กลางดึก...
ไต้ก๋งโจวเดินมาที่เสาไฟท้าย ก่อนจะหยุดยืนเงียบมองทะเลสักครู่ สายตาคมจับจ้องไปยังพื้นน้ำเบื้องล่าง แล้วเอ่ยเบา ๆ โดยไม่ต้องหันไปมองใคร
"ถึงแล้ว จุดเดิม..."
"ผมไปเปิดไฟเลยนะครับพ่อ"
สือซานเอ่ยถาม เมื่อเห็นบิดาพยักหน้ารับ เขาก็เดินไปยังยังเครื่องปั่นไฟ ทันทีที่เครื่องทำงานแสงไฟสีส้มก็สว่างจ้าเปล่งประกายเหนือผืนน้ำ
หมิงหลงปีนขึ้นกราบเรืออีกด้าน เปิดหลอดไฟเสริม ส่วนเจียงเฉิงกับฉุนกังช่วยกันเลื่อนเสาไฟท้ายให้เอียงลง ส่องตรงผืนน้ำคล้ายจันทร์ตกทะเล
แสงส้มสะท้อนผิวน้ำเหมือนม่านทองเปิดต้อนรับแขก ไม่กี่อึดใจ เสียงเจียงเฉิงร้องอย่างตื่นเต้น
"มาแล้ว! หมึกขึ้นแล้วครับไต้ก๋ง"
ใต้ผิวน้ำสีดำสนิท เงาสีเงินเรืองวาวลอยเข้าหาแสง ร่างเล็กยาวของหมึกหลายสิบตัวพุ่งขึ้นจากความลึก เหมือนฝูงผีเสื้อใต้ทะเลที่หลงแสงเทียน
"สือซาน ประจำหัวอวนเลยลูก!"
ไต้ก๋งออกคำสั่งทันที เสียงนั้นแม้จะดังกว่าคืนก่อนแต่ก็มั่นคงเสมอ สือซานรีบวิ่งประจำตำแหน่ง ฉุนกังกับเจียงเฉิงช่วยกันโยนอวนออกทางกราบเรือ ท้องอวนเปิดอ้าเหมือนปากยักษ์ กลืนแสงและเงาหมึกลงไปอย่างเงียบงัน
สายตาทุกคู่จับจ้องเส้นเชือก
"ระวังอวนตึงนะพี่สือซาน!" หมิงหลงตะโกนขณะช่วยจัดเชือกให้คลายตัวช้า ๆ
"ดึงกลับช้า ๆ อย่าให้ขาด...พ่อจะนับจังหวะให้" เมื่อเห็นว่าเชือกตึกแล้วไต้ก๋งโจวจึงส่งสัญญาณตามมา
มือหยาบกร้านของชายวัยห้าสิบกว่ากำเชือกแน่น เขาดึงจังหวะด้วยน้ำหนักมือที่มีแต่คนทะเลเท่านั้นจะรู้ สือซานอยู่ข้าง ๆ พยายามปรับแรงให้สมดุล ส่วนเจียงเฉิงกับหมิงหลงช่วยกันยกหางอวน
ในอวนมีหมึกหลายร้อยตัวที่ถูกลากขึ้นมาในครั้งเดียว แต่นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น!
"เยอะกว่าครั้งที่แล้วอีก" ฉุนกังพูดพลางปาดเหงื่อ ร่างใหญ่ของเขาก้มลงจับหมึกโยนใส่ถัง
"ยังไม่หมดนะพี่ฉุนกัง ดูใต้ท้ายอวนสิ" หมิงหลงชี้
สือซานดึงปลายอวนขึ้นอย่างระมัดระวัง แล้วทุกคนก็ร้องออกมาพร้อมกันเมื่อเห็นว่ามีปลาหมึกตัวใหญ่ติดมาด้วยหลายตัว ทั้งปู ปลาเล็กปลาใหญ่ต่างก็ติดมาด้วย
"โอ้โห! หมึกยักษ์!"
มันยาวเกือบครึ่งแขน ลำตัวใสจนเห็นอวัยวะภายใน ไต้ก๋งยิ้มที่มุมปาก มือนั้นตักหมึกขึ้นมาอย่างชำนาญก่อนจะโยนลงถังน้ำแข็งที่เตรียมไว้
"คืนนี้คุ้มค่าน้ำมันแล้ว"
การเก็บหมึกใช้เวลาไม่นาน แต่การรักษาความสดคือหัวใจ ไต้ก๋งชี้ไปที่ลังน้ำแข็งแล้วกำชับกับเจียงเฉิง เพราะราคาของอาหารทะเลเหล่านี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพความสดใหม่นั่นเอง
"อาเฉิง เติมเกลือไปชั้นหนึ่ง หมิงหลง เอาน้ำทะเลมาราด ห้ามปล่อยให้อากาศเข้า"
"ครับลุงโจว/ครับไต้ก๋ง"
ลูกเรือทุกคนขยับกายทำตามคำสั่งเหมือนละครที่ซ้อมมาแล้วนับร้อยรอบ ไม่มีใครพูดเล่น ไม่มีเสียงหัวเราะ มีเพียงเสียงหอบ เสียงอุปกรณ์ และเสียงลมหายใจที่เต็มไปด้วยความสุขเงียบ ๆ
ลากอวนแต่ละรอบใช้เวลาไม่น้อยในการจัดการกับอาหารทะเล ชีวิตของพวกเขาวนอยู่แบบนั้นซ้ำไปมา เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น ไต้ก๋งเดินไปท้ายเรือ มองท้องทะเลอีกครั้งแล้วพูดเบา ๆ กับตัวเอง
"คืนนี้ทะเลเมตตา...เรากลับบ้านกันเถอะ"
เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นอีกครั้ง กลิ่นน้ำมันผสมเกลือทะเลตลบในลม ยามฟ้ากำลังเปลี่ยนสีจากดำสนิทเป็นม่วงเข้ม พวกเขาหันหัวเรือกลับ สู่แสงไฟริบหรี่ของหมู่บ้านที่เห็นอยู่ไกล ๆ
เช้ามืดหลังจากเรือเทียบท่า ทุกคนช่วยกันขนของสดไปที่จุดรวมตัว ซึ่งก็คือ ตลาดสมาคมชาวประมง
ตลาดของสมาคมชาวประมงเปิดรับของทะเลตั้งแต่เช้ามืด แม่ค้าหลายคนยืนรออยู่หน้าลาน บางคนเป็นภรรยาของชาวประมงเอง บ้างก็เป็นพ่อค้าคนกลางที่เชื่อมระหว่างชาวบ้านกับเมืองใหญ่
เสียงตะโกน เสียงหัวเราะ เสียงคุยเรื่องราคากุ้งปลาดังเจื้อยแจ้วเหมือนเพลงพื้นบ้าน ท่ามกลางความเหน็ดเหนื่อย กลับมีชีวิตที่อุ่นใจแทรกอยู่เงียบ ๆ
ท้องฟ้าเบื้องบนยังปกคลุมด้วยม่านสีเทานวลจาง ๆ กลิ่นทะเลสดชัดเจนยิ่งกว่าทุกวันเมื่อเรือประมงของไต้ก๋งโจวเทียบท่าตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง ลังปลาหมึก ปลาทู และปูม้าสดใหม่ถูกลำเลียงลงจากเรือด้วยแรงมือของชายหนุ่มสี่ห้าคน
"เข็นไปชั่งน้ำหนักแล้วเอาบิลมาด้วยนะ เดี๋ยวพ่อจะไปแจ้งหัวหน้าไป๋"
ไต้ก๋งโจวพูดกับลูกชายเบา ๆ เมื่อมาถึงลานชั่งน้ำหนัก สือซานพยักหน้า ยกหลังมือเช็ดเหงื่อ ข้าง ๆ กัน ฉุนกังกับหมิงหลงจัดการเรียงลังอย่างคล่องแคล่ว เจียงเฉิงถอนหายใจเมื่อมองปลาหมึกยังดิ้นเบา ๆ อยู่ในลัง
"ของสดขนาดนี้ ถ้าได้ราคาดีหน่อยคงหายเหนื่อยเลยเนอะพี่สือซาน" หมิงหลงพูดระหว่างที่ช่วยกันยกของลงจากรถเข็น
"อื้อ..ไม่น่าจะต่ำกว่า 200 หยวน"
ขณะเดียวกันเสียงของหัวหน้าไป๋ก็ดังมาแต่ไกล
"ไต้ก๋งโจว มาส่งเหรอ วันนี้ได้ของเท่าไหร่?"
ชายพุงพลุ้ยสวมเสื้อกั๊กสีแดงเดินอาด ๆ มุ่งหน้ามาที่บริเวณที่ลังสินค้าของบ้านโจววางอยู่
"พอสมควรครับ ลังแถบนี้ปลาหมึก ลังแถบนู้นปลาทู แล้วก็กุ้ง ปู ยังสดอยู่เลย ลองดูก่อนนะหัวหน้าไป๋"
ไต้ก๋งโจวพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ ทว่าสายตาของหัวหน้าไป๋กลับเหมือนคนมืดบอด มองของดีเป็นของใกล้เสีย ตัดสินใจกดราคาอย่างหน้าด้าน ๆ
"ก็ไม่เท่าไหร่ ของทั้งหมด... ได้แปดสิบสองหยวน"
เขาว่าพลางหันหน้าหนีเหมือนไม่ต้องการเสียเวลามากไปกว่านั้น
"แปดสิบสอง? แต่ของเราทั้งสดทั้งเยอะ จะขายได้ราคานี้ได้ยังไง?" สือซานทวนคำ น้ำเสียงปนไม่เชื่อหูตนเอง
"วันนี้สมาคมรับซื้อราคานี้ จะขายก็ขาย ไม่ขายก็เก็บไว้กินกันเอง" หัวหน้าไป๋สวนกลับ
คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศแถวนั้นหนาวเย็นขึ้นถนัด เจียงเฉิงขยับเข้ามาเหมือนจะพูดอะไร แต่ไต้ก๋งโจวรีบวางมือลงบนบ่าเขาเพื่อหยุดทุกอย่างเอาไว้ก่อน
"พอเถอะ ไม่มีประโยชน์หรอกอาเฉิง..."
น้ำเสียงนั้นนิ่ง แต่ในแววตาไต้ก๋งโจวกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หมิงหลงมองหน้าทุกคน ก่อนถามเสียงเบา
"ไต้ก๋ง...ถ้าเราเอาของไปขายเองข้างนอก จะได้ราคาดีกว่านี้ไหม?"
"ไม่ได้ กฎของสมาคมบอกไว้ชัด..สมาชิกทุกคนต้องขายผ่านตลาดนี้เท่านั้น จะขายให้พ่อค้าคนกลางหรือแอบนำไปที่อื่นไม่ได้เลย…" พ่อโจวรีบตอบทันที
"เพราะต้องหักเงินส่วนต่างมาเข้ากองทุนบำรุงตลาดไงอาหลง พวกเราถึงทำแบบนั้นไม่ได้"
ฉุนกังพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจ ไม่มีใครพูดอะไรต่ออีก ต่างคนต่างรู้ว่าหากละเมิดข้อห้าม จะถูกตัดสิทธิ์ในการใช้ท่าเรือและระบบประมงทั้งหมด ซึ่งเท่ากับเป็นการขาดลมหายใจของชีวิตประมง
สุดท้าย ไต้ก๋งโจวพยักหน้าเบา ๆ อย่างยอมจำนนในความจำเป็น รับเงินแปดสิบสองหยวนในถุงผ้าขึ้นมากำแน่น
"ไปเถอะ กลับบ้านกัน"
ระหว่างทางกลับเสียงล้อเหล็กลากครืดคราดบนถนนเรียบ สะท้อนความฝืดเคืองในอกของทุกคน
"ผมว่า หัวหน้าไป๋ตั้งใจแน่ ๆ ครับ ใครก็รู้ว่าลูกสาวเขาชอบพี่สือซาน พอรู้ข่าวว่าพี่สะใภ้แต่งเข้าบ้านโจว ก็ทำตัวเย็นชาใส่เราทันที"
หมิงหลงโพล่งขึ้นท่ามกลางความเงียบ
"ใช่ วันนี้ราคาทะเลไม่ได้ตกสักหน่อย แค่คนอื่นไม่กล้าทัก เพราะกลัวโดนตัดสิทธิ์จากสมาคม! นี่มันใช้อำนาจข่มเหงคนอื่นชัด ๆ"
สือซานยังคงเงียบ ใบหน้าหน้าขรึม เขาจ้องมองล้อที่หมุนไปช้า ๆ เหมือนความคิดกำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายใน
"พ่อเข้าใจว่าทุกคนโกรธ แต่ของแบบนี้เราต้องระวัง ถ้ายังไม่มีหลักฐาน ก็อย่าเพิ่งปักใจว่าเป็นเพราะเรื่องส่วนตัว..."
ไต้ก๋งโจวถอนหายใจหนัก ๆ เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ผิดจากคำพูดของลูกหลาน แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้พูดเขาพูดออกไป คำพูดก็ไม่ต่างจากดาบสองคม
รุ่งเช้าที่บ้านโจว
ลมทะเลโชยเอื่อย กลิ่นอายเกลือแตะจาง ๆ เข้าจมูก ลอดผ่านผ้าปิดหน้าต่างที่พับเก็บเรียบร้อยตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง แสงขาวนวลจากหลอดไฟยังส่องวับบนเคาน์เตอร์ครัวไม้เก่า เสี่ยวหนานผูกผ้ากันเปื้อนลายจุดไว้แน่น เดินเข้าครัวข้างบ้านแต่เช้ามืด
เตาอิฐสูงเท่าสะโพก สองช่องถูกจุดด้วยถ่านไม้แห้งควันขาวกรุ่น เธอเริ่มต้นด้วยการหุงโจ๊กข้าวสวยซาวน้ำสะอาด ใส่กุ้งแห้งตัวเล็กจากไหที่แม่สามีเคยบอกไว้ ระหว่างนั้นก็นึ่งปูแล้วนำมาแกะเนื้อ หั่นผักซอยขิงเตรียมไว้ครบเครื่อง
หัวเตาข้างกัน ซุปเนื้อปูใส่ไข่ขาวละลายหยอดเป็นเกล็ดหิมะกำลังเดือดพล่านอยู่ในหม้อดิน เยื่อไผ่แช่น้ำจนนิ่มถูกฉีกเส้นบาง ๆ ใส่ลงพร้อมเห็ดหูหนูขาวชิ้นเล็กขาวละมุน เครื่องปรุงต่าง ๆ ถูกเติมจนได้รสชาติกลมกล่อม
เสร็จแล้วเสี่ยวหนานก็ตั้งหม้อนึ่ง เต้าหู้เนื้อแน่นจากถั่วลิสงที่เธอซื้อมาจากตลาดตั้งแต่เมื่อวาน ถูกวางเรียงในจานเคลือบลายดอกแดง โรยเห็ดหอมซอย ขิงหั่นเส้น และราดซอสซีอิ๊วตามสูตรของเธอแล้วนำขึ้นนึ่งในหม้อร้อน ๆ
พอโจ๊กเคี่ยวได้ที่เสี่ยวหนานก็รีบต้นน้ำขิงต่อ สามีกับพ่อสามีออกทะเลมาทั้งคืน กับข้าวเช้านี้ก็ยังมีเนื้อปูที่มีฤทธิ์เย็น เธอจึงตั้งใจจะต้มน้ำขิงที่มีฤทธิ์ร้อนให้ทุกคนดื่ม จะได้สบายตัว ระหว่างที่ทำกับข้าวสายตาของเธอก็ชำเลืองมองไปทางประตูหน้าบ้านอยู่ตลอด
"แม่จ๋า… แม่มองหาพ่ออยู่เหรอ?"
เสียงใสปนน้ำเสียงงัวเงียของหน่วนหน่วน ลูกสาววัยห้าขวบทำให้เสี่ยวหนานหันไปยิ้มกว้าง แล้วรีบเดินเข้าไปหา
"ใช่จ้ะ ป่านนี้ไม่รู้พ่อของหนูจะขึ้นฝั่งรึยังเลย"
แม่โจวที่เพิ่งเดินออกจากตัวบ้านก็รีบบอกลูกสะใภ้ให้สบายใจ นางรู้ดีว่าความเป็นห่วงที่ลูกสะใภ้กำลังเผชิญเป็นยังไง
"อีกเดี๋ยวก็กลับมาถึงแล้วล่ะลูก ถ้าทำกับข้าวเสร็จแล้วก็ตั้งโต๊ะเถอะ ส่วนหน่วนหน่วนก็รีบไปล้างหน้าแปรงฟัน จะได้ออกมากินข้าวพร้อมกัน"
"ค่ะย่า หน่วนหน่วนจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ"
สองแม่ลูกแยกกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง โดยมีแม่โจวคอยช่วยจัดโต๊ะจนเสร็จไม่นานสือซานกับพ่อโจวก็เดินกลับมาถึงบ้านพร้อมกัรถเข็นและของสดที่เหลือ เขาวางลังไม้ลงข้างครัวแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
"เป็นอะไรรึเปล่าพี่ ทำไมถอนหายใจแบบนั้นล่ะ?" เสี่ยวหนานเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง สีหน้าของทั้งคู่ไม่สู้ดีสักเท่าไหร่
"วันนี้พวกเราได้เงินมาแค่แปดสิบหยวน ทั้งที่มันควรจะเกินร้อย ไหนจะจ่ายค่าแรงลูกเรือคนละสามหยวน แล้วยังมีค่าน้ำมันอีก… สุดท้ายเหลือไม่ถึงสี่สิบหยวน ยังต้องเก็บไว้เผื่อซ่อมเรืออีก"
"หาของทะเลได้น้อยเหรอคะ?"
"หาได้เยอะ เงินที่ขายได้ก็ควรได้เยอะกว่านี้มาก.."
สือซานไม่พูดอะไรต่อแต่เสี่ยวหนานก็พอจะรู้ได้ ทั้งหมดคงเป็นเพราะคนสกุลไป๋พวกนั้น
"ไม่เป็นไรนะพี่ ฉันจะรีบเปิดร้านให้ได้เร็วที่สุด ถ้าเปิดเมื่อไหร่ ฉันจะรับซื้ออาหารทะเลจากพี่เองพี่ทุกวันเลย จะได้ไม่ต้องไปง้อสมาคมไหนให้เจ็บใจอีก"
เสี่ยวหนานจับมือของสามีเอาไว้ เธอยังมีความรู้และสูตรลับอีกมากมายที่จะจัดการกับอาหารทะเลพวกนี้ ไม่ขำเป็นต้องไปขายให้คนสกุลไป๋เอาเปรียบอีก แต่ช่วงแรกก็ต้องทนลำบากไปก่อน
"หนานหนาน พี่จะให้น้องแบกรับเรื่องพวกนี้ได้ยังไง"
"ครอบครัวเดียวกัน จะทุกข์จะสุกก็ต้องฟันฝ่าไปด้วยกัน เดี๋ยวกินข้าวเสร็จพี่ก็พักอยู่ที่บ้าน ฉันจะออกไปจัดการที่ร้านสักหน่อย"
"แน่ใจนะว่าจะไม่ให้พี่ไปช่วย?"
"พี่ทำงานมาเหนื่อย ๆ นอนพักเถอะ เรื่องแค่นี้ฉันจัดการได้"
หลังจากคุยกันเสร็จทุกคนก็มาล้อมวงกินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อยแล้วทิ้งเรื่องน่าปวดหัวไว้ข้างหลัง
ห้าปีต่อมาห้าปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันคือปี ค.ศ. 1988 ซูจื่ออัน เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชิงหัวมาได้สักพักใหญ่แล้ว ด้วยความรู้และความสามารถที่ร่ำเรียนมา เขาได้เข้ามาช่วยงานในโรงงานของพี่สาวอย่างเต็มตัว โรงงานแห่งใหม่ ของ ซูเสี่ยวหนาน กำลังเริ่มก่อสร้างบนที่ดินที่เธอซื้อสะสมไว้ ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่ดีและมีพื้นที่กว้างขวางจื่ออันใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมที่ร่ำเรียนมา วางแผนงานเกี่ยวกับเครื่องจักรในโรงงานแห่งใหม่ด้วยตัวเองอย่างละเอียด แม้โรงงานจะยังคงเน้นการใช้แรงงานคนเป็นหลัก แต่จื่ออันก็เลือกที่จะนำเครื่องจักรที่ทันสมัยเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิตบางส่วน เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและเพิ่มปริมาณการผลิตเที่ยงวัน ที่ร้านข้าวแกงสะใภ้ไต้ก๋งวันนี้เป็นวันเสาร์ ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาที่ ร้านข้าวแกงสะใภ้ไต้ก๋ง เพื่อกินมื้อเที่ยงกันอย่างคับคั่ง แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีแล้ว แต่ร้านแห่งนี้ก็ยังคงเป็นที่นิยมของผู้คน หรือจะเรียกว่าเป็น "ขวัญใจแรงงาน" ก็ว่าได้ เพราะอาหารอร่อย ราคาถูก และบรรยากาศที่อบอุ่นเป็นกันเองเสี่ยวหนาน พาลูก ๆ และหลานชายมาช่วยงานที่ร้านข้าวแกง หน่วนหน่วนตอนนี้อายุ 13 ปี ดูแลการจัดโต๊ะช่วยคน
วันต่อมาเสี่ยวหนาน ก็พาพ่อแม่และทุกคนออกไปเที่ยวชมสถานที่สำคัญในปักกิ่ง การเดินทางในครั้งนี้ถือเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับทุกคน โดยเฉพาะพ่อซู แม่ซู พ่อโจว และ แม่โจว ที่ไม่เคยได้มาเยือนเมืองหลวงแห่งนี้มาก่อนสถานที่แรกที่พวกเขาไปคือ โรงละครอุปรากรปักกิ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่วัฒนธรรมจีนแบบดั้งเดิมกำลังถูกฟื้นฟู หลังยุคปฏิวัติวัฒนธรรม บรรยากาศภายในโรงละครไม้เก่าแก่เต็มไปด้วยความขลังและมนต์เสน่ห์ เสียงดนตรีพื้นเมืองบรรเลงคลอเคล้ากับการแสดงงิ้วที่วิจิตรตระการตา นักแสดงแต่งหน้าแต่งกายสวยงาม ท่าทางอ่อนช้อยงดงาม สร้างความประทับใจให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก雪落寒亭魂未散Xuě luò hán tíng hún wèi sànเสวี่ย ลั่ว หาน ถิง หุน เว่ย ซ่านหิมะโปรยลงบนศาลาเยือกเย็น วิญญาณยังมิยอมลาจาก天公莫笑女孤单Tiān gōng mò xiào nǚ gū dānเทียน กง ม่อ เสี้ยว หนฺ หวี่ กู ตันโอ้สวรรค์ อย่าหัวเราะหญิงผู้โดดเดี่ยว泪洒心灯照旧愿Lèi sǎ xīn dēng zhào jiù yuànเล่ย ส่า ซิน เติง เจ้า จิ้ว เยฺวียนหยาดน้ำตาหลั่งลง กลางแสงตะเกียงใจ ส่องให้คำอธิษฐานเก่าแจ่มชัดอีกครา冤枉三声唤地寒Yuān wǎng sān shēng huàn dì hánเยวียน หว่าง ซาน เซิง ฮ่วน ตี้ หาน
"ครับพี่เขย" เจ้าเด็กแฝดถูกส่งต่อให้น้าชายกับพี่ ๆ ดูแลต่อ ส่วนคนอื่น ๆ ก็แยกกันพักผ่อนอาบน้ำอยู่ในห้องของตัวเองแท้จริงแล้วเสี่ยวหนานแอบเก็บอาหารทะเลสด ๆ เหล่านั้นไว้ในมิติส่วนตัวของเธอ และแกล้งทำเป็นเติมน้ำแข็งตามจุดแวะพักต่าง ๆ ตลอดทาง เพื่อไม่ให้ใครสงสัยว่าทำไมอาหารทะเลถึงยังสดใหม่ราวกับเพิ่งขึ้นจากทะเลมาวันนี้เสี่ยวหนานตั้งใจทำเมนูโปรดหลายอย่างให้น้องชายได้กิน มีทั้งกุ้งอบวุ้นเส้น โจ๊กปู ซุปหอยนางรม ปลาหมึกผัดผงกะหรี่ หอยเชลล์ผัดเนย ปลานึ่งบ๊วย และที่ขาดไม่ได้คือ เป่าฮื้อนึ่งซีอิ๊ว ที่พ่อกับแม่ชอบเป็นพิเศษ โชคดีที่เธอได้บอกให้จื่ออันซื้อเครื่องปรุงและของใช้ในครัวไว้ให้ครบถ้วน ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง ทำให้การทำอาหารเป็นไปอย่างราบรื่นเมื่อทำกับข้าวเสร็จเรียบร้อย เสี่ยวหนานก็เตรียมอาหารส่วนหนึ่งใส่ปิ่นโตอย่างสวยงาม เพื่อนำไปมอบให้ อาจารย์เกา และครอบครัว นอกจากนี้เธอยังเตรียมอาหารทะเลสด ๆ ไม่ว่าจะเป็นปู ปลา กุ้ง และปลาหมึก หอยนางรมใส่ถังใบใหญ่แยกต่างหาก เพื่อเป็นของขวัญสำหรับครอบครัวเกาเป็นการตอบแทนน้ำใจที่ช่วยดูแลจื่ออันมาตลอด"จื่ออัน" เสี่ยวหนานเรียกน้องชาย "มาช่วยพี่ถือข
3 เดือนแล้วตั้งแต่เด็กแฝดเกิดมาในขณะที่ทุกคนกำลังชื่นชมและเล่นกับเด็กแฝดตัวน้อย เสี่ยวหนานสังเกตเห็นว่าหน่วนหน่วนกำลังยืนมองน้องชายด้วยแววตาที่ฉายแววครุ่นคิดเล็กน้อย แม้จะดูดีใจ แต่ก็มีความกังวลบางอย่างแฝงอยู่"หน่วนหน่วนมาหาแม่เร็วเข้า ไหนดูซิว่าวันนี้ลูกสาวของแม่จ๋าอยากได้ผมทรงไหน? เอาเปียสองข้างดีไหม? หรือจะให้แม่มัดแบบหางม้า"เช้าวันเสาร์ที่เด็ก ๆ ไม่ได้ไปโรงเรียน สือซานเองก็ยังไม่ยอมให้เสี่ยวหนานไปทำงาน เธอจึงพาเด็ก ๆ มานั่งเล่นอยู่ห้องรับแขก ส่วนเจ้าเด็กแฝดทั้งสองก็มีปู่ย่าคอยดูแลอาหารการกินอี้หลันก็จะให้คนงานเอามาส่งให้ ไม่ต้องให้เสี่ยวหนานเข้าครัวให้ลำบาก มีเพียงช่วงค่ำของวันที่สือซานจะพาเสี่ยวหนาขับรถเข้าไปที่ร้านเพื่อเติมของ และเข้าโรงงานบ้างสัปดาห์ละครั้งส่วนงานที่โรงงานก็มีพนักงานในสำนักงานคอยดูแลครบทุกตำแหน่งแล้ว เสี่ยวหนานจึงรอตรวจบัญชีโดยรวมที่สือซานเอากลับไปให้ที่บ้านเท่านั้น ส่วนงานอย่างอื่นก็มีจื่อเหิงและพ่อแม่คอยเป็นหูเป็นตาให้ทางด้านบ้านโจว พ่แโจวกับสือซานก็ยังรับหน้าที่ออกเรือหาอาหารทะเลเช่นเดิม ถึงจะมีเรือหลายลำที่นำของมาขายให้โรงงาน แต่พ่อโจวก็มันจะเดินเรืออ
แสงจันทร์สีนวลสาดส่องเข้ามาในห้องนอนของเสี่ยวหนานและสือซาน ส่องกระทบผ้าม่านบางเบาที่พลิ้วไหวตามแรงลม เสี่ยวหนานนั่งอยู่ริมหน้าต่าง พลางเหม่อมองออกไปยังดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า ดวงตาของเธอฉายแววครุ่นคิด ความสำเร็จทางธุรกิจในวันนี้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกสุขใจได้อย่างเต็มที่ ในใจของเธอเต็มไปด้วยคำถามและข้อสงสัยเกี่ยวกับชะตาชีวิตของตัวเอง"นี่ฉันแย่งชะตาชีวิตคนอื่นมารึเปล่า?" เสี่ยวหนานพึมพำกับตัวเองเบา ๆ เสียงของเธอแทบจะกลืนหายไปในความเงียบของราตรีเธอหวนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด เธอจำได้ว่าเดิมทีเธอเป็นเพียงผู้อ่านนิยายที่ยังอ่านไม่จบเรื่องหนึ่ง แต่จู่ ๆ เธอก็ถูกดึงเข้ามาอยู่ในโลกของนิยายเรื่องนี้ และสวมรอยเป็นตัวละครที่มีชื่อว่า ซูเสี่ยวหนาน ซึ่งตามบทบาทเดิมแล้วเป็นเพียงตัวละครรองที่จะถูกสลัดทิ้งหลังจากที่ตัวร้ายอย่าง หานเจา ได้สมหวัง และที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ นางเอกของเรื่องคือ ไป๋ลี่เหยา คนที่จะต้องได้แต่งงานกับ โจวสือซาน พระเอกของเรื่องและเป็นสามีของเธอในตอนนี้เสี่ยวหนานถอนหายใจยาว ในฉบับนิยายเดิม ซูเสี่ยวหนาน ตัวจริงจะต้องฆ่าตัวตายเพราะทนรับความจริงไม่ได้ ครอบครัวข
ที่โรงพยาบาล ทันทีที่รถของสือซานจอดสนิทที่ทางเข้าห้องฉุกเฉิน บุรุษพยาบาลก็รีบเอารถเข็นมารับร่างของคนป่วย แล้วพาเสี่ยวหนานเข้าไปยังห้องฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว ทีมแพทย์และพยาบาลเข้ามารับช่วงต่อทันที พวกเขาพยุงร่างของเสี่ยวหนานขึ้นนอนบนเตียงเข็น และพาเธอเข้าไปในห้องตรวจ หลังจากเก็บรถเสร็จสือซานก็รีบมายืนรออยู่หน้าห้องอย่างกระวนกระวายใจ หัวใจของเขาบีบรัดแน่นด้วยความกลัวว่าจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นเสี่ยวหนานไม่นานนัก แพทย์หญิงท่านหนึ่งก็เดินออกมาจากห้องตรวจด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน สือซานรีบปรี่เข้าไปหาทันที ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล "คุณหมอครับ ภรรยาผมเป็นยังไงบ้างครับ เสี่ยวหนานเป็นอะไรมากหรือเปล่า" น้ำเสียงของเขาสั่นเครือคุณหมอยิ้มให้สือซานอย่างใจเย็น "ไม่ต้องห่วงค่ะคุณโจว ภรรยาคุณแค่เหนื่อยล้ามากเกินไป พักผ่อนน้อยไปหน่อยค่ะ"สือซานถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยอะไร คุณหมอก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นเล็กน้อย "...""แต่ต่อจากนี้ไปคุณต้องระวังให้มากนะคะ ดูแลเธอให้ดี อย่าให้เธอทำงานหนักเด็ดขาดเลย เพราะยังมีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ในท้องค่ะ"คำพูดของคุณหมอทำให้สือซานอ้าปากค้