังจากที่กรและมีอา เข้ามาในห้องบอสของชั้นที่ 75 และพบเข้ากับหญิงสาวซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ปรกาศมาโดยตลอดตั้งแต่ที่กรลงดันเจี้ยนมาเข้า ก็เกิดประหลาดใจที่เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น และเกิดอาการหงุดหงิดอย่างแรงที่คิดไปเองคนเดียวว่า เรื่องที่การคาดการณ์ของตัวเองผิดพลาดนี้จะทำให้ตัวเขาดูโง่ในสายตาของมีอาขึ้นมา นั่นเลยทำให้กรที่ตอนนี้เกิดอาการหงุดหงิดปนตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก บวกกับสาวแว่นจอมเวทย์ที่อ้างว่าตัวเองเป็นบอสประจำชั้นเองที่แสดงความรำคาญออกมา เนื่องด้วยความเบื่อหน่ายที่ไม่ต้องการมารับการทดสอบกรด้วยตัวเอง นั่นเลยทำให้ทั้งคู่สร้างบรรยากาศไร้เสียงขึ้นมาโดยรอบตัวเองเป็นวงกว้าง จนไม่มีใครกล้าเปิดการสนทนาต่อเลยซักคน…〖โอ๊ะ! สายัณห์สวัสดิ์คุณนาย〗〝……….…ไงเคลเบรอส สภาพดูไม่จืดเลยนะนั่นหน่ะ〞 แล้วคนที่เป็นคนเปิดการสนทนาก็คือคนกลางเช่นเคลเบรอสนั่นเอง และดูเหมือนสาวแว่นคนนี้เองก็ตามน้ำไปกับเคลเบรอสด้วยเช่นกัน อาจเป็นเพราะเธอรำคาญจากสภาพแบบนี้หรืออยากจะจบการทดสอบโดยเร็วก็แล้วแต่ แต่เสียงตอบกลับเรียบๆของเธอนั่นก็ทำให้บรรยากาศปั้นหน้ายากของทุกคนหายไปอย่างสิ้นเชิ
———ทางด้านของมีอาและเคลเบรอสที่นั่งดูอยู่บนอัฒจันทร์…〖เหมือนกันจริงๆ〗〝คุณหมา!? หมายถึงอะไรเหรอ?〞 หลังจากที่ผู้ประกาศเข้าโจมตีกรด้วยศรแสงในครั้งแรก แล้วมีอาตะโกนออกไปเพื่อเตือนกรแต่กรไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด มีอาที่นั่งดูการต่อสู้ของกรอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆนี้แสดงอาการกระวนกระวายปนเศร้าใจที่ไม่สามารถช่วยเหลือกรได้มาตลอดตั้งแต่ก่อนการเข้าปะทะ แม้จะไม่ได้ถามเหตุผลแต่เธอก็ยังปล่อยให้กรทำตามใจ เคลเบรอสที่เห็นแบบนั้นก็โผล่หน้าออกมาจากฝัก และพูดสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่ออกมาโดยอาศัยความคิดสงสัยของตัวเองเพื่อดึงความสนใจของมีอาออกมาจากสนามรบเล็กน้อย ก็เพื่อให้เธอผ่อนคลายขึ้นซักนิดก็ยังดี〖ก็… เจ้าหนูกับคุณนายตรงนั้นหน่ะสิ〗〝เอ๋?〞 หลังจากที่ได้ยินเคลเบรอสพูดแบบนั้น มีอาก็เอียงคอสงสัยอย่างน่ารักน่าชังดังเช่นทุกที〝หมายความว่ายังไงเหรอคุณหมา?〞〖นั่นสินะ ข้าเองก็อธิบายไม่เก่งซะด้วย… แต่ทั้งสองคนหน่ะ มีสไตล์การต่อสู้เหมือนๆกัน〗〝เรื่องที่ไม่ประมาทศัตรูงั้นเหรอ?〞〖เรื่องที่กลัวคนอื่นต่างหาก 〗〝เอ๋? ต่างกันงั้นเหรอ?〞 เคลเบรอสที่ได้ยินคำถามกลับมาจากมีอาก็ส่งเสียง อื
〝ต่อจากนี้จะไม่มีการออมมือแล้วนะ…〞〝ฮะฮ่ะ! พูดเหมือนกับว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้กะเอาให้ตายเลยนะ〞 หลังจากที่ผู้ประกาศเปลี่ยนแปลงลักษณะภายนอกไปจากเดิม โดยมีอักขระสีแดงสดปรากฏขึ้นทั่วร่างอย่างสลับซับซ้อน รวมถึงน้ำเสียงที่เรียบเฉยและเย็นชาของเธอเองก็เปลี่ยนไปจากครั้งแรกเช่นกัน นั่นจึงทำให้กรที่ตอบเธอกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติแบบนั้น แต่กลับมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเขาหลายต่อหลายหยดอย่างต่อเนื่องจนถึงขั้นไหลลงไปถึงลำคอ และทำได้แค่หัวเราะแห้งๆกลบเกลื่อนกลับไปเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าตัวเขาค่อนข้างกระวนกระวายกับสถานการณ์ในตอนนี้มากเลยทีเดียวแย่แล้ว! แย่แล้วไหมหล่ะ! ปีศาจงั้นเหรอ?งั้นนี่ก็คือเผ่าที่ พวกนักเรียนผู้กล้าทุกคน ต้องสู้ในอนาคตงั้นสิ? จะบอกว่าซักวันพวกรินจะต้องเผชิญหน้ากับตัวตนแบบนี้งั้นเหรอ?ตัวเราเองยังไม่มั่นใจ 100% เลยว่าจะชนะยัยนี่ได้พวกรินหน่ะไม่ไหวหรอก! ไม่ได้ดูถูกนะ แต่ยังไงก็ไม่ไหวชัวร์ๆ——〝รับมือ!!!〞ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!—————————〝!!!!!!〞 หลังจากการสนทนาพอเป็นพิธีจบลง ผู้ประกาศสาวก็ทำการยิงศรสีดำแดงออกมาจากทางด้านหลังโดยที่ไม่ได้ร่าย
หลังจากที่ทั้งสามคน อันประกอบไปด้วย กร มีอาและผู้ประกาศ ตกลงมาจากห้องบอสชั้นที่ 75 มาจนถึงชั้นที่ 100 ตอนนี้ทั้งสามคนกำลังอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดแบบสุดๆ เพราะกำลังยืนเผชิญหน้ากับบอสประจำชั้นที่ 100 ซ้ำยังเป็นบอสที่แข็งแกร่งที่สุดในดันเจี้ยนแห่งนี้อย่างกะทันหันอีกด้วย ทั้งที่ร่างกายและจิตใจยังไม่ได้พักฟื้นจากศึกเมื่อ 10 นาทีก่อนเลยแท้ๆวูม!!! พื้นที่โดยรอบสว่างขึ้นอย่างกะทันหันด้วยแสงสีน้ำเงินทั่วทั้งห้อง จนสามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมได้ทั้งหมด ห้องบอสในชั้นนี้ มีบริเวณกว้างขวางมากกว่า 5 กิโลเมตร ซึ่งมันคือความกว้างพอๆกับดันเจี้ยนชั้นเดียว กรจึงคาดว่าห้องบอสนี้น่าจะใช้หลักการเดียวกับห้องบอสในชั้นที่ 50 พื้นของห้องถูกปูด้วยอิฐสีน้ำเงินเข้มวางสลับกันเหมือนกำแพงอิฐแดง ทั่วทั้งชั้นมีเสากรีกโรมันสีฟ้าขนาดใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลาง 20 เมตร ตั้งเรียงกันเหมือนตารางหมากรุก โดยเสาทุกต้นที่อยู่ใกล้ทั้งด้านซ้าย ขวา หน้าและหลังจะห่างกันประมาณ 100 เมตร เท่าๆกันทุกเสา เพดานทำจากหินอ่อน และเป็นแหล่งให้แสงสว่างแก่ชั้นนี้ไปในตัว ซึ่งแสงสว่างที่วาก็เป็นสีน้ำเงิน
〝งั้นก็กลับมาคำถามเดิม... เมอร์ลิน ไอ้ยักษ์นั่นมันคืออะไร?〞 หลังจากที่เมอร์ลินเข้ามาเป็นพรรคพวกอย่างเต็มตัวแล้ว ทั้งสามคนจึงนั่งหันหน้าเข้าหากันเป็นสามเหลี่ยม เพื่อที่จะปรึกษาแผนการในการสู้กับบอส และเรื่องที่กรถามเป็นอย่างแรกก็คือคำถามก่อนหน้านี้ที่ถูกเลี่ยงไปนั่นเอง〝หัวแข็งชะมัดเลยนะนายเนี่ย... แต่เอาเถอะ จริงๆก็กะจะบอกอยู่แล้วหน่ะนะ〞แล้วจะเล่นตัวทำมะเขืออะไร! เธอนั่นแหล่ะเฟ้ยที่หัวแข็ง ยังมาว่าคนอื่นอีก!!!〝งั้นก่อนอื่น... พวกเธอรู้จักทศกัณฑ์รึเปล่า?〞〝ขอโทษนะกร แต่ฉันไม่เคยได้ยินเลยหล่ะ〞〝น่าๆ〞 มีอาที่ได้ยินคำถามของกร แต่ไม่เข้าใจว่าคืออะไร เธอจึงเอียงคอสงสัยก่อนที่จะตอบออกไปด้วยน้ำเสียงหงอยๆเล็กน้อย กรจึงลูบหัวเธอไปมาเหมือนทุกที และหันไปถามเมอร์ลินทั้งที่กำลังลูบหัวมีอาอยู่〝แล้วเมอร์ลินหล่ะ? …ไม่สิ เธอต้องรู้อยู่แล้วนี่นะ〞〝ต้องรู้อยู่แล้ว… นายอยากจะถามว่า ทำไมตัวละครในวรรณคดีของประเทศนาย ถึงได้กลายมาเป็นลาสบอส ทั้งที่ปกติจะมีแต่บอสแนวตะวันตกยุคกลาง... ใช่รึเปล่า?〞〝อื้ม! ใช่เลยหล่ะ〞แน่ชัดแล้วหล่ะว่าตัวตนของทศกันฑ์ไม่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป... ถึงจะใช้ความรู
〝อย่างที่วางแผนเอาไว้... พอปลดเวทย์ออกก็เข้าฟอร์เมชั่นเลยนะ〞 หลังจากที่กร มีอา และเมอร์ลินเรียนรู้สกิลและความสามารถของกันและกันจนหมด รวมถึงฝึกความเข้ากันและฟอเมชั่นต่างๆเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมพร้อมที่จะสู้กับทศกัณฑ์ซึ่งเป็นบอสชั้นสุดท้าย ในทันทีที่ปรับสภาพจิตใจเรียบร้อย กรจึงเป็นคนให้สัญญาณก่อนเริ่มออกมาในทันทีที่ทุกคนพร้อมลุยแล้ว〝อื้ม!〞〝รับทราบ!〞 เมอร์ลินและมีอาตอบกรกลับอย่างแข็งขันในทันที ซึ่งส่วนนึงก็เพื่อปลุกจิตสู้ของตัวเองไปพร้อมกันนั่นแหล่ะ〝5.... 4…. 3….〞ชึบ! ทันทีที่เมอร์ลินเริ่มนับถอยหลัง กรและมีอาก็ตั้งสมาธิจดจ่อกับยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าในทันที〝2…. 1…. ศูนย์!!!!〞วูม! ทันทีที่การนับถอยหลังสิ้นสุดลง สภาพแวดล้อมโดยรอบที่เคยหยุดนิ่งเมื่อเสี้ยววินาทีที่แล้วก็กลับมาเคลื่อนไหวต่อในทันที ทศกัณฑ์ที่อยู่ตรงหน้าทั้งสามคนก็ยังคงเอื้อมมือทั้ง 10 มาทางทั้งสามคนที่อยู่ห่างออกไป 10 เมตรดังเช่นก่อนที่เมอร์ลินจะใช้เวทย์หยุดเวลา และในเสี้ยววินาทีที่สภาพแวดล้อมกลับมาเคลื่อนไหว ทั้งสามคนก็ถีบตัวเองถอยห่างออกไปจากจุดที่เคยอยู่ราวๆ 500 เมตร และทำก
〝อืม〜〞 แสงอาทิตย์อุ่นๆยามเช้าลอดผ่านหน้าต่างชั้นสองเข้ามากระทบใบหน้าของเด็กหนุ่มที่กำลังอยู่ในช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่น เป็นสิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มตื่นขึ้นจากภวังค์ แต่เพราะกำลังถูกความสบายเพราะนอนหลับนานกว่า 8 ชั่วโมงกดทับไว้อยู่เด็กหนุ่มจึงครางออกมาแบบนั้นด้วยเสียงเหนื่อยหน่ายเพราะไม่อยากลุกจากเตียงทันทีนั่นเอง และถึงแม้ก่อนหน้านี้ 10 นาที นาฬิกาปลุกจากสมาร์ทโฟนของเขาจะดังไปแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ยอมลุกจากเตียงแต่อย่างใด〝กร!!! 7 โมงครึ่งแล้วนะ เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายหรอก!〞 เสียงของหญิงสาวผู้เป็นแม่ตะโกนขึ้นไปยังห้องที่อยู่บนชั้นสอง หรือก็คือห้องของกรด้วยน้ำเสียงดุดัน เพื่อเรียกให้ลงมาเตรียมตัวไปโรงเรียนโดยเร็ว〝งือ〜 ขออีกซัก 12 ชั่วโมงครับแม่〞〝ปกติมันต้องขอ 5 นาทีไม่ใช่เหรอ!!!!! แล้วขอตั้ง 12 ชั่วโมง คิดจะหลับจนถึงเย็นเลยรึไงกันยะ!!!!〞〝คุณแม่รับมุขได้สวยครับ... ครอก〜〞และต่อให้ท่านแม่ผู้บังเกิดเกล้าตะโกนขนาดไหน ฉันก็ไม่คิดที่จะลุกออกจากที่นอนเลยซักนิดพอตบมุขคุณแม่เสร็จ ฉันก็ดึงผ้าห่มมาคลุมโปง แล้วกลับไปนอนต่อในทันที อา.... สุขสุดๆ〝สวัสดีค่ะคุณน้า! ขออนุญาตนะคะ!〞
ช่วงเที่ยงเป็นเวลาพักผ่อนของใครหลายคน แต่ไม่ใช่สำหรับคนที่มีนัดสำคัญในช่วงบ่าย นี่เป็นช่วงเวลาอันเหมาะสมในการเตรียมตัวสำหรับสองสาว... สำหรับเรเชลกับริต้า พวกเธอกำลังลองชุดสำหรับเดทในช่วงบ่ายกับแฟนหนุ่มสุดที่รักของพวกเธอ สำหรับเรเชล เรื่องชุดไม่ค่อยเป็นปัญหาเพราะเลือกไว้นานมาก และมีชุดตัวเก่งในแบบที่เรียบร้อยเหมาะสมกับตัวเองอยู่แล้ว ปัญหาคือชุดของน้องสาวอย่างริต้านี่แหละที่ทำให้พี่สาวคนนี้เป็นกังวลจนต้องกุมขมับ ถึงจะเป็นเสื้อยืดที่ใส่แล้วรัดรูปโชว์สะดือ และกางเกงยีนส์ขาสั้นเหมือนกับทุกทีก็เถอะ“...พี่ว่าชุดแบบนี้มันเปิดไปหน่อยนะ”“สงสัย... คุณกรน่าจะชอบ... แบบนี้ไม่ใช่เหรอ?” ริต้ามองกลับมาด้วยสายตาออดอ้อนอย่างบริสุทธิ์ใจ ในหัวเธอคงคิดอยู่แค่สามเรื่องเท่านั้นอันได้แก่ กร ครอบครัว แล้วก็กร ซึ่งอันที่จริงแนวคิดตรงนั้นก็ไม่ต่างจากเรเชลเท่าไรนัก ริต้ามองกวาดจากหัวจรดเท้า มองชุดเดรสแบบเปิดไหล่ของเรเชลแต่เป็นกระโปรงแบบคลุมเข่า เรียบร้อยเหมือนกับที่เรเชลใส่เป็นปกติ ความใคร่รู้ของริต้าจึงเกิดขึ้นในจังหวะนั
หลังจากเดทกับไมน์และรีเบคก้าจบลงพวกเราก็กลับบ้านเป็นเดทที่ดีอีกครั้งสำหรับสาว ๆ ที่ยังไม่ค่อยได้มีโอกาสได้ไปเที่ยวกับเรานักเพราะถ้าว่ากันตามตรง เหล่าภรรยาของฉันหลายคนเพิ่งจะได้คบกันในช่วงที่กำลังลุยดันเจี้ยน ‘หมื่นเทวาใต้รัตนากร’ ของอาร์เคมีดีสหมายถึงเจนนี่ ไมน์ รีเบคก้า ซิลเวีย ยูมิน่า ฟลอร่า แล้วก็เฮเลน่ากับคอร์ดิเรีย ทั้งแปดคนนั่นแหละพวกเธอไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปเดทกันเท่าไหร่ก็เลยยังเก้ ๆ กัง ๆ อยู่บ้างแต่ข้อดีก็คือไม่ว่าจะพาไปเดทที่ไหนพวกเธอก็ยังไม่คุ้นชินเลยมีโอกาสเรียนรู้กันและกันอีกมากหืม? แล้วความทรงจำเรื่องเดทจากเมื่อชาติก่อน ๆ ของพวกเธอที่เคยมีกับเรานี่ไม่นับเหรอ?ก็ไม่เชิงหรอกนะ... ความทรงจำเมื่อชาติก่อนมันก็เหมือนกับความทรงจำในวัยเด็กนั่นแหละ เรื่องเกิดตั้งนานแล้วใครจะไปจำรายละเอียดได้ล่ะจริงไหม?ก็จริงแหละที่ถ้าทำอะไรสักอย่างให้นึกถึง ความทรงจำพวกนั้นก็จะถูกกระตุ้นทำให้นึกออกแต่ฉันคุยกับทุกคนหลายรอบแล้วว่าอดีตก็คืออดีต จะไม่ให้มันกลายมาเป็นอุปสรรคในการเรียนรู้กันและกันของพวกเราหรอกก็ด้วยเหตุนั้นแหละ ทั้งแปดคนเลยยังไม่ค่อยชินกับการไปเดทแบบทั่วไป ก็เลยพาไปเดทที่ต่าง ๆ
เวลาผ่านไปจนเกินเที่ยง ฉันเลยติดต่อบอกให้ทุกคนกินข้าวรอกันไปก่อนส่วนฉัน ฟลอร่าแล้วก็ยูมิน่าไปหาอะไรกินที่ร้านอาหารใกล้ ๆนับว่าเป็นการยืดเวลาเดทได้ดี สองสาวดีใจใหญ่ที่ได้ใช้เวลาด้วยกันมากขึ้น น่ารักจริง ๆ เลยน้าทั้งสองคนจากนั้นช่วงบ่ายไปถึงเย็นก็จะเป็นคิวของไมน์กับรีเบคก้า ฉันก็เลยต้องกลับบ้านไปเตรียมตัวใหม่เพราะทั้งสองคนก็รออยู่ที่บ้านเหมือนกันแหล่ะนะแถมแฟนของฉันแต่ละคนก็ชอบบรรยากาศการเดทแตกต่างกันด้วยทั้งสไตล์การแต่งตัว น้ำหอม สถานที่ เวลา หรือความใกล้ชิดในที่สาธารณะเพราะทุกคนโตมาต่างกันเลยมีความต้องการคนละแบบ ก็ปกตินั่นแหล่ะแต่ไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิดเพราะฉันรู้สิ่งที่ทุกคนชอบดีอยู่แล้ว จำได้ขึ้นใจด้วยว่าไปแล้วพอพูดถึงความใกล้ชิด ไมน์กับรีเบคก้านี่ก็ออกจะเหนียมอายกว่าทุกคนหน่อยถ้าเป็นสาว ๆ ส่วนใหญ่จะเดินกอดแขนฉันกลางธารกำนัลได้สบายแต่ไมน์กับรีเบคก้าจะยังไม่ค่อยกล้าทำอย่างนั้นเท่าไหร่ ก็เป็นในทำนองเดียวกับรินนั่นแหล่ะอลิซนั้นยังพอว่าเพราะโตมาแบบรับวัฒนธรรมต่างชาติมาใช้เต็ม ๆก็ขนาดพุ่งเข้ามากอดฉันที่เป็นเพื่อนสนิทยังกับเพื่อนเพศเดียวกันได้สบาย ๆ นั่นแหล่ะ (ถึงเธอจะไม่ได้ทำแบบ
หลังจากการเที่ยวสวนสนุกของฉัน เจนนี่และเฮเลน่าจบลงด้วยความหวานชื่น พวกเราก็กลับบ้านด้วยความรู้สึกเต็มอิ่มขากลับก็มีการซื้อของที่ระลึกอย่างสร้อยคอให้พวกเธอและแน่นอน นอกเหนือจากนั้นพวกเราก็ซื้อเค้กกลับไปฝากทุกคนด้วยถึงจะมีเดทกับแฟนสาว แต่ก็ต้องไม่ลืมครอบครัวที่รออยู่บ้านด้วยโดยเฉพาะลูกสาวสุดที่รักอย่างแมรี่ นี่แหล่ะหน้าที่เสาหลักของบ้านล่ะ อื้ม ๆ!เท่านี้วันแห่งการพักผ่อนก็จบไปอีกวันด้วยความสงบสุข...ถึงก่อนนอนจะมีเรื่องจริงจังให้คิดนิดหน่อยก็เถอะนั่นเพราะระหว่างวันได้มีข้อมูลเกี่ยวกับกำหนดการคร่าว ๆ ของการประกาศความสำเร็จที่พวกเราทุกคนปราบอาร์เคมีดีสส่งเข้ามาน่ะสิก็มาจากพวกเสือ คัทยูชา แอดรูวส์แล้วก็พี่มารีนั่นแหล่ะดูเหมือนอีก 6 วันนับจากนี้จะมีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลกถึงความสำเร็จของพวกเราพร้อมกับพิธีมอบรางวัลจากกษัตริย์ของอาณาจักรที่เป็นพันธมิตรก็... ฟังดูเป็นพิธีที่น่ารำคาญ แต่มันก็ขาดเสียมิได้หรอกแถมการทำแบบนั้นยังเป็นการตรวจสอบความร่วมมือจากอาณาจักรต่าง ๆ ให้ร่วมมือกันในการรับมือกับจอมมารในอนาคตด้วยแต่... ปัญหาก็คือพวกเราในตอนนี้ยังไม่มีเส้นสายในการติดต่อกับเผ่าปีศาจนี่แหล่ะ
ในห้องน้ำส่วนที่เป็นห้องแต่งตัวบ้านครอบครัวของกรก่อนหรือหลังเข้าไปใช้ห้องอาบน้ำรวมของบ้าน ซึ่งโดยปกติแล้วจะไม่มีใครใช้งานเป็นเวลานาน มันจึงเป็นเรื่องแปลกทีเดียวที่จะมีคนเพิ่งอาบน้ำในเวลาเที่ยงเศษแบบนี้ โดยเฉพาะบ้านของกรที่ต้องตื่นมากินข้าวเช้า รวมถึงอาบและแช่น้ำรวมกันทั้งบ้านเป็นกิจวัตร“แบบนี้ดีไหมนะ? หรือแบบนี้ดี?” นั่นถึงเป็นเรื่องแปลกเมื่อมีหญิงสาวกำลังจัดทรงผมด้วยสีหน้าสายตาจริงจังในเวลาเที่ยงเศษแบบนี้ คน ๆ นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากสาวผู้มีสไตล์มากที่สุดและมีเสน่ห์ของสาวผู้ใหญ่เหลือล้นอย่างเจนนี่หนึ่งเดียวคนนี้เอง โดยปกติแล้วเธอเองก็ค่อนข้างดูแลตัวเองตลอดเวลา เรียกว่าแม้จะอยู่บ้านก็ยังแต่งหน้าแต่งตาบาง ๆ ให้ดูเป๊ะอยู่เสมอ อย่างน้อย ๆ นั่นก็เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้แฟนหนุ่มอย่างกรรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจ แต่ครั้งนี้ต่างออกไปเพราะเธอค่อนข้างจัดเต็มมากทีเดียว ถึงแบบนั้นก็ไม่มากเกินไปกว่าระดับที่ทำให้ดูผิดธรรมชาติ“เป็นยังไงบ้างคะเจนนี่” ในจังหวะนั้นก็มีคนเดินเข้ามาในห้องพอดิบพอดี เธอเป็นสาวหูแมวผู้เงียบขรึมดูไร้อารมณ์ที่สุ
ยามเช้าอันสดใสมาพร้อมเสียงสัตว์อรุณสวัสดิ์เป็นกิจวัตรอันสร้างความสดชื่นรับวันใหม่ได้ทุกครา ไม่มีเสียงปลุกอะไรไพเราะไปกว่านี้ กับบรรยากาศสดชื่นและน่าเย้ายวนชวนให้ตื่นเช้าเช่นนี้ คงไม่มีใครหาญกล้านอนต่อได้นอกเสียจากคนที่ทำงานจนเหนื่อยล้าหรือกำลังอยู่ในช่วงขี้เกียจสันหลังยาว เว้นเสียแต่ว่าเธอคนนั้นไม่ได้หลับเสียตั้งแต่แรก ข้อยกเว้นดังกล่าวคือฟีโอน่าที่กำลังนั่งเขียนเอกสารในห้องส่วนตัวของเธอ ในบ้านส่วนตัวที่อยู่อาศัยร่วมกันกับครอบครัวของเธอตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนเช้าตรู่นี้ อันที่จริงต่อให้เธอทำงานค้างไว้ก็คงไม่มีใครว่าเธอได้ เพราะในอาณาจักรที่เธอปกครองตอนนี้ไม่มีใครใหญ่ยิ่งไปกว่าเธออีกแล้ว ต่อให้ประกาศกับเหล่าขุนนางไปแล้วว่าจะวางมือ แต่สถานะของอดีตราชินีและหนึ่งในสมาชิกปาร์ตี้ผู้กอบกู้โลกคงไม่มีใครกล้าหือแน่นอนต่อให้ลงจากตำแหน่งไปแล้ว สิ่งที่ผลักดันฟีโอน่าให้ทำงานจึงเป็นแรงขับเคลื่อนส่วนตัวอย่างความรับผิดชอบล้วน ๆ จะว่าต้องการเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเหล่าขุนนางก็คงได้ แต่อันที่จริง... สาเหตุหลักมันเป็นเพราะเธ
“ทนไม่ไหวแล้ว!!!” เสียงโหวกเหวกโวยวายเป็นสิ่งแรกของยามเช้าอันสดใสของพวกกร ความเหนื่อยล้าจากศึกกลางคืนทำให้ทุกคนยังงัวเงีย แต่ก็ตื่นเต็มตากันหมดเพราะเสียงตะโกนของตัวป่วนประจำบ้านอย่างอลิซ ด้วยความที่ทุกคนนอนบนฟูกปูพื้นทำให้ทุกคนนอนเกลื่อนกลาด และเพราะผ่านศึกอันหนักหน่วงกันมา ทั้งสาว ๆ และกรเลยมีแค่ผ้าห่มคนละผืนทับตัวเปล่า ๆ เหมือนเด็กแรกเกิด แต่สภาพแบบนั้นไม่ได้ทำให้อลิซร่าเริงน้อยลงเลย“ได้ยินป่าว! ฉันบอกว่า ‘ทน-ไม่-ไหว-แล้ว’ อ่ะ!” เธอทำแก้มป่องทุบพื้นหลายต่อหลายที ถึงไม่รู้ว่ากำลังหงุดหงิดเรื่องอะไรก็เถอะ“มีเรื่องอะไรแต่เช้าเนี่ย?” กรที่หนุนหมอนอยู่ถึงชันตัวขึ้น เขาต้องค่อย ๆ ใช้แขนสองข้างประคองให้มีอากับรินลงหนุนหมอนแทนจากที่นอนซบไหล่เขามาตลอดคืน อาจเพราะแบบนั้นด้วยมีอากับรินเลยทำหน้ามุ่ย แต่พอได้กรลูบหัวไปคนละสองทีพวกเธอก็ยิ้มพริ้มกันเพลินจนต้องหลับต่อ“หรือว่าอยากกอดเหรอ? งั้นมามะ” กรอ้าแขนเชื้อเชิญด้วยใบหน้าระรื่น เพราะเขาเองก็อยากจะกอดอลิซเหมือนกัน“ไม่ใช่ย่ะ! ไม่สิ... ถึงจริง ๆ จะอยากกอดก็เถอะ แต่ที่จะพูดมันไม่ใช่เรื่
————วันรุ่งขึ้นหลังจบศึก, ณ มหาดันเจี้ยนโบราณเด็กหนุ่มผู้โดดเดี่ยว ภายในมหาดันเจี้ยนโบราณของฟรังซ์ ออลเดลผู้เป็นเจ้าของนั้น มีดันเจี้ยนชั้นหนึ่งที่เป็นส่วนอยู่อาศัย หากนับตามลำดับคงเป็นชั้นที่ 101 ว่าไปแล้ว มันก็คือดันเจี้ยนชั้นเดียวกับที่กรและมีอาได้เข้ามาพักหลังจากที่เคลียร์ดันเจี้ยนแห่งนี้สำเร็จแล้วนั่นเอง คฤหาสน์ของฟรังซ์นั้นมีห้องอยู่จำนวนมากทั้งที่กำลังใช้งานอยู่และที่เป็นห้องว่างพร้อมให้ปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบต่าง ๆ ตามต้องการ ในบรรดาห้องว่างทั้งหลายเหล่านั้นคือห้องชั้นใต้ดินของอาคารหลักอันมืดมิด ได้ถูกดัดแปลงเป็นห้องกรงแบบง่าย ๆ คำว่าง่าย ๆ ที่ว่านั้น คือการใส่ลูกกรงเหล็กหน้าห้องแทนประตู พื้นที่เป็นดินไม่ได้รับการตกแต่งหรือทำความสะอาดเพื่อไว้ใช้ลงโทษ นอกเหนือจากนั้นคือกุญแจมือและเท้าที่ล่ามติดโซ่ผู้กระทำผิดเอาไว้ในฐานะนักโทษอยู่กลางห้องไม่ให้ขยับไปไหนได้ และคนที่ถูกล่าม ไม่สิ... ล่ามตัวเองอยู่นั้น ก็ไม่ได้เป็นใครอื่นนอกจากอาร์เคมีดีส ตัวอาร์เคมีดีสนั้นแม้จะถูกล่ามโซ่ในสภาพอนาถาแต่กิริยาของเขากลับยังนิ่งสงบ ทั้
————ก่อนหน้านี้เล็กน้อย“แล้ว... จะเอายังไงต่อดีล่ะเนี่ย” หลังออกมาจากมหาดันเจี้ยน ‘หมื่นเทวาใต้รัตนากร’ จนมาอยู่บนชายหาดของเกาะที่อยู่ใกล้ที่สุด เมอร์ลินก็เอ่ยถามขึ้นมาเป็นคนแรก เพราะอาเธนที่เป็นคนใช้ไอเทมทำให้ทุกคนออกมาได้รวมถึงมหาปราชญ์คนอื่น ๆ นั้นไม่ได้มาด้วย เนื่องจากจำเป็นต้องทำลายแกนพลังงานของดันเจี้ยนเพื่อลดอัตราการดูดซับเท่าที่จะทำได้แม้แกนกลางของดันเจี้ยนจะกลายเป็นลาสบอสพร้อมกับอาร์เคมีดีสไปแล้วก็ตาม และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่มันก็เหมือนถูกทิ้งไว้กลางทาง คำถามของเมอร์ลิน จึงไม่ใช่อะไรนอกจากการยืนยันสิ่งที่กรจะทำหลังจากนี้ ทั้งด้วยความอยากรู้อยากเห็นและกังวล แต่ว่าก่อนหน้านั้น...“เดี๋ยวก่อนสิ! นี่จะไม่สนใจไอ้เจ้ายักษ์นั่นหน่อยเหรอเนี้ยว!?”“นะ นั่นสิคะ! นั่นน่าจะเป็นเรื่องที่ควรกังวลมากกว่านะคะ!” ในขณะที่ฟลอร่ากับซาช่าต่างก็ชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าจนเหมือนคนสติแตก ซึ่งถ้าบนนั้นมีแค่เมฆสีครามเหมือนปกติก็จะดี แต่เพราะไม่ใช่ พวกเธอถึงกลัวจนขนลุกกันขนาดนั้น เพราะที่อยู่บนนั้น คือมอนสเตอร์ขนาดยักษ์ที่มีร่างกายท่อนบนเป็นมนุษย์ท่อนล่า