LOGIN
(กองถ่ายละคร)
ฉันเดินทางมาก่อนเวลาตามนัดของกองถ่าย เข้ามานั่งที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ในห้องพักส่วนตัวริมห้องมุมเดิม ข้างตัวฉันยังคงมีบทละครที่ถูกยัดใส่มือไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนตอนถ่ายบทคนใช้ของนางเอก
พี่กรีนผู้จัดการส่วนตัวของฉัน อยากให้รับบทนี้มาก ๆ แต่ฉันยังไม่รับปากหรอก ถึงจะเป็นพี่แทนก็เถอะ เพราะคำปฏิญาณในใจฉันมันยังหนักแน่น ตอนนี้แค่เห็นมันฉันก็รู้สึกตื่นกลัวอยู่เลย
“น้องมิ้น พี่อยากถามตั้งนานแล้ว ผู้ชายคนนั้นที่ยื่นบทให้น้องมิ้นวันก่อน เขาเป็นใครเหรอคะ?” เสียงพี่เนย เมคอัพอาร์ติสประจำตัว เอ่ยถามอย่างไม่อ้อมค้อมระหว่างทาแป้งพัฟที่แก้มฉันเบา ๆ
“เขาเป็นรุ่นพี่สมัยเรียนมหาลัยค่ะ” ฉันตอบเรียบ ๆ “ไม่เจอกันนานมากแล้วค่ะ จนเกือบจะลืมชื่อเขาไปแล้วด้วยซ้ำ” ฉันยิ้มตอบ
“แต่เขาทักน้องมิ้นทันทีเลยนะ เหมือนไม่เคยลืมน้องมิ้นเลย ฮ่า...” พี่เนยหัวเราะเบา ๆ แซวฉันก่อนพูดเสริม “เดินเข้ามาปุ๊บ ยื่นบทให้ปั๊บ แถมยังเรียกชื่อจริง ไม่ธรรมดาเลยนา...” สิ่งที่พี่เนยพูด ทำเอาฉันเงียบ ไม่ใช่เพราะฉันเขินหรอก แต่ฉันไม่แน่ใจต่างหากว่าเขาเข้ามายื่นบทนี้ให้ฉันเพราะบังเอิญหรือว่าจงใจกันแน่ เป็นใครก็ต้องงงไหมล่ะ
ฉันรู้ดีว่า...ชื่อของเขาคือ ‘แทนคุณ ณรงค์วิทย์’ เป็นถึงลูกชายเจ้าของเครือสื่อระดับประเทศ ช่องโทรทัศน์ นิตยสาร เว็บไซต์ และอีกมากมายเกี่ยวกับโซเชียล ที่ใหญ่พอจะล้มดาราดังให้กลายเป็นดาราดับได้ภายในวันเดียว
แต่หลังจากเขาเรียนจบ ฉันก็ไม่ได้ข่าวอีกเลย แม้แต่ในข่าววงการสื่อบันเทิงที่เป็นธุรกิจของบ้านเขา ก็ไร้เงาข่าวของเขาเช่นกัน
ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหน และไม่มีใครคิดว่าเขาจะกลับมาในฐานะคนเขียนบทแบบนี้ แม้แต่ฉันเองด้วย
ความทรงจำของฉันที่มีต่อเขา ค่อนข้างน้อยมากเพราะไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น เราได้เจอกันเฉพาะกิจกรรมของคณะ เนื่องจากเรียนคณะเดียวกัน
ฉันเคยนั่งหลังเขาในคลาสสื่อสารมวลชนที่เป็นวิชาเลือก แอบมองหลังคอเขาบ่อย ๆ และไม่เคยคิดว่าเขาจะจำฉันได้ด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะเสื้อแจ็คเกตที่ฉันให้เขายืมไปรึเปล่านะ เขาเลยยังจำฉันได้ดี
“ว่าแต่บทที่จะเล่นวันนี้มันเป็นบทแม่ของนางเอกไม่ใช่เหรอคะ แล้วที่ถืออยู่นั่นมัน…บทนำวันก่อนนินา หรือว่าน้องมิ้นจะ...” พี่เนยถามอีกครั้ง
“บทที่จะเล่นวันนี้ มิ้นจำได้ขึ้นใจแล้วค่ะ ส่วนบทที่ถืออยู่ มิ้นไม่ได้ตอบตกลงหรอก แค่อยากลองอ่านสักหน่อย อย่างน้อยก็เป็นบทที่คนรู้จักเขียนน่ะพี่” ฉันยิ้มให้พี่เนยแล้วเปิดบทเล่มนั้น...หน้าที่หนึ่ง
‘คนคนหนึ่ง...เดินผ่านเข้ามาในชีวิตของทุกคนเหมือนเงา แต่กลับส่องสว่างขึ้นทุกครั้ง...ที่ถูกมองเห็น’
ฉันอ่านในใจแล้วชะงัก นี่มันไม่ใช่บทเปิดละครรึเปล่ามันน่าจะเป็นถ้อยคำของใครบางคน
ฉันยังคงไม่เข้าใจแต่ก็พลิกไปอีกหน้า พบว่าเนื้อหาทั้งหมดไม่ใช่บทละครฉบับเต็ม แต่เป็นเพียง ‘บทร่าง’ ที่เขียนขึ้นด้วยภาษาเหมือนกำลังพูดกับฉัน
บทนำที่ไม่มีคำว่า ‘นางเอก’ หรือ ‘ตัวประกอบ’
มีแค่บทของ ‘ผู้หญิงคนหนึ่งที่หายไปจากแสงไฟ ทั้งที่เธอคือคนเดียวที่เคยสว่างโดยไม่ต้องมีไฟส่องแสง’
“ประโยคนี้มัน...”
ฉันอ่านจบในสิบห้านาที และในขณะนั้นเอง...มือของฉันก็วางบทลงช้า ๆ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ อยู่ในภวังค์แห่งความคิดไปต่าง ๆ นานา
“คุณมิ้นคะ กองพร้อมแล้วค่ะ” เสียงของคนในกองถ่ายเรียกฉัน และนั่นก็ทำให้ฉันต้องสลัดความคิดทุกอย่างที่ฟุ้งซ่านออกจากสมองไปให้หมด
“แอคชั่น!” เสียงตะโกนจากผู้กำกับในกองถ่ายดังกึกก้องกลางสตูดิโอ ฉันนั่งยอง ๆ ข้างเตียงไม้เก่า มือเล็ก ๆ สั่นระริกถือถ้วยข้าวต้มที่พร็อพจัดไว้ให้ ริมฝีปากคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน ราวกับคนผ่านโลกมามากกว่าห้าสิบปี แม้อายุจริงของฉันจะเพิ่งยี่สิบปลาย ๆ ไม่กี่เดือนก่อนนี้เอง
“ลูก...กินข้าวเถอะนะลูก เดี๋ยวไม่มีแรงนะจ๊ะ” เสียงฉันเอื้อนเอ่ยอย่างระมัดระวัง จังหวะเนิบช้า และอ่อนโยนแบบแม่ในละครน้ำเน่าเป๊ะ!
กล้องซูมเข้าไปที่หน้านางเอกของเรื่อง ซึ่งกำลังแกล้งหายใจรัวระรินเหมือนจะตายรอมร่อ ส่วนฉันอยู่ในเฟรมมุมล่างสุดของภาพ เห็นหน้าแค่ครึ่งเท่านั้นแหละ
แต่นะ...ฉันเต็มที่กับบทของฉันเสมอ ต่อให้จะไม่ใช่นางเอก ต่อให้ไม่มีใครพูดถึง ฉันก็ไม่แคร์หรอก ฉันมีความสุขจะตาย เมื่อได้แสดงบทเล็ก ๆ แต่ท้าทายแบบนี้ ยังไงก็ได้เงินอยู่ดี
“แม่จะอยู่กับลูก...จนถึงลมหายใจสุดท้ายนะ”
“คัต!”
เสียงสั่งคัตดังขึ้นในจังหวะที่พอดีเป๊ะ ทำเอาฉันถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ก่อนจะลุกขึ้นช้า ๆ แล้วยิ้มให้กับทีมงาน
‘แต่ว่านั่งนานไปหน่อยปวดเข่าชะมัด’
“ดีมากเลยค่ะพี่มิ้น ฉากนี้อินมากเลยค่ะ หนูร้องไห้ตามเลย” ผู้ช่วยผู้กำกับยื่นทิชชูให้ฉันซับหน้า
“ขอบคุณค่ะ” ฉันตอบเสียงหวานก่อนจะเช็ดน้ำตาเล็ก ๆ ของตัวเองเบา ๆ
“แม่เล่นดีมากเลยค่ะ” เสียงนางเอกหน้าใหม่มาแรงที่รับบทลูกสาวดังแทรกขึ้นมา พร้อมรอยยิ้มกว้างที่สดใส
“ไม่ใช่แม่จริง ๆ ก็ต้องให้เหมือนแม่จริง ๆ ล่ะเนอะ” ฉันแซวขำ ๆ “น้องฟ้าเองก็เล่นได้สบายขึ้นเยอะเลยนะ”
แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งประกาศกลางกอง
“เทคนี้ผ่านครับ! พี่แทนบอกให้ข้ามเข้าฉากสามต่อได้เลย” ฉันชะงักเล็กน้อย กับคำว่า ‘พี่แทนบอกว่า’ ก็เขานั่นแหละคนเขียนบท คนที่เข้ามาช่วยผู้กำกับ คนที่อนุมัติทุกซีน และเป็นคนที่เขียนบทแม่นี้ขึ้นกะทันหัน จนผู้กำกับยังต้องเรียกฉันมาอย่างชุลหุก นี่สินะผู้กำกับเงาที่ไม่เคยเห็นและเพิ่งได้รู้จัก
มาตอนนี้ ก็โดนดึงมาแสดงตัวประกอบอย่างแม่ที่โผล่หน้ามาในตอนสุดท้ายเนี่ยแหละ ไม่รู้ฉันคิดไปเองรึเปล่า ว่าเขาเหมือนกำลังกดดันให้ฉันรับ ‘บทนำ’ เรื่องนั้นอยู่
การถ่ายทำฉากสามเริ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่มีพัก ฉันเองอารมณ์ก็กำลังมาเต็มที่ ในขณะที่ต้องนั่งยอง ๆ ถ่ายกับนางเอกที่ป่วยบนเตียง น้องนางเอกคงยังใหม่มาก พานทำให้ต้องถ่ายไปหลายเทคพอสมควร
“มุมกล้องปรับให้มิ้นอีกนิดนะ ซีนเมื่อกี้สื่ออารมณ์ได้ดีเลย” เสียงทุ้ม นุ่มละมุนนั้น ดังขึ้นจากด้านหลังฉัน ไม่ใช่ใครอื่นหรอก ก็พี่แทนนั่นแหละ ฉันหันไปยิ้มตามมารยาทเอ่ยกับเขา “ขอบคุณค่ะ ผอ.”
พี่แทนยิ้มบาง ดวงตาเหมือนจ้องสำรวจอะไรบางอย่าง พานทำให้ฉันต้องกลับมามองรอบ ๆ ตัวเองว่ามีอะไรผิดปกติไปรึเปล่า
“ถ้ามีอะไรไม่สะดวก บอกได้เลยนะ พี่ตั้งใจเขียนบทนี้ไว้ให้จริง ๆ” พี่แทนย้ำกับฉันเรื่องเขียนบทแม่ให้ฉัน แต่ทำไมฉันกลับนึกไปถึงบทนั้นซะมากกว่า
“พี่แทนคาดหวังมิ้นขนาดนี้ก็แย่สิคะ” ฉันเท้าสะเอวเลิกคิ้วตอบเสียงเรียบ ๆ แต่ก็แฝงด้วยแววขำ
“ก็หนูเก่ง พี่ชมจริง ๆ” เขาพูดพลางหันไปส่งแผ่นคิวซีนให้ผู้ช่วยข้างตัวเอง
“หนูขอรับคำชมไว้แล้วกันค่ะ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าไม่ได้คะแนนพิเศษจากมิ้นหรอกนะคะ” ฉันยกยิ้มมุมปาก ภายในใจก็ยังคงสงสัย ถ้าเขาเป็นผู้ชายทั่วไปฉันคงคิดว่าเขาจีบฉันรึเปล่า แต่นี่...เขาเป็นเกย์ แล้วจะเขียนบทแม่ลูกซึ้ง ๆ ให้ฉันทำไม หรือว่าจู่ ๆ ก็คิดถึงมิตรภาพสมัยเรียนขึ้นมา เอาจริงก็ไม่ได้สนิทกันมากขนาดนั้นซะหน่อย
“คุณแทนครับ คิวซีนห้า เดี๋ยวต้องรันก่อนบ่ายสองนะครับ แต่วันนี้ถ่ายไปหลายเทคแล้ว ไม่รู้ว่า คุณมิ้นยังไหวอยู่ไหม” เสียงผู้ช่วยวิ่งเข้ามาสะกิดเขา
“ไหวสิ...” พี่แทนตอบก่อนที่ฉันจะเปิดปากเสียอีก “ฉากห้า ถ้ามิ้นไม่อยู่ ผมก็ไม่ถ่ายให้” คำพูดนั่นทำเอาผู้ช่วยเลิ่กลั่ก ส่วนฉันเองก็ต้องหรี่ตามองเขา
“ผอ. อยากชมฉันแบบตรง ๆ ก็ชมเลยค่ะ ไม่ต้องพูดอ้อมค้อมก็ได้ ฉันไม่เขินหรอก ฉันชิน...คำชมฉันได้รับมันมาบ่อยแล้ว ทำมาเป็นบอกไม่มีมิ้นจะไม่อยู่ถ่ายขนาดนี้ เดี๋ยวคนก็เต้าข่าวเสีย ๆ หาย ๆ หรอกค่ะ” ฉันพูดแบบประชดปนขำ เขาเองก็หัวเราะเบา ๆ
“งั้นพี่จะชมเธอตรง ๆ ก็ได้” เขาเว้นจังหวะนิดหน่อย พานดึงสายตาให้ฉันหันไปสบตาอีกครั้ง “หนูเก่งกว่าที่พี่คาดไว้เยอะ จนอยากถ่ายทุกฉากที่มีหนูเลย” สิ้นคำ ฉันเงียบไปสักพัก แต่ก็แกล้งแซวกลับ
“แหม...ชมแบบนี้ระวังนะคะ คนจะหาว่าจีบตัวประกอบแบบหนู” พี่แทนไม่พูดอะไร เขาเพียงยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเดินกลับไปยังมุมจอมอนิเตอร์ โดยมีผู้ช่วยเดินตามหลัง
แต่จะว่าไป เกย์หล่อเรียกฉันว่า ‘หนู’ นี่ทำเอาใจสั่นเหมือนกันนะเนี่ย ฮี่ฮี่...
[TAN PART]
“คุณแทนครับ ถามจริง...จีบน้องมิ้นรึเปล่าเนี่ย ไม่ได้นะครับผมชอบก่อน” ผู้ช่วยกล่าวแบบนั้น ผมเพียงแต่ยื่นแฟ้มบทให้ผู้ช่วยพลางพูดเรียบ ๆ ว่า
“เรื่องหน้าขอเพิ่มฉากแม่ลูกร้องไห้เป็นพิเศษหน่อยนะ ผมเชื่อว่าตัวประกอบคนนี้...จะขโมยซีนได้แน่”
[END TAN PART]
ห้องรับรองหลังฉากในสตูดิโอรายการ ‘4 แซ่บบันเทิง’ แม้จะเย็นฉ่ำจากแอร์ แต่มันก็ไม่สามารถดับความประหม่าในใจฉันได้เลยสักนิด“พี่...แน่ใจเหรอ ว่าเราควรมานั่งให้สัมภาษณ์แบบนี้ มันจะไม่โหนกระแสไปหน่อยเหรอคะ” ฉันหันไปกระซิบถามพี่แทนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พลางจับมือเขาแน่นจนชื้นเหงื่อ“แน่ใจสิครับ ไหน ๆ ก็เปิดตัวแล้ว เราก็ควรจะไปให้สุด” เขาตอบพร้อมรอยยิ้มอย่างใจเย็นใจ ฉันพ่นลมหายใจยาวใช้หลังมืออีกข้างแตะหน้าผากตัวเองเบา ๆ ได้แต่ภาวนาให้ฉันอย่าหลุดพูดอะไรแปลก ๆ เลยเถอะ“อีกสิบนาที เตรียมตัวนะคะ” หนึ่งในทีมงานเดินเข้ามาแจ้ง ก่อนจะหันมายิ้มให้ฉันอย่างเป็นกันเอง “ไม่ต้องเกร็งนะคะคุณมิ้น แฟน ๆ ตอนนี้ยอดคนดูรอแล้วกว่าแสนคน” ฉันพยักหน้ารับ ขณะที่พี่แทนหันมากระซิบข้างหูกันเบา ๆ“ไม่ต้องกลัวนะครับ พี่อยู่ตรงนี้ตลอด” แม้หัวใจฉันจะเต้นแรง แต่เพียงเขาพูดแค่นี้ก็ทำให้ฉันสงบลงได้ ใช่...ต่อจากนี้เราจะไม่ต้องแอบ ไม่ต้องหลบ และปิดบังอีกต่อไป(หน้าฉากสตูดิโอ รายการ 4 แซ่บบันเทิง)“ว้าว...ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้นั่งสัมภาษณ์สองคนนี้ในฐานะ ‘คู่รัก’ ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับความรักครั้งนี้ด้วยนะคะ คุณแทนและคุณมิ้น”
นาฬิกาชีวิตปลุกให้ฉันตื่นขึ้นอัตโนมัติ กิจกรรมร่วมรักบนเตียงเมื่อคืนส่งผลให้ความปวดร้าว หนักหน่วงคืบคลานไปทั่วร่างแม้จะตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ฉันก็ยังขยับตัวลำบาก เนื่องจากสองแขนแกร่งของคนนอนข้างกายยังคงรัดแน่นไม่ยอมปล่อยราวกับกลัวว่าฉันจะหนีหายไปพี่แทนยังคงหลับสนิท ฉันหันไปจ้องหน้าเขาชัด ๆ ยิ่งมองยิ่งรู้สึก...หล่อจนใจสั่น ไม่ใช่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่หัวใจที่เขามอบให้ฉันก็รับรู้ได้ทั้งหมดเขานอนตะแคงหันหน้ามาทางฉัน มือหนึ่งยังพาดอยู่บนเอวฉัน“โธ่เอ้ย...พอหลับแล้วไม่เห็นจะดูเจ้าเล่ห์เลยนะ” ฉันยิ้มพึมพำเบา ๆ ขณะใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้าหล่อเขาให้เห็นเด่นชัดฉันเอี้ยวตัวอย่างเบามือ ให้ตัวแนบชิดกับเขามากกว่าเดิม ซบหน้าลงกับอกแกร่งฟังเสียงหัวใจของเขาที่ยังเต้นแรงอยู่“เมื่อวานที่หนูบอกว่า...ไม่อยากแพ้พี่” ฉันกระซิบเบา ๆ กับตัวเอง “ไม่ใช่เพราะหนูอยากเอาชนะ” ฉันยิ้มพลางขยับใบหน้าเบา ๆ เพื่อรับไออุ่นมากขึ้น “แต่หนูอยากให้พี่เห็นว่า หนูก็พร้อมมอบความรักให้พี่เช่นกันค่ะ”เขาขยับตัวเล็กน้อย มือที่กอดฉันไว้กระชับแน่นขึ้น ทำฉันสะดุ้งจนกระตุกวูบ“แกล้งหลับอยู่ใช่ไหมคะ...” ฉันแหงนหน้ามอ
ฉันยังชันเข่าอยู่ตรงหน้าเขาแบบนั้น แต่อารมณ์ในตอนนี้ไม่ใช่แค่นั่งเฉย ๆ อีกต่อไป สองเราลูบไล้และทอดนัยน์ตายั่วยวนกันและกัน โดยไม่มีใครยอมใครมือฉันแนบอยู่บนอกแกร่ง มือเขาแนบอยู่ที่แผ่นหลังฉัน พลางไล้นิ้วไปตามสันหลังก่อนจะหยุดตรงกลางหลังแล้วพยายามเร่งโน้มตัวฉันลงไปอีก แต่ฉันไม่ยอมหรอก“จะรีบร้อนทำไมคะ” ฉันกระซิบแหบพร่า พร้อมกดมือบนอกแกร่งเขาเบา ๆ จงใจถ่วงเวลาไว้พี่แทนยิ้มแฝงด้วยจิตวิญญาณนักล่าที่รู้ว่าคนตรงข้ามอย่างฉันกำลังเล่นเกมด้วยความรู้สึกเดียวกัน“ไม่ได้รีบร้อน แค่รู้สึกว่าถ้าพี่ปล่อยให้หนูคุมเกมมากกว่านี้ พี่อาจจะหมดแรงก่อนได้เริ่มจริง”“แปลว่าเริ่มกลัวหนูแล้วสินะ”“ไม่ได้กลัว...แค่ไม่ประมาทครับ” ฉันยกยิ้มมุมปากโน้มใบหน้าเข้าใกล้ใช้เรียวลิ้นร้อนไล้เลียไปตามแนวหลังใบหู สันกรามเบา ๆ ขณะที่มือฉันเริ่มเคลื่อนไปตามอารมณ์สอดเข้าในเรือนผมของเขาพลางขยุ้มเบา ๆเขาชะงักเล็กน้อยกับสัมผัสบางเบานี้“ถ้าเล่นแรงแบบนี้ พี่คงต้องเอาจริงแล้วนะครับ” ฉันยิ้มมุมปาก ขณะใช้มืออีกข้างลูบไปตามแนวแขนแกร่งเขา“ก็รออยู่นี่ไงคะ จะเอายังไงก็เชิญ พร้อมรับแรงกระแทกเสมอ” สิ้นคำสิ่งที่เขาตอบกลับมาคือการกดจูบอีก
“โอเคครับ กล้องพร้อม! ไฟพร้อม! แอคชั่น!” เสียงผู้กำกับดังขึ้นท่ามกลางกองถ่ายบ้านหรูปลีกวิเวกที่แสนสงบ เราสวมชุดนักแสดงเต็มยศ ฉันอยู่ในชุดเดรสลูกไม้สีฟ้าอ่อน พี่แทนอยู่ในชุดเชิ้ตขาวพับแขนกับกางเกงสแล็คเข้ารูปบรรกาศโดยรอบเงียบลงอย่างรวดเร็ว ทุกคนอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ของตน...ฉากที่เรากำลังจะถ่ายกันคือ ‘ฉากจูบแรก’ ของพระเอกและนางเอกในละครเรื่อง รอยยิ้มของตัวจริง ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวละครหลัก โดยก่อนหน้านี้มีแต่การปะทะอารมณ์และเข้าใจผิดมาโดยตลอด ‘ในการถ่ายทำชื่อตัวละครในเรื่อง คือชื่อพวกเราเลย แต่ในเมื่อคนเขียนบทอย่างพี่แทนเขียนมาแบบนั้น ฉันก็เออออไปตามนั้นแหละ’และตอนนี้ พี่แทนกำลังจะจูบฉัน“มิ้น...” เสียงเขาเรียกเบา ๆ ขณะยืนห่างฉันไม่ถึงฝ่ามือ นัยน์ตามีความลังเลปนกับความรู้สึกบางอย่าง“มิ้นรู้ไหม ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน พี่ไม่เคยหันไปมองใครอีกเลย” บทละครบอกให้ฉันต้องนิ่ง น้ำตาคลอ ตัวสั่นนิด ๆ และปล่อยให้เขาโน้มตัวเข้ามาช้า ๆ ฉันทำตามบททุกอย่างอย่างมืออาชีพ และที่สำคัญฉันใส่หัวใจตัวเองลงไปเล่นด้วยริมฝีปากของพี่แทนเคลื่อนเข้ามาใกล้ ใกล้จนฉันได้กลิ่นหอมจาง ๆ จา
หลังกลับมาจากการพักผ่อน ชีวิตนักแสดงสาวก็เข้าสู่วังวนการทำงานที่คุ้นเคย ตอนนี้ชื่อเสียงของฉันทวีคูณมากขึ้น ตั้งแต่ฉันเปิดใจว่าจะรับบท ‘นางเอก’ ก็มีผู้ผลิตละครหลายเจ้ายื่นเสนอมาให้พิจารณาบทเป็นกอง แต่...เรื่องพวกนั้นเอาไว้ทีหลังก่อน เพราะการกลับมาเล่นบทนำในครั้งนี้ ยังไงซะฉันก็ตัดสินใจจะเล่นให้กับละครที่แฟนของฉันเขียนขึ้นมาก่อนวันนี้เป็นวันแถลงข่าวเปิดตัวนักแสดงนำของละครเรื่อง รอยยิ้มของตัวจริง อย่างเป็นทางการ ฉันมาในชุดเดรสสีดำ ผมชมพูฟาร่าลอนสวย ชนิดที่เดินผ่านคนไหนก็ต้องเหลียวหันมามอง อาจเป็นเพราะก่อนหน้าฉันรับแต่บทตัวประกอบเวลามีงานแถลงข่าวก็ไม่ได้ถูกเชิญขึ้น“พี่กรีน พี่พอรู้รึเปล่าว่าเรื่องนี้ ใครรับบทพระเอก” ฉันหันไปถามผู้จัดการส่วนตัว เอาจริงนะ ฉันไม่รู้อะไรเลยว่าใครแสดงบ้าง บทจริงยังไม่เห็นด้วยซ้ำ แต่เพราะมั่นใจในตัวพี่แทน ฉันเลยไม่ได้ซีเรียสอะไร“ไม่รู้สิ ผู้ผลิตเขาไม่ได้แจ้งอะไรเพิ่มเติมมาเลย ลึกลับมาก”“งั้นเหรอคะ” ฉันเลิกคิ้ว แต่สุดท้ายก็เลิกที่จะสนใจมันไปไม่นานนัก มีทีมงานเรียกให้ฉันเตรียมพร้อมรอขึ้นเวทีอยู่ด้านข้าง“เรียนสื่อมวลชนทุกท่าน กรุณาเตรียมกล้องให้พร้อมนะครับ เ
เสียงนกร้องเบา ๆ จากยอดไม้ข้างนอกดังลอดเข้ามาในเต็นท์ ทำให้เปลือกตาฉันที่หลับสนิทค่อย ๆ ตื่นขึ้นมา วินาทีแรกที่ได้กลิ่นไอดินปะปนกับกลิ่นหญ้าเปียกหลังฝนจางเมื่อคืนที่ผ่านมา ความสดชื่นก็แผ่ไปทั่วร่างร่างฉันยังซุกแนบอยู่ในอ้อมกอดพี่แทน ใบหน้าแนบชิดกับอกแกร่งอย่างเคยใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ฉันรับรู้ได้ถึงลมหายใจของเขาที่รินรดบนหัว เสียงลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกได้ว่าหลับสนิทมากเพียงใดฉันขยับตัวเล็กน้อย แต่ยังไม่กล้าเปลี่ยนท่าทางมาก เพราะกลัวจะรบกวนการนอนของเขา แต่ก็ได้แค่คิด...“หนาวเหรอ?” เสียงทุ้มงัวเงียกระซิบชิดข้างหูฉัน ฉันเงียบไปอึดใจก่อนจะส่ายหน้าเล็ก ๆ แล้วตอบกลับเบา ๆ“เปล่าค่ะ...แค่ยังไม่ชินปกตินอนคนเดียวมาตลอด” พี่แทนขยับตัวเล็กน้อยสองแขนกอดรัดฉันแน่นขึ้น“ก็ทำให้ชินสิครับ” เขาขยับหัวมาแนบแก้มนุ่มฉัน ริมฝีปากแตะหน้าผากอย่างแผ่วเบาก่อนพึมพำต่อ “ถ้าเราตื่นมาแบบนี้พร้อมกันทุกวันก็ได้นะ ถ้าหนูไม่เบื่อ”ฉันยิ้มมองใบหน้าคมที่ปรือตามองฉันเพราะเพิ่งตื่นนอน“หนูไม่เบื่อหรอกค่ะ แต่กลัวว่าจะเป็นพี่มากกว่าที่เบื่อก่อนหนูก็ได้” ฉันพูดจบเขาก็ลากนิ้วไล้กรอบหน้า ก่อนจะหยุดที่ริมฝีปากฉัน“ทั้งที่เพิ่







