(หลังจากเลิกกอง)
ฉันได้นำขนมที่เตรียมไว้แจกจ่ายให้กับทีมงานทุกคนเพราะไม่ใช่แค่นักแสดงที่เหนื่อยกับการทำงาน แต่ทีมงานทุกคนที่อยู่เบื้องหลังก็เหนื่อยไม่ต่างกัน แถมพอเลิกกองพวกเขาก็ยังไม่เลิกงานอีก
สิ่งที่ฉันทำได้นั้นคือตั้งใจในสายอาชีพ ยิ่งฉันแสดงได้ดีเท่าไหร่ งานของพวกเขาก็จะเดินเร็วมากขึ้น (นักแสดงคนอื่นก็ต้องให้ความร่วมมือด้วยนะ)
ในขณะที่ฉันกำลังจะโทรหาผู้จัดการส่วนตัว เสียงเปิดประตูห้องแต่งตัวก็ดังขึ้น
“จะกลับเลยไหม เดี๋ยวพี่ไปส่งหนูเอง” ฉันหันหน้าไปทางเสียงนั้น
‘พี่แทนเหรอ?’
พี่แทนที่นิ่ง เงียบ สุภาพเกินมนุษย์ปกติ แถมพูดเพราะเหมือนหลุดจากพระเอกในละคร
‘โอ๊ย! แบบนี้ยิ่งใช่เลย! เกย์ในอุดมคติ’
“เอ่อ...เกรงใจค่ะพี่ เดี๋ยวพี่กรีนก็ไปส่งอยู่แล้ว” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเบาอย่างสงบเสงี่ยมเช่นกัน ยังไงซะเขาก็เป็นถึงผู้อำนวยการ อีกทั้งยังเป็นคนเขียนบทอีก
ไม่ใช่แค่นั้น ไม่นานมานี้ฉันก็เพิ่งได้รู้มาว่า ต้นสังกัดของฉันก็กลายเป็นบริษัทในเครือของบริษัทครอบครัวเขาไปแล้ว
“หื้ม...คุณกรีนเหรอ เขากลับไปแล้วนะ เมื่อกี้พี่เห็นเขาโดนเรียกตัวด่วนจากบริษัทนะครับ”
“ว่าไงนะ! แล้วทำไมพี่กรีนไม่โทรบอกมิ้นล่ะ พี่แทนโกหกมิ้นรึเปล่า”
“พี่จะโกหกทำไมครับ หนูลองโทรหาดูไหม” ฉันเลิกคิ้วมองเขา ก่อนจะหยิบมือถือตัวเองโทรหาพี่กรีน เชี่ย! เป็นไปอย่างที่เขาพูด พี่กรีนโดนเรียกตัวด่วนตอนสามทุ่มเนี่ยนะ ฉันหันไปมองหน้าพี่แทนเพราะสับสน
“แต่ยังไงมิ้นก็ไม่รบกวนพี่แทนดีกว่าค่ะ มิ้นกลับเองได้” หน้าพี่แทนหุบยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดเสียงเรียบ ๆ
“กลับเองดึก ๆ ไม่ปลอดภัยหรอก อีกอย่างมิ้นเป็นดาราในเครือพี่ ขืนมีใครเห็น เดี๋ยวบริษัทก็เกิดข่าวไม่ดูแลดาราในสังกัดให้ดีหรอก” ฉันนิ่งมองเขาตาค้าง หน้าตาหล่อ คำพูดนุ่มลึก สุภาพบุรุษแบบนี้แหละ เกย์ที่ใฝ่ฝันจริง ๆ ให้ตายเถอะ
“กะ...ก็ได้ค่ะ” และแน่นอนว่าฉันตอบตกลงอย่างเต็มใจ เพราะระดับพี่แทนคงไม่คิดอะไรกับฉันอยู่แล้วเพราะฉันเป็น
‘ผู้หญิง’ไงล่ะฉันเดินตามเขาไปลานจอดรถที่อยู่หลังตึกของสถานที่ถ่ายทำ รถคันหรูสีดำบนลานจอดวีไอพีบ่งบอกถึงสถานะของพี่แทนได้เป็นอย่างดี แถมความสุภาพบุรุษนั้นก็เต็มเปี่ยมจนฉันเริ่มเกร็ง เขาเปิดประตูรถให้ฉัน ก่อนจะส่งยิ้มหล่อให้ ‘โห...นี่ถ้าไม่ติดว่าเขาเป็นเกย์ ยัยมิ้นคนนี้มีหวังใจเหลวแทบถวายตัวให้เลยนะ’
“ขอบคุณค่ะพี่” ฉันกล่าวตามมารยาทก่อนจะขึ้นรถไป
ระหว่างทางกลับคอนโด ฉันแอบเหลือบมองเขาตลอดทาง เฮ้อ...หล่อสะอาดเหมือนอาบน้ำทุกชั่วโมง เสื้อเชิ้ตสีครีมเรียบ ๆ ข้อมือพับอย่างเนี้ยบ นาฬิกาหนังวินเทจ แล้วรถที่สะอาดจนเหมือนเพิ่งล้างวันล่ะสิบรอบ ทั้งที่เขาไม่เคยโชว์รวยเท่าไหร่ แต่คนที่มีรสนิยมขนาดนี้ อยู่เฉย ๆ ก็เหมือนดูรวยจริง ๆ
“พี่แทนมีแฟนรึยังคะ” ฉันถามอย่างไม่คิดอะไรมาก เขาดูชะงักเล็กน้อยก่อนจะตอบ “พี่เหรอครับ ไม่มีแฟนหรอก แต่เคยมีคนที่ชอบสมัยเรียนอยู่ครับ แต่ไม่ได้บอกเขา”
อุ๊ย! เขาตอบ ‘เขา’ ไม่ใช่ ‘เธอ’ ด้วยล่ะ ยิ่งตอกย้ำความมั่นใจเลยว่าเขาต้องเป็น ‘เกย์’ แน่นอน
“ว้าว แต่ระดับพี่แทน แค่บอกรัก เขาก็ต้องตบปากรับคำแล้วรึเปล่าคะหล่อสะอาดขนาดนี้ แล้วตอนนี้พี่ยังชอบเขาอยู่รึเปล่าละคะ”
“อืม พี่ก็ยังชอบเขาอยู่” พี่แทนเอ่ยเบา ๆ “ก็เลยตามดูเขามาตลอด” ฉันหันขวับไปมองพี่แทนอีกครั้ง ถึงขั้นคิดในใจว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันนะ ที่ทำให้สุดหล่ออย่างพี่แทนปักใจรักได้ยาวนานขนาดนี้
“แล้วเขารู้ไหมคะ ว่าพี่แทนชอบเขา”
“เขาไม่เคยรู้ แต่ตอนนี้พี่อยากให้เขารู้แล้ว”
หัวใจฉันเต้นรัวนิด ๆ รู้สึกตื่นเต้นอยากเผือกใจจะขาด ว่าคนที่ทำให้คนหล่อระดับผู้อำนวยการผลิตเป็นได้ขนาดนี้คือใครกัน
ใจเย็นยัยมิ้น เขาพูดถึงใครสักคนที่น่าจะเป็น เพื่อนสมัยเรียนมหาลัยแน่ ๆ หรือไม่ก็คนสนิทในกองนี่แหละ เพราะเขาบอกว่าคอยตามดู เฮ้ย! หรือว่าจะเป็นพี่นัท ผู้ช่วยของเขากัน แบบหลงรักแต่เก็บไว้ข้างตัวแบบนี้ นี่มันพล็อตละครชัด ๆ แค่คิดก็ฟิน
ฉันมโนต่อไม่หยุด เพราะช่วงนี้ฉันเห็นพี่แทนกับพี่นัท (ผู้ช่วยของเขาที่หล่อหน้าตี๋ ๆ ใส่แว่น) สบตากันบ่อยมาก แล้วเวลาเขาพูดกันที ก็เหมือนมีออร่าบางอย่างที่คนทั่วไปจับไม่ได้ แต่ฉันมันพวกสาววายจับได้หมด
เฮ้อ...เสียดายเกิดเป็นผู้หญิงคนสวย อยากมีโอกาสเติมเกย์กับเขาบ้าง แต่เขาคงไม่เอาผู้หญิงอย่างฉันหรอก
“พี่แทนคะ ฉันเชื่อว่าระดับพี่แทน จีบเขาติดแน่นอนค่ะ น้องคนนี้เอาใจช่วยพี่ให้สมหวังนะ สู้ ๆ” ฉันเอื้อมมือไปตบไหล่เขาที่กำลังขับรถเบา ๆ ก่อนจะหันหน้ามองไปข้างทางด้วยความรู้สึกฟินอย่างบอกไม่ถูก
รถขับมาเรื่อย ๆ จนมาจอดหน้าคอนโดของฉัน ก่อนที่ฉันจะลงรถ ฉันหันไปขอบคุณเขาอีกครั้ง
“ขอบคุณที่พี่มาส่งนะคะ” ฉันยิ้มพลางคิดในใจว่าจะใช้แอคหลุมในกลุ่มวาย โพสต์ลงกลุ่ม ‘คู่ชิปลับในวงการบันเทิง’ ดีรึเปล่า แต่เสียงพี่แทนก็ทำให้ฉันหลุดจากความคิดนั้นไป
“รับบทนำนะมิ้น” เขายื่นบทฉบับหนึ่งที่ดูสมบูรณ์ขึ้นให้ฉัน “บทนี้ พี่เขียนมาให้หนูคนเดียว”
“คะ?” พี่แทนมักย้ำเสมอว่าเขียนให้ฉัน ฉันชะงักไปนิด แต่ก็รีบปัดความรู้สึกแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นในใจออกไป
เขาพูดน้ำเสียงแบบละมุนนุ่ม แบบนี้กับพี่นัทรึยังนะ? หรือกับผู้ชายคนอื่นที่เขาชอบแล้วรึเปล่า? นี่ขนาดฉันฟังยังใจเต้นระทวยขนาดนี้
“บทนี้ไม่มีนางเอก ไม่มีตัวประกอบหรอกนะ มันมีแค่คนที่ทำให้เรื่องสมบูรณ์เท่านั้น”
ฉันไม่ได้ให้คำตอบอะไร ได้แต่พยักหน้าพร้อมกับรับบทนั้นมา จากนั้นเขาก็ขับรถจากไป ทิ้งฉันไว้พร้อมกับคำพูดที่ฟังแล้วใจเต้น นี่ขนาดเขาเป็นเกย์ เขายังทำให้ฉันเคลิ้มขนาดนี้ หรือว่าฉัน...จะ ‘หลงรักเกย์’ เข้าให้แล้ว
และในขณะเดียวกัน มือถือของฉันก็ได้รับข้อความจากเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกไว้ ข้อความที่ปรากฏบนนั้นคือชื่อของละครเรื่องหนึ่ง ‘รอยยิ้มของตัวจริง’
(ณ ห้องของฉัน)
ฉันวางกระเป๋าบนโต๊ะแล้วหย่อนตัวนั่งบนโซฟาในห้อง แหงนหน้ามองเพดานอยู่สักพัก ก่อนจะเปิดบทละครที่เขายื่นให้ฉันเมื่อครู่ อ่านไปได้สักพักสายตาฉันก็สะดุดกับประโยคแรกในบท ที่เขียนว่า...
‘ตัวละครนี้ ไม่ใช่นางเอก แต่คือคนที่ทำให้เรื่องราวทั้งหมดมีชีวิต’
ฉันเผลอยิ้มบาง ๆ อย่างไม่รู้ตัว แต่แล้ว จู่ ๆ รอยยิ้มนั้นก็ค่อย ๆ หายไป ‘นางเอกงั้นเหรอ...เฮ้อ’
ใคร ๆ ก็บอกว่าฉันเกิดมาเป็นนางเอก ฉันมีทุกอย่างที่นางเอกควรมี ทั้งหน้าตา บุคลิก เสียงพูดอ่อนหวาน ความตั้งใจเต็มเปี่ยม รวมไปถึงความนอบน้อม แต่มีสิ่งเดียวที่พวกเขาไม่เคยรู้และไม่เคยถาม นั่นคือฉันอยากเป็นรึเปล่า?
ฉันค่อย ๆ หลับตาลงเอนตัวลงพนักพิงโซฟา ภาพในความทรงจำค่อย ๆ ผุดขึ้นมา ราวกับเงาสะท้อนในกระจกที่ไม่มีใครได้เห็นนอกจากตัวฉันเอง
ฉันนึกถึงภาพในความทรงจำ ตอนที่อายุยี่สิบต้น ๆ เด็กจบใหม่ที่เตะตาแมวมองตั้งแต่แรกเจอ ด้วยภาพลักษณ์ของสาวหวาน ผมยาวสลวยสีชมพูดอันโดดเด่น เพียงก้าวแรกในวงการก็ได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่ จนยากที่คำว่านักแสดงหน้าใหม่จะได้รับนั่นคือบท ‘นางเอก’
ตอนนั้นฉันคิดว่าตัวเองโชคดีที่สุดในโลกกับโอกาสที่ได้รับ แต่เปล่าเลย...นั่นมันฝันร้ายต่างหาก
ฉันต้องตื่นตีสองบ้าง ตีห้าบ้าง นาฬิกาชีวิตไม่เหมือนกันสักวัน ไปถึงกองถ่ายก่อนใคร กลับทีหลังทุกคน ไม่ใช่เพราะฉันรับผิดชอบมากกว่าคนอื่นหรอก แต่เพราะฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะ ‘เหนื่อย’ เพราะถ้าฉันเหนื่อย กองก็เดินต่อไม่ได้ และที่มากกว่านั้นคือคำก่นด่าเมื่อฉันทำไม่ได้ดั่งใจพวกเขา เพราะพวกเขาเห็นว่าฉันเป็นนางเอกหน้าใหม่
วันหนึ่งฉันป่วย เป็นไข้สูงเพราะทำงานหนักมากเกินไป แต่กองถ่ายก็ต้องเดินหน้าต่อ ดังนั้นต่อให้ฉันป่วยแค่ไหน ฉันก็ต้องทำงาน
“เป็นถึงนางเอก ต้องสู้ได้สิ แค่นี้ทำไม่ได้เหรอ”
“อย่าสำออย กล้องรออยู่ไม่เห็นรึไง”
คำเหล่านั้นของพวกเขาล้วนพ่นออกมาไม่หยุด ฉันฝืนร่างกายทำตามคำสั่งจนล้มต่อหน้ากล้อง ทุกคนมองมาที่ฉันด้วยสายตาหงุดหงิด ภายในแววตาฉายชัดราวกับบอกว่า “ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องรับบทนี้แต่แรก”
แต่มีใครเคยถามฉันบ้างไหมว่า...ฉันอยากรับบทนางเอกรึเปล่า ทั้งที่พวกเขาต่างหากที่ยัดเยียดให้ฉันเป็น อีกทั้งทุกคนต่างก็เคยพูดถึงแต่ความสวยหรูให้ฉันได้ยินทั้งนั้น
นั่นแหละ...ฉันเลยเข้าใจได้ว่าการเป็นนางเอก ไม่ใช่แค่แสดงให้คนดูรู้สึกรัก รู้สึกเห็นใจ แต่ยังต้องแบกรับอะไรหลาย ๆ อย่างไว้บนบ่า ไม่ว่าจะในกองถ่าย หรือแบกคนดูก็ตาม
ดังนั้นฉันถึงอยากปรบมือให้กับนางเอกทุกคนที่ผ่านพ้นในแต่ละเรื่องไปได้ แต่ฉันไม่ขอฝืนมันแล้วล่ะ บางคนเคยบอกฉันว่าไม่อยากเป็นนางเอกแล้วจะเข้าวงการทำไม ฉันไม่ได้บอกซะหน่อยว่าฉันไม่ชอบงานแสดง ฉันรักงานแสดงมากนะ ไม่ว่าบทไหนฉันก็พร้อมรับเสมอ แต่ไม่ใช่บทนางเอกก็เท่านั้น
ฉันลืมตาขึ้นอีกครั้ง น้ำตาไหลให้เห็นในหางตาโดยไม่รู้ตัว ทำไมถึงไม่อยากเป็นนางเอก? ก็เพราะเคยเป็นแล้ว และเกือบทำให้ตัวตนของตัวเองหายไป
แต่ว่านะ...บทที่พี่แทนเขียนให้ มันกลับต่างออกไป ยิ่งประโยคที่เขาเขียนไว้ท้ายบท
‘ไม่มีคำว่านางเอก มีแต่คนจริง ที่เจ็บจริง ร้องไห้จริง และยิ้มได้จริงเท่านั้นถึงจะรับบทนี้ได้ นั่นคือ มิ้น’
ฉันวางบททับอกตัวเองไว้เงียบ ๆ ก่อนจะยกมือก่ายหน้าผาก ฉันรู้ว่าเขาคงแสดงความจริงใจในฐานะรุ่นพี่ที่เห็นความสามารถของฉันมาตั้งแต่ตอนเรียน และในฐานะผู้เขียนบท แต่การกระทำของเขาแบบนี้ ทำให้หัวใจฉันเริ่มสั่นไหวจนฉุดไม่อยู่ หลงรักเขาเข้าเต็มเปาจนกู่ไม่ขึ้นแล้วล่ะ จนฉันมองข้ามที่เขาเป็นเกย์ไปโดยสิ้นเชิง
7จะ...จูบกับเกย์ฉันเดินออกมายืนรอที่ลานจอดรถด้วยท่าทีนิ่งขรึม กอดอกทอดสายตามองรถคันหรู ที่เคยเห็นมาเพียงครั้งหนึ่งเคลื่อนมาจอดตรงหน้าฉัน แต่ฉันยังคงยื่นนิ่งทื่อ เพราะสมองยังคิดถึงบทฉากใหม่ที่ถูกยัดเข้ามาอยู่“ขึ้นมาสิครับ” พี่แทนเลื่อนกระจกรถลง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล หึ...คนที่ยัดฉากจูบมาให้ฉันดื้อ ๆ ยังมีหน้ายิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกฉันสะบัดตัวแสดงความไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะขึ้นรถของเขารถคันหรูเคลื่อนตัวอย่างนุ่มนวลบนถนนยามค่ำคืน แสงไฟข้างทาง สาดส่องลอดผ่านกระจกมากระทบใบหน้าเขาถึงฉันจะโมโหพี่แทนอยู่ แต่พอมองหน้าที่ดูเย็น ๆ นิ่ง ๆ ของเขาก็ต้องยอมรับว่าทำให้ใจสงบ หล่อราวกับฉันเอื้อมไม่ถึง ว่าแล้วก็ได้แต่อิจฉาผู้ชายชะมัด จนอยากเกิดใหม่เป็นผู้ชายไปจีบเขาบ้าง แต่ก็คงได้แต่ฝันพี่แทนยังคงขับรถด้วยท่าทีนิ่งสงบ ไม่พูดอะไรออกมา ส่วนฉันก็เอาแต่มองหน้าต่างฝั่งตัวเอง ทั้งที่ใจสับสนวุ่นวายไปหมด“มิ้น...” เสียงพี่แทนทำลายความเงียบอย่างอ่อนโยน“ว่าไงคะ” ฉันตอบกลับแต่ไม่มองหน้าเขา จู่ ๆ ฉันก็รู้สึกอยากทำให้พี่แทนรู้ว่า ฉันหงุดหงิดที่เขายัดบทให้ฉันไปจูบกับผู้ชาย (คนอื่น)“โมโหอะไร
6ห้องแต่งตัว หัวใจเต้นระริก“โอ๊ย! เหนื่อยจังโว๊ย” ฉันสบถออกมา หลังกลับมาถึงคอนโดก็แทบสลบคาโซฟา มันทั้งเหนื่อยล้าไปทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะอินไปกับบทที่ได้รับมากไปหน่อย‘วันนี้เก่งมากครับ’ จู่ ๆ คำพูดที่พี่แทนพูดกับฉัน ก็วนเวียนอยู่ในหัวไม่หยุด จากใบหน้าบึ้งตึง เผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัวจนหยิบหมอนที่อยู่ใกล้มือมาปิดหน้าตัวเอง“กรี้ด...เขาชมฉันด้วย ฉันชอบเขาจัง พี่เกย์สุดหล่อขา...” หัวใจฉันมันเต้นตุบตับ ยิ่งกว่าเข้าซีนกับพระเอกในละครที่เคยแสดงด้วยกันซะอีกเอาเถอะ ฉันก็แค่หลงรักเขาข้างเดียว ยังไงซะ...เขาก็คงไม่หันมามองฉันหรอก แต่ถึงจะปลอบใจตัวเองขนาดนั้น หัวใจก็ไม่หยุดเต้นสักที‘เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!’ ฉันตบหน้าตัวเองเบา ๆ เพื่อเรียกสติตัวเอง ก่อนจะลุกเดินไปอาบน้ำเพื่อเข้านอน(วันรุ่งขึ้น)วันนี้คิวถ่ายฉันมีซีนเดียวเท่านั้น ก็ตามที่บอกแม้ฉันจะเล่นเป็นบทนำร่วมแต่บทแม่วัยสาวของฉัน มันไม่ได้เด่นมากขนาดนั้น ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดีค่ะฉากในวันนี้ของฉันคือ รุ้งคุณแม่ยังสาว ต้องปกป้องลูกชายของตัวเองจากความจน และการโดนกดขี่จากคนรอบข้าง เสื้อผ้าที่ได้สวมใส่ก็เป็นผ้าฝ้ายสีซีด ต้องทำตัวให้ดูโทรมที่สุดเท่าที่
5 เข้ากองวันแรกวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันแรกของการถ่ายทำมาถึง แต่แทนที่ฉันจะได้สวมบทแม่ยังสาวและร้องห่มร้องไห้ในฉากแสนสะเทือนใจ กลับกลายเป็นว่าต้องมานั่ง รอ...รอ...และก็รอ เฮ้อ...สาเหตุไม่ใช่ใครที่ไหน ดีนี่ ดาราผู้รับบทช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นช่วงวัยที่มีบทมากที่สุด มาสายกว่าชั่วโมง สีหน้าเธอดูเหนื่อยล้า และซีดเผือดเหมือนยังไม่ได้นอนผู้จัดการของเธอก็เอาแต่พ่นคำหยาบออกมา แม้แต่ฉันที่ได้ยินยังรำคาญหู โวยวายเรื่องสคริปต์ เรื่องฉาก เรื่องตารางถ่ายทำที่แน่นเกินไป ฉันที่นั่งฟังเงียบ ๆ พานนึกในใจว่าไม่ใช่ที่ดีนี่ไม่พร้อมหรอก น่าจะเป็นผู้จัดการของเธอต่างหากที่ไม่พร้อมจะทำหน้าที่นี้ฉันยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้เพื่อรอคิวถ่าย แต่...ดีนี่แสดงได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ผ่านไปเทคแล้วเทคเล่าเกือบยี่สิบรอบ ผู้กำกับเริ่มถอนหายใจแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทีมไฟ ทีมกล้องเริ่มเบือนสายตาจากจอมอนิเตอร์ หันมามองหน้ากันแทนและคิวของฉันก็ถูกเลื่อนออกไปเรื่อย ๆ แต่ที่น่าหนักใจกว่า คือดีนี่เริ่มร้องไห้หนัก เธอนั่งขดตัวอยู่มุมห้องจนไม่ม
4บทบาทนักแสดงพี่แทนยังคงส่งข้อความหาฉันไม่หยุดเพื่อถามความคืบหน้าว่าฉันจะรับเล่นบท ‘แม่วัยสาว’ รึเปล่าเล่นทั้งโทร ทั้งส่งข้อความ ด้วยน้ำเสียงหล่อละมุน ปนลูกอ้อนแบบนี้ ถึงใจฉันจะแข็งเป็นหิน แต่น้ำหยดลงหินทุกวันมันก็...แถมวันนี้พี่แทนยังสั่งให้พี่กรีนผู้จัดการส่วนตัวของฉัน มาหาฉันถึงห้องเพื่อรอฟังคำตอบ นี่เขากะจะมัดมือชกฉันชัด ๆ“มิ้น รับเล่นบทนี้เถอะ ถือว่าพี่ขอร้องพี่ไม่อยากโดนไล่ออกนะ” พี่กรีนยกมือไหว้ฉันทำเอาฉันตกใจ จนต้องรีบจับมือเขาไว้ให้เขานั่งลง“เดี๋ยวสิพี่กรีน พวกเขากดดันพี่ขนาดนั้นเลยเหรอคะ” ฉันเบิกตาโพลงมอง“ก็ไม่ได้พูดหรอก แต่พี่รู้สึกว่าทางคุณแทนเขาตั้งใจสร้างเรื่องนี้มากจริง ๆ ทุกคนก็คาดหวังว่ามิ้นจะรับเล่น ตอนนี้เหมือนสายตาพวกเขาจ้องมาที่พี่หมดเลยนะสิ พวกเบื้องหลังก็ทักมาไม่หยุดหย่อน ขอร้องนะน้องมิ้น งานอื่น ๆ พี่ไม่เคยจะบังคับ ตามใจมิ้นมาตลอด แต่เรื่องนี้พี่ขอเถอะนะ รับบทนี้นะ” น้ำเสียงที่สั่นเครือของพี่กรีนทำให้ฉันยิ่งรู้สึกว่าการไม่รับบทนี้ส่งผลกระทบให้ใครต่อหลายคนเกินไป“พี่กรีน พี่ไปดื่มน้ำเย็นให้หายร้อนก่อนดีไหม เดี๋ยวมิ้นขออ่านบทที่พี่แทนให้มาก่อน” พี่กรีนเงยห
3ซีนเดียว...ล้านวิวหลังจากฉันถ่ายทำบทแม่นางเอกละครเรื่องนั้นจบไป ฉันก็มีเวลาพักผ่อนนั่งไถโซเชียลเสียที ว่าผลตอบรับละครเป็นไงบ้างหลังออกอากาศไปห้าตอน เพราะยังไงซะบทฉันก็มีแค่ช่วงต้น ๆ กับตอนท้ายเท่านั้นแหละตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะเป็นนักแสดงตัวประกอบ เคยอยู่วงการบันเทิงมานานพอจะรู้ว่า ‘ซีนแม่ร้องไห้’ ยังไงมันก็ไม่ใช่ไฮไลต์หรอก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับความรันทดของนางเอกกับพระเอก แต่...#ละครคุณแม่ปังมาก#แม่นางเอกเล่นดีเกิน#แท้จริงมิ้นคือนางเอก#ขอซีนแม่นางเอกเพิ่มได้ไหม#ร้องไห้ตามแม่เลยอ่ะT_T“อะไรกันเนี่ย!” ฉันพึมพำกับตัวเองขณะเลื่อนหน้าโซเชียลบนมือถือ เทรนด์แท็กอันดับ หนึ่งถึงห้าของประเทศ ณ เวลานี้ เป็นบทแม่ที่ฉันแสดงทั้งหมด แถมหลายคนยังตัดคลิปฉากฉันร้องไห้เต็มหน้าฟีดในนั้นมีคลิปหนึ่งที่ถูกรีทวีตเกือบเก้าหมื่นครั้ง เป็นคลิปตัดฉากฉันในบทแม่วิภา กำลังร้องไห้บอกลาลูกสาว ก่อนจะเดินหันหลังกลับไปพร้อมเสียงสะอื้นเงียบ ๆคลิปยาวไม่ถึงนาที ฉันจำได้ว่าใช้เวลาถ่ายจริง ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ‘Rrrrr’เสียงมือถือฉันดังขึ้นและพบว่า พี่กรีนผู้จัดการส่วนตัวของฉันโทรมา(นี่...มิ้นเห็นแท็กใน
2เพราะบทนำ...มันเหนื่อยเกินไป(หลังจากเลิกกอง)ฉันได้นำขนมที่เตรียมไว้แจกจ่ายให้กับทีมงานทุกคนเพราะไม่ใช่แค่นักแสดงที่เหนื่อยกับการทำงาน แต่ทีมงานทุกคนที่อยู่เบื้องหลังก็เหนื่อยไม่ต่างกัน แถมพอเลิกกองพวกเขาก็ยังไม่เลิกงานอีกสิ่งที่ฉันทำได้นั้นคือตั้งใจในสายอาชีพ ยิ่งฉันแสดงได้ดีเท่าไหร่ งานของพวกเขาก็จะเดินเร็วมากขึ้น (นักแสดงคนอื่นก็ต้องให้ความร่วมมือด้วยนะ)ในขณะที่ฉันกำลังจะโทรหาผู้จัดการส่วนตัว เสียงเปิดประตูห้องแต่งตัวก็ดังขึ้น“จะกลับเลยไหม เดี๋ยวพี่ไปส่งหนูเอง” ฉันหันหน้าไปทางเสียงนั้น‘พี่แทนเหรอ?’ พี่แทนที่นิ่ง เงียบ สุภาพเกินมนุษย์ปกติ แถมพูดเพราะเหมือนหลุดจากพระเอกในละคร ‘โอ๊ย! แบบนี้ยิ่งใช่เลย! เกย์ในอุดมคติ’“เอ่อ...เกรงใจค่ะพี่ เดี๋ยวพี่กรีนก็ไปส่งอยู่แล้ว” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเบาอย่างสงบเสงี่ยมเช่นกัน ยังไงซะเขาก็เป็นถึงผู้อำนวยการ อีกทั้งยังเป็นคนเขียนบทอีกไม่ใช่แค่นั้น ไม่นานมานี้ฉันก็เพิ่งได้รู้มาว่า ต้นสังกัดของฉันก็กลายเป็นบริษัทในเครือของบริษัทครอบครัวเขาไปแล้ว“หื้ม...คุณกรีนเหรอ เขากลับไปแล้วนะ เมื่อกี้พี่เห็นเขาโดนเรียกตัวด่วนจากบริษัทนะครับ”“ว่าไงนะ! แล้ว