หลังวางที่นอนทั้งสามชุดลงไปเสร็จ ซูเมี่ยวจินได้แต่มองสิ่งของที่อัดแน่นอยู่หลังกระบะอย่างคาดไม่ถึง เธอไม่อยากคิดเลยว่าถ้าไม่ซื้อรถคันนี้ พวกเขาจะขนของมากมายกลับบ้านกันได้ยังไง
“ฉางเล่ย ฉันอยากซื้อจักรยานให้พ่อแม่กับน้องสาวค่ะ คุณคิดว่ายังไง”
“แต่ผมกลัวเงินจะไม่พอนะครับ ตอนนี้เงินที่เหลืออยู่กับผมมีแค่ 470 หยวน” ฉางเล่ยกังวลว่าเงินที่เหลือจะไม่พอจัดงานแต่งงาน เพราะพวกเขายังไม่ได้ซื้อของสำหรับทำอาหารเลี้ยงแขกกันเลย
“เงินที่เหลืออยู่กับฉันยังมีอีกสองพันห้าร้อยหยวนค่ะ คุณไม่ต้องกังวลนะ”
“อ่า… ตกลงครับ แต่ว่าถ้าเราซื้อข้าวสารกับอาหารแห้ง เราจะวางของทั้งหมดยังไงกันล่ะครับ ไหนจะจักรยานอีกสองคัน” ฉางเล่ยเห็นของเต็มหลังกระบะจึงกังวลอีก
“เอาแบบนี้ เราจัดของหลังรถกันใหม่ดีไหมคะ เอาที่นอนวางด้านล่าง แล้วค่อยวางถุงที่เบากว่าไว้ด้านบน ยังไงที่นอนพวกนี้ก็ห่อมาอย่างดี ไม่มีทางสกปรกแน่”
“ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นคุณขึ้นไปด้านบนดีไหม ผมตัวใหญ่เกินไป กลัวว่าจะจัดของไม่สะดวกน่ะครับ” ฉางเล่ยรู้ดีว่าถ้าเขาขึ้นไปคงทุลักทุเลแย่
“ตกลงค่ะ คุณรอฉันส่งถุงพวกนี้ไปวางด้านนอกก่อน ฉันจะได้จัดของดี ๆ”
ซูเมี่ยวจินพูดจบก็ปีนขึ้นหลังรถด้วยความทะมัดทะแมง เธอกับฉางเล่ยช่วยกันทำงานอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง พวกเขาก็จัดวางสิ่งของทั้งหมดอย่างเป็นระเบียบ ทำให้ยังมีที่ว่างสำหรับใส่ข้าวสารอาหารแห้งอีกมากโข
“ภรรยา ที่เหลือแค่นี้จะวางจักรยานยังไงกันครับ” ฉางเล่ยกลัวว่าถ้าซื้อจักรยานแล้วจะไม่มีที่วางบนหลังกระบะ
“เรื่องนั้นคุณไม่ต้องห่วงนะคะ จักรยานเราค่อยซื้อเชือกมาผูกเอาไว้บนหลังคารถก็ใช้ได้แล้ว ยังไงมันก็ยัดเข้าไปในกระบะของเราไม่ได้อยู่ดี”
ฉางเล่ยพยักหน้าอย่างเข้าใจ ซูเมี่ยวจินปิดผ้าใบหลังรถอย่างแน่นหนา จากนั้นจึงเดินไปทางร้านข้าวสารที่เห็นอยู่ไม่ไกลพร้อมกับฉางเล่ย
“ข้าวสารเราซื้อสักสามกระสอบดีไหมคะ ตอนงานแต่งจะได้พอสำหรับแขก”
“ตกลงครับ คุณเลือกได้เลย ราคาที่ติดไว้ถูกกว่าในอำเภอเยอะเลย”
ฉางเล่ยดีใจที่เชื่อภรรยาเรื่องการซื้อข้าวสาร เครื่องปรุงและอาหารแห้งที่นี่ เขารู้ราคาของที่อำเภอดีว่าแพงกว่าถึงสองเท่าตัวจากราคาที่ติดอยู่ในร้านตอนนี้
ซูเมี่ยวจินไม่รอช้า เธอเลือกข้าวที่ดีที่สุดและสั่งคนงานขนใส่รถเข็นไว้ให้เธอสามกระสอบ อาหารแห้งและเครื่องปรุงรส ซูเมี่ยวจินก็เลือกซื้อไปเพิ่มไม่น้อย เธอคิดถึงตอนจะต้องจัดงานแต่งงาน แขกในหมู่บ้านมีหลายครอบครัว ถ้าจัดการไม่ดีคงถูกพวกเขานินทาว่าครอบครัวสามีเธออีก ซูเมี่ยวจินจึงไม่คิดจะประหยัดเรื่องพวกนี้แต่แรก
ฉางเล่ยมองภรรยาสั่งของจำนวนมากใส่รถเข็นของทางร้านก็ได้แต่ทอดถอนหายใจ ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยใช้เงินมากขนาดนี้มาก่อนจริง ๆ
“ไปคิดเงินกันเถอะค่ะ ฉันเลือกครบแล้ว” ซูเมี่ยวจินหันไปเรียกฉางเล่ย
“ครับ ไปกัน” ฉางเล่ยเดินตามภรรยาต้อย ๆ
เจ้าของร้านคิดเงินอย่างรวดเร็ว เขามองดูคู่สามีภรรยาทั้งสองตั้งแต่เข้าร้านมาก่อนหน้านี้ เสื้อผ้าที่พวกเขาใส่ราคาไม่น้อย ยิ่งดูคนเป็นภรรยาเดินเลือกสิ่งของอย่างไม่กระพริบตา เขาก็รู้ว่าทั้งสองมีความสามารถในการจ่ายค่าสินค้าเหล่านี้ได้
“ทั้งหมด 320 หยวนครับ” เจ้าของร้านให้ส่วนลดเล็กน้อยกับซูเมี่ยวจิน
“นี่ค่ะ 320 หยวน” ซูเมี่ยวจินนับเงินในกระเป๋าแล้วส่งให้เจ้าของร้าน
“ขอบคุณมากครับ ผมจะให้คนนำของไปส่งให้นะครับ พวกคุณนำทางได้เลย”
“ตกลงค่ะ ตามพวกเรามาได้เลยนะคะ” ซูเมี่ยวจินหันไปบอกพนักงานที่เข็นรถให้ตามพวกเธอไปที่รถซึ่งจอดไว้ไม่ไกลจากร้านนัก
เมื่อถึงรถ ซูเมี่ยวจินเปิดผ้าใบหลังรถให้พนักงานขนของทั้งหมดขึ้นรถให้พวกเขา ฉางเล่ยยังช่วยพนักงานยกกระสอบข้าวขึ้นไปเพื่อความรวดเร็ว ไม่นานนักสิ่งของทั้งหมดก็ถูกวางเอาไว้ท้ายกระบะ ซูเมี่ยวจินปิดผ้าใบหลังรถอีกครั้งและชวนฉางเล่ยเดินหาร้านขายรถจักรยาน เพราะที่นี่เป็นตลาดค้าส่ง เธอจึงคิดว่าน่าจะมีร้านขายจักรยานราคาส่งอยู่เหมือนสินค้าอื่น ๆ
“สามี ตอนนี้กี่โมงแล้วคะ” ซูเมี่ยวจินถามระหว่างเดินหาร้านขายจักรยาน
“เกือบบ่ายสามโมงแล้วครับ” ฉางเล่ยดูนาฬิกาที่ข้อมือ
“ไม่คิดว่าเราจะซื้อของนานเหมือนกันนะคะ” ซูเมี่ยวจินถอนหายใจยาว
“ทำยังไงได้ล่ะครับ ใครใช้ให้ที่บ้านของผมไม่มีของดี ๆ ที่คุณต้องการเลย” ฉางเล่ยพูดขึ้นอย่างจนใจ เขาเสียใจที่บ้านยากจนเกินไป ทำให้ครั้งนี้ภรรยาต้องใช้เงินไปมากเพื่อสิ่งของจำเป็นสำหรับใช้ในบ้าน
“คุณอย่าพูดแบบนี้สิคะ ฉันไม่ได้โทษคุณเสียหน่อยนะ ของพวกนี้ซื้อแล้วก็ใช้ได้อีกหลายปี ส่วนพวกข้าวสารอาหารแห้งนั่นก็เอาไว้สำหรับงานแต่งงานของเรานะคะ”
“ผมเข้าใจแล้วครับ ขอบคุณภรรยามากที่จัดเตรียมทุกอย่างแทนผม” ฉางเล่ยคิดว่าถ้าให้เขามาซื้อของเอง เขาก็คงซื้อสิ่งของแค่ตามรายการของแม่เท่านั้น
“จะขอบคุณฉันทำไมล่ะค่ะ นี่เป็นงานแต่งงานของเรานะ อ๊ะ! นั่นไงร้านขายจักรยาน”
ซูเมี่ยวจินชี้ไปที่ร้านด้านในซึ่งมีจักรยานจอดอยู่หลายคัน ฉางเล่ยมองตามนิ้วมือของภรรยาก็พยักหน้ายิ้มอย่างพอใจ พวกเขาจะได้รีบซื้อรีบเดินทางกลับบ้านกันสักที เขาในตอนนี้ไม่อยากใช้จ่ายเงินเกินตัวอีก
ซูเมี่ยวจินเดินลิ่ว ๆ เข้าไปในร้านและมองดูจักรยานหลากหลายแบบที่เห็นอยู่ในร้าน ไม่นานนักซูเมี่ยวจินก็ตัดสินใจซื้อจักรยานคันเล็กให้ฉางเซียงจู ส่วนอีกคันนั้นเธอเลือกเป็นจักรยานแบบสามล้อซึ่งมีขนาดใหญ่สำหรับพ่อแม่ฉาง
“ราคาคันนี้เท่าไหร่คะ” ซูเมี่ยวจินชี้ไปที่จักรยานสามล้อซึ่งมีที่นั่งพ่วงด้านหลัง
“คันนั้น 230 หยวนครับ” พนักงานร้านบอกราคา
“ถ้าฉันซื้อคันนี้กับคันเล็กนั่นด้วย จะลดราคาได้บ้างไหมคะ” ซูเมี่ยวจินต่อรอง
“คันเล็กราคาเต็ม 120 หยวน ผมลดให้เหลือ 100 หยวนครับ ส่วนคันใหญ่คงลดให้ไม่ได้แล้วครับ เพราะผมให้ราคาพิเศษกับคุณผู้หญิง” พนักงานบอกตรง ๆ
“ตกลงค่ะ ถ้าอย่างนั้นเอาสองคันนี้ค่ะ คุณช่วยหาเชือกดี ๆ ให้เราด้วยได้ไหมคะ ฉันต้องยกรถทั้งสองคันไว้บนหลังคารถน่ะค่ะ” ซูเมี่ยวจินไม่อยากเสียเวลาหาเชือกที่อื่นจึงเอ่ยถามพนักงานในคราวเดียว
“ไม่มีปัญหาครับ ผมจะให้พนักงานช่วยขนไปที่รถและจัดวางบนรถให้คุณเอง”
“ขอบคุณมากค่ะ คุณนำทางฉันไปจ่ายเงินก่อนเถอะค่ะ ฉันกับสามียังต้องเดินทางกลับบ้านอีกไกล กลัวว่าจะถึงบ้านค่ำเกินไป”
“เชิญทางนี้ครับ” พนักงานนำทางทั้งสองไปยังโต๊ะคิดเงินที่เจ้าของร้านมองอยู่แต่แรกแล้ว เขาไม่คิดว่าสองคนนี้จะซื้อรถทีเดียวถึงสองคัน
ซูเมี่ยวจินนับเงินมาจ่ายเจ้าของร้าน 300 หยวน ตอนนี้เงินย่อยของเธอไม่มีติดกระเป๋าแล้ว เจ้าของร้านรับเงินมาและทอนกลับให้เธอ เขาได้รับแจ้งจากพนักงานขายแล้วว่าลูกค้าต้องการให้มัดรถเอาไว้บนหลังคา เจ้าของร้านจึงตะโกนเรียกพนักงานขนของให้นำรถจักรยานทั้งสองคันไปส่งพร้อมกับเชือกอย่างดีหลายเส้นเพื่อมัดให้กับลูกค้า
ซูเมี่ยวจินกับฉางเล่ยเดินนำทางพนักงานขนของสองคนที่กำลังเข็นรถตามหลังมาติด ๆ อย่างรวดเร็ว เมื่อไปถึงรถจี๊ปคันใหญ่ซึ่งมีผ้าใบปิดกระบะมิดชิด พนักงานขนของทั้งสองก็ช่วยกันยกจักรยานสามล้อขึ้นไปบนหลังคาก่อน จากนั้นจึงมัดเอาไว้กับโครงเหล็กของกระบะรถอย่างแน่นหนา ส่วนจักรยานคันเล็กนั้น พวกเขาวางนอนเอาไว้บนหลังคาเพื่อป้องกันลมพัดจนมันอาจหล่นลงมาเสียหายได้ระหว่างทาง
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ ซูเมี่ยวจินขอบคุณพนักงานทั้งสองและชวนฉางเล่ยขึ้นรถทันที ตอนนี้เธออยากรีบกลับไปให้ถึงบ้านเร็ว ๆ เพราะเธอรู้ดีว่าของในรถจำนวนมากพวกนี้กว่าจะขนลงเสร็จก็ต้องใช้เวลานาน
“โอ้! เจ้าสาวของฉางเล่ยสวยมากจริง ๆ” เสียงลุงใหญ่บ้านฉางที่ตั้งสติได้เป็นคนแรกอดจะชมเสียงดังไม่ได้“ใช่ ๆ เจ้าสามได้ลูกสะใภ้สวยจริง ๆ” พี่ชายหลิวเอ้อหลิงที่เห็นหลานสะใภ้เอ่ยเสริมขึ้นมาเสียงดังเช่นเดียวกัน“พวกลุงอย่าแกล้งภรรยาผมสิครับ ดูสิ เธอทำตัวไม่ถูกแล้ว” ฉางเล่ยยืดอกขึ้นอย่างภูมิใจที่ตัวเองกำลังจะแต่งงานกับคนสวยตรงหน้า เขารู้ดีว่าสีหน้าของซูเมี่ยวจินตอนนี้คงกำลังเขินอายอยู่ ไม่อย่างนั้นแก้มของเธอคงไม่แดงก่ำขึ้นมาจนลามไปถึงคออย่างที่เขากำลังเห็นเป็นแน่“ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะคุณลุง” ซูเมี่ยวจินได้ยินฉางเล่ยพูดขึ้น เธอจึงสงบจิตใจตอบกลับผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม สายตาคมดุของเธอมองเจ้าบ่าวที่วันนี้หล่อมากในสายตาเธอก็อดที่จะมองเขาสักหลายทีไม่ได้เช่นกันเหล่าผู้อาวุโสเห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวแอบมองกันไปมาก็รีบผลักพวกเขาให้ไปรอต้อนรับแขกที่ลานหน้าบ้าน ฉางเล่ยที่ตั้งตัวได้ก่อนจึงจับมือซูเมี่ยวจินเดินออกไปตามคำสั่งของผู้ใ
หลังกินข้าวเสร็จ ฉางชิงหยูอาสาไปเชิญเพื่อนบ้านที่สนิทกันและยืมโต๊ะเก้าอี้มาไว้ใช้ในงานแต่งงานวันพรุ่งนี้ หลิวเอ้อหลิงบอกให้ฉางเล่ยไปขอซื้อไก่จากเพื่อนบ้านพวกนั้นมาสักหลายตัวเพื่อทำอาหารขึ้นโต๊ะในงานแต่งงาน หลังจากดูแล้วว่ายังขาดเมนูไก่ไปหนึ่งอย่าง สองพ่อลูกจึงออกจากบ้านไปด้วยกันหลิวเอ้อหลิงกับซูเมี่ยวจินจึงช่วยกันตกแต่งบ้านต่อ เหลืออีกเพียงนิดหน่อยก็ตกแต่งเสร็จหมดแล้ว ตอนนี้บ้านฉางเต็มไปด้วยกระดาษและผ้าสีแดงเต็มไปหมด ในห้องนอนของฉางเล่ยเองก็ถูกติดกระดาษเอาไว้เช่นกัน แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนผ้าปูเป็นสีแดงมงคล หลิวเอ้อหลิงรอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าจึงจะเข้าไปเปลี่ยนให้ลูก ๆ“แม่คะ ฉันติดเสร็จหมดแล้วค่ะ จะให้ทำอะไรต่อคะ” ซูเมี่ยวจินถามขึ้น“ไม่มีอะไรแล้วจ๊ะ เราไปปั้นแป้งเตรียมทำบัวลอยวันพรุ่งนี้กันดีไหม” หลิวเอ้อหลิงนึกถึงขนมบัวลอยที่บ่าวสาวต้องกินในวันแต่งงานขึ้นมาได้ เธอไม่อยากเสียเวลาเตรียมของพรุ่งนี้จึงคิดจะทำเอาไว้ก่อน“ได้ค่ะแม่&r
“เชิญคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายด้านในเลยครับ” เจ้าของร้านผายมือเชิญอย่างนอบน้อม ต่างจากครั้งก่อนที่พวกเขามาขายโสมราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ“ขอบคุณครับ/ค่ะ” ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินเห็นเถ้าแก่ทำแบบนี้เลยไม่อยากเสียมารยาท“พวกคุณนั่งก่อนครับ วันนี้จะมาขายเขากวางในมือนั่นหรือเปล่าครับ” เถ้าแก่ถามด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ เพราะเขากำลังจะได้ของดีมาขายอีกแล้ว“ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณรับซื้อยังไงคะเถ้าแก่” ซูเมี่ยวจินถามตรง ๆ เธอไม่เคยขายเขากวางมาก่อนจึงไม่รู้ว่าราคาตลาดเป็นอย่างไร“เขากวางสดขายราคาเป็นขีดครับคุณผู้หญิง เขากวางของคุณใหญ่ขนาดนี้น่าจะได้ราคาสูงมากทีเดียว หลายปีแล้วที่ร้านขายยาไม่มีเขากวางขายครับ” เถ้าแก่บอกตรง ๆ เพื่อที่เขาจะได้รับซื้อเขากวางและนำไปขายทำกำไรต่อเหมือนเคย“ขีดละเท่าไหร่หรือคะเถ้าแก่ ถ้าราคาต่ำไป ฉันจะได้เก็บเอาไว้ก่อน” ซูเมี่ยวจินไม่คิดว่า
ฉางเล่ยถึงกับทึ่งในฝีมือการใช้หน้าไม้ของซูเมี่ยวจิน แต่เขาไม่มีเวลาสงสัยมากนักเมื่อเธอบอกให้เขารีบเข้าไปกลบเลือดกวางที่ตาย เพื่อป้องกันไม่ให้หมาป่าหรือสัตว์ดุร้ายตัวอื่นตามกลิ่นเลือดมาซูเมี่ยวจินมองหาไม้ใหญ่และเถาวัลย์เพื่อใช้มัดกวาง ดีที่ป่าตรงนี้มีทุกอย่างที่เธอต้องการ ซูเมี่ยวจินใช้เวลาไม่นานก็นำของทั้งหมดไปจัดการมัดกวางเอาไว้“ช่วยฉันแบกมันลงจากเขากันเถอะค่ะ ตอนนี้กี่โมงแล้วคะ” ซูเมี่ยวจินยังคงกลัวว่าจะกลับบ้านค่ำมืดเกินไป“สี่โมงเย็นพอดีครับ” ฉางเล่ยยกไม้ที่มีกวางถูกมัดอยู่ขึ้นพาดไหล่อย่างไม่หนักแรง“เรารีบกลับบ้านกันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเอามันไปขายในอำเภอนะคะ”“ตกลงครับ ว่าแต่พรุ่งนี้เราจะใช้จักรยานหรือรถยนต์ไปในอำเภอดีครับ”“ฉันว่าเอาสามล้อของพ่อไปดีกว่าค่ะ ฉันไม่อยากให้ชาวบ้านเห็นรถยนต์เราเร็วนัก ยังไงวันแต่งงานก็ต้องเอารถออกไปจอดหน้าบ้านอย
ทั้งสองกลับมาถึงบ้านก่อนเที่ยงนิดหน่อย หลังจากเก็บเนื้อและผักแช่ไว้ในบ่อน้ำหลังบ้านแล้ว ซูเมี่ยวจินก็ไปอุ่นอาหารรอฉางเล่ยที่กำลังเอาสามล้อไปคืนพ่อที่ไร่ เธอคิดว่าช่วงบ่ายไม่มีอะไรทำ จึงอยากชวนฉางเล่ยขึ้นเขาไปล่าสัตว์ หาสมุนไพรดูสักหน่อย เผื่อว่าจะโชคดีได้เงินอีกสักก้อนฉางเล่ยกลับมากินข้าวพร้อมซูเมี่ยวจินในเวลาไม่นานนัก ระหว่างที่กำลังกินมื้อเที่ยงกันอยู่ ซูเมี่ยวจินก็ชวนฉางเล่ยขึ้นเขา“คุณแน่ใจเหรอว่าจะขึ้นเขาบ่ายนี้” ฉางเล่ยเลิกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง“ใช่ค่ะ ยังไงบ่ายนี้พวกเราก็ไม่มีอะไรทำ คุณไม่ได้ไปดูกับดักสัตว์หลายวันแล้ว เผื่อว่าจะได้สัตว์ไปขายในอำเภอพรุ่งนี้สักตัวสองตัวก็ยังดีนะคะ” ซูเมี่ยวจินบอก“ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเสร็จ ผมจะเอากุญแจบ้านไปให้พ่อก่อน คุณรอผมที่บ้านนะครับ ผมไปไม่นาน” ฉางเล่ยพยักหน้าตอบรับ เขาลืมไปเลยว่าวางกับดักสัตว์เอาไว้หลายวันแล้ว เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องงานแต่งงานจึงไม่ได้ขึ้นไปดู
ฉางชิงหยูกับหลิวเอ้อหลิงไปถึงบ้านหลิวในเวลาไม่นาน สองเฒ่าชราที่อายุน้อยกว่าพ่อเฒ่าฉางหลายปีออกมาต้อนรับลูกเขยกับลูกสาวด้วยความดีใจ พอรู้ว่าหลานชายกำลังจะแต่งงาน ทั้งสองก็ดีใจมาก“พวกเราจะไปแน่นอนเอ้อหลิง พ่อกับแม่จะให้พี่ใหญ่เธอพาไปเอง ตั้งแต่หลาน ๆ ไปทำงานในอำเภอ พวกเราก็สบายขึ้นมาก จักรยานที่บ้านก็มีถึงสองคัน ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พวกเราจะไปกันตั้งแต่เช้ามืดเลย” แม่หลิวรีบบอกพร้อมรอยยิ้มชรา“ใช่ ๆ นานแล้วที่บ้านเราไม่มีงานมงคล” พ่อหลิวเองก็ดีใจไม่น้อยที่หลานชายกำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ทั้งที่อายุก็ไม่น้อยแล้ว“ถ้าพ่อแม่ไม่อยากตื่นเช้านัก พวกเราปั่นจักรยานมารับพวกคุณได้นะคะ” หลิวเอ้อหลิงไม่อยากทำให้พ่อแม่ลำบาก เธอจึงหันไปมองสามี“ใช่ครับ ผมปั่นสามล้อมารับดีไหมครับ พ่อกับแม่จะได้นั่งกันสบายหน่อย”“ไฮ้! ไม่เป็นไร ๆ พวกเราชอบนั่งพ่วงหลังจักรยานของเสี่ยวเค่อมากกว่า” พ่อเ