ในหมู่บ้านที่ถูกล้อมด้วยผืนฟ้ากว้างและคลื่นในมหาสมุทร พวกเขาอาจมีของทะเลให้กินไม่ขาดมือ แต่…
ความอุดมในรสชาติ ไม่ได้แปลว่าชีวิตอุดมในทุกสิ่ง
ใต้ตาข่ายที่ตากปลา บนลานหินหน้าบ้านแต่ละหลัง มีหมึกที่ถูกผ่าแผ่เนื้อจนแบนคล้ายปีกนก ปลาช่อนทะเลตากแดดเรียงเป็นระเบียบ หอยแห้ง กุ้งแห้ง ปลาเล็กปลาน้อย ทั้งหมดถูกแยกชั้นวางตากตามเวลาของแดด
ใช่…พวกเขามีอาหารทะเลกินไม่ขาดมือ แต่พวกเขารู้ว่า เมื่อเข้าสู่หน้าฝน…ทะเลจะกลายเป็นอสุรกาย คลื่นใหญ่จะกลืนเรือทุกลำ ลมจะกระชากเชือกทุกปม และเม็ดฝนจะทุบฟ้าจนไม่เห็นฝั่ง ใครออกเรือช่วงนั้น เท่ากับยกชีวิตถวายให้กับเจ้าแห่งมหาสมุทร
เช่นนั้น ทุกบ้านจึงต้องตากแห้งทุกอย่างเท่าที่จะตากได้ เพื่อเก็บไว้กินในวันที่ทะเลไม่ใจดี บ้างก็ใส่ไห บ้างก็มัดเป็นม้วน บ้างก็ฝังไว้ใต้เตียงเตา ทุกอย่างถูกเก็บราวสมบัติ เพื่อป้องกันไม่ให้คนในบ้านต้องหิวโหยในวันที่ออกหาอาหารไม่ได้
แต่สิ่งที่พวกเขาขาดแคลนที่สุดคือข้าวสาร ข้าวสารต่างหาก…คือของล้ำค่า
บ้านชาวประมง…ไม่มีนาข้าว มีเพียงทะเล และมือหยาบ ๆ ที่คอยงมเกลียวคลื่นหาอาหาร
"ข้าว" จึงต้องซื้อ ต้องนำของทะเลเหล่านั้นไปขายให้พ่อค้าคนกลางหรือสมาคมประมง ต้องแลกปลาสิบตัวกับข้าวสารแค่ถ้วยเดียว
หลังอาหารมื้อเย็นจบลงแบบเรียบง่าย เสี่ยวหนานช่วยแม่โจวล้างชามจนเรียบร้อย ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านพร้อมสามีหมาด ๆ ของเธอ
เวลาราวหนึ่งทุ่มตรง เสียงลมหอบเบา ๆ จากทะเลพัดลอดเข้าทางหน้าต่างไม้เก่า ใบไม้พลิ้วไหวแผ่วเบา ขับกล่อมโลกทั้งใบให้เข้าสู่นิทรา ยกเว้นสองหัวใจที่ยังตื่นอยู่...บนเตียงเตาดินในห้องนอน
"พี่เปิดพัดลมให้นะ"
เสี่ยวหนานนั่งอยู่ที่ปลายเตียง สวมชุดผ้าฝ้ายลายดอกสีซีด ปล่อยผมดำขลับลงมาอย่างเป็นธรรมชาติ แสงตะเกียงสะท้อนดวงตาของเธอจนดูเหมือนจะมีประกายน้ำอยู่ข้างใน
"ขอบคุณค่ะ"
เมื่อเขาปูผ้านวมจนเรียบร้อยแล้ว สือซานก็หย่อนตัวลงข้าง ๆ เธอ มือทั้งสองวางไว้บนตักอย่างสุภาพเกินคาด
"คืนนี้...หนานหนานไม่ต้องกลัวนะ พี่จะไม่แตะต้องหนานหนานเด็ดขาด" เสียงเขานุ่มนวลแต่มั่นคง
เสี่ยวหนานหันขวับมามองเขา เรื่องอะไรกัน! เธอเข้าพิธียกน้ำชากับเขาแล้ว ถือว่าเขาเป็นสามีเธออย่างเต็มตัว ถ้าคืนนี้เขาไม่แตะต้องเธอ เธอก็ขาดทุนนะสิ อุตส่าห์ได้เกิดใหม่แถมยังมีสามีหล่อ ๆ ฝันไปเถอะว่าเธอจะพลาดโอกาสนี้!
"ทำไมล่ะ? ฉันไม่น่าพอใจเหรอ?"
"ไม่ใช่นะ!" เขารีบตอบแทบจะไม่ทัน
เธอขยับตัวเข้ามาใกล้ จ้องหน้าเขานิ่ง
"หรือว่าพี่รังเกียจฉันที่ฉันเคยไปอยู่บ้านหานมาก่อน?"
ดวงตาของสือซานเบิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าแรง ๆ
"ไม่ใช่เลย...พี่แค่ไม่อยากบังคับเธอ พี่รู้ว่าเธอกับหานเจา...เคยรักกันมาก"
เสี่ยวหนานหัวเราะเบา ๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความเอ็นดูสามีของเธอ เขาช่างเป็นผู้ชายที่แสนดีอะไรขนาดนี้
"ซูเสี่ยวหนานคนเก่าน่ะ ตายไปแล้ว ที่พี่เห็นตอนนี้ คือคนใหม่ คนที่แต่งงานกับพี่แล้ว และไม่ต้องการให้พี่ลังเลอะไรอีก จากวันนี้ไปฉันอยากใช้ชีวิตกับพี่เหมือนสามีภรรยา เริ่มสร้างครอบครัวไปกับฉันได้ไหมพี่สือซาน"
เขานิ่ง มองใบหน้าเธอราวกำลังยืนยันว่าคำพูดนั่นเป็นเรื่องจริงใช่ไหม...เธออยากเริ่มต้นใหม่กับเขาจริง ๆ ใช่ไหม?
"หนานหนานน้องพูดจริงใช่ไหม?"
"ตั้งแต่คืนนี้ไป ฉันอยากเป็นเมียของพี่จริง ๆ อะไรที่ควรทำในฐานะผัวเมีย...เราก็ควรทำให้สมบูรณ์"
สือซานไม่พูดอะไรอีก รอยยิ้มของเขาชัดเจนว่ามีความสุขมากเพียงใด เขาเอื้อมมือแตะแก้มเธอเบา ๆ สัมผัสอบอุ่นระมัดระวังราวกับเธอเป็นแก้วบาง
ความเงียบระหว่างทั้งคู่แน่นิ่ง แต่เสียงหัวใจกลับดังลั่นในอก ริมฝีปากเขาแนบลงบนหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา ไล่ลงมาที่ข้างแก้มและปลายคาง จนสุดท้ายริมฝีปากของเขาประทับลงบนริมฝีปากของเสี่ยวหนาน
เธอตอบรับด้วยความวางใจ ปลดปล่อยสิ่งที่เคยเก็บกดไว้มานาน ในราตรีที่เงียบงัน พวกเขาเรียนรู้กันและกันผ่านเสียงลมหายใจ รสจูบ และการกอดประคองกันอย่างโหยหา เสื้อผ้าถูกปลดออกทีละชิ้น ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สะท้อนผิวเนื้อนวลเนียน
มือของเสี่ยวหนานสอดเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ต ปลายนิ้วแตะผ่านแผ่นอกอุ่นร้อน แล้วลากช้า ๆ จนเจ้าตัวสะดุ้งเบา ๆ
"อย่าแกล้งพี่แบบนี้... มันทำให้พี่หยุดไม่ได้แล้วนะ"
"ใครให้พี่หยุดล่ะ" เสี่ยวหนานพูดออกมาอย่างท้าทาย
สือซานกัดฟันแน่น เขาผลักเธอลงเบาะอย่างไม่เบามือนัก แล้วขึ้นคร่อมร่างเธอด้วยแรงปรารถนาที่เขาไม่ได้ปิดบังอีกต่อไป
"งั้นคืนนี้... อย่าขอให้พี่อ่อนโยน น้องเริ่มก่อน น้องก็ต้องรับมันให้ได้"
เขากระซิบชิดข้างหู พร้อมเสียงหอบหายใจชื้นร้อน
มือของเขาไล้จากต้นแขนลงมาถึงสะโพก จงใจแตะในจุดที่ทำให้เธอสะดุ้ง จากนั้นก็วกกลับขึ้นมาปลดชั้นใจตัวจิ๋วของเธอ สือซานรู้... ว่าคนใต้ร่างพร้อมตอบสนองเขาแค่ไหน
"..."
"สวย สวยไปหมด สวยจนไม่รู้จะห้ามตัวเองยังไง"
เสียงพูดแผ่วเบาก่อนที่เขาจะกดจูบบนเนินอกอิ่ม ยอดจุกสีหวานที่แข็งตั้งเป็นตุ่มไตถูกปลายลิ้นสะกิดเบา ๆ แล้วครอบดูดเข้าปากร้อนอย่างเอาแต่ใจ
"อ๊ะ..โอ้ว"
นี่เหรอคือความรู้สึกของวาบหวามระหว่างชายหญิง ถึงตอนนี้เธอไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมหลาย ๆ คนถึงชอบเรื่องพวกนี้ มันรู้สึกดีแบบนี้นี่เอง
มือของสือซานเริ่มลุกล้ำเข้าจุดสงวนของภรรยาตัวน้อย ไม่นานร่างเปลือยเปล่าของทั้งคู่ก็หลอมรวมเป็นหนึ่ง อุณหภูมิในห้องสูงขึ้นเรื่อย ๆ เสียงเนื้อกระทบกันเริ่มดังขึ้นเมื่อเสี่ยวหนานปรับตัวได้
เสียงหอบหายใจดังสะท้อนทั่วห้อง เหงื่อเม็ดเล็กเริ่มผุดขึ้นตามกรอบหน้า เมื่อร่างกายของทั้งคู่เคลื่อนไหวไม่หยุดจนเหนื่อยหอบ มือกับปากของเขาไล่แตะทุกตารางนิ้วบนร่างเสี่ยวหนานราวกับจะจดจำให้ขึ้นใจ
คนที่อยู่ใต้ร่างก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขายิ่งโถมแรงใส่ เธอก็หยัดกายสู้ไม่น้อยหน้ากัน เสียงครางหวาน ๆ ดังออกมาไม่หยุดทุกครั้งที่ถูกสัมผัสเสียวซ่านที่สามีมอบให้
กว่าไฟปรารถนาของครั้งแรกระหว่างทั้งสองคนจะมอดดับลงก็กินเวลาไปกว่าชั่วโมงครึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นเวลาตอนนี้ก็แค่ 3 ทุ่มเท่านั้น ไม่นานสือซานก็ลุกขึ้นมาทำหน้าที่สามีอีกครั้ง และอีกครั้ง
เสี่ยวหนานรู้แล้วว่าเธอไม่ควรท้าทายระบบสามี ยิ่งในยุคที่ไม่มีอะไรให้ดูในตอนนี้ ช่วงเวลากลางคืนที่ยาวนานพวกเขาจะทำอะไรกันได้นอกจากทำลูก...ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนโบราณถึงมีลูกหลานหลายคน
เช้าวันใหม่
เสี่ยวหนานลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมสามีในช่วงเช้ามืด กลิ่นอายทะเลที่ลอยมากับสายลมยามเช้ากระตุกปลายจมูกเธอเบา ๆ สือซานกับพ่อโจวพากันไปดูเรือและเตรียมตัวออกทะเลในช่วงบ่ายแก่ของวันนี้
เธอลุกจากเตียง สะบัดเสื้อคลุมบางให้เข้าที่ แล้วรีบตรงไปยังครัว ความคุ้นชินจากการบริหารร้านอาหารทำให้เสี่ยวหนานหยิบจับของใช้ในครัวได้อย่างคล่องแคล่ว สายตาเธอกวาดผ่านกะละมังใบใหญ่ซึ่งมีปลากับปูดิ้นอยู่ในน้ำอย่างมีชีวิตชีวา เธอยิ้มมุมปากน้อย ๆ พลางพึมพำ
"เอาล่ะ...วันนี้ทำอะไรให้ทุกคนกินดีนะ"
เธอเดินไปเปิดถังข้าวสาร ตรวจดูปริมาณภายในถังก่อนจะถอนหายใจยาว
"เฮ้อ ถ้าเอาข้าวที่ร้านมาได้คงจะดีไม่น้อย รอบล่าสุดสั่งไว้ตั้งเยอะ..."
คำพูดนั้นเพิ่งหลุดจากปากได้ไม่ถึงสองวินาที ข้าวสารถุงใหญ่ขนาด 5 กิโลที่มีตราสีแดงซึ่งเธอคุ้นเคยดียามสั่งมาสต๊อกไว้ในร้าน ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าอย่างไร้ที่มา
"แม่เจ้า! นี่มันอะไรกันเนี่ย… ถุงข้าวเหมือนที่ฉันซื้อมาไว้ในร้านเลย…"
เธอยกมือป้องปาก ความตกใจทำให้ใจเต้นรัว
"หรือว่า… ฉะ…ฉันเอาของเหล่านั้นออกมาได้อย่างนั้นเหรอ? รึ...หรือฉันมีมิติ?"
ดวงตากลมเบิกโพลงอย่างไม่เชื่อสายตา เสี่ยวหนานลองยื่นมือไปแตะถุงข้าวอย่างลังเล… มันหนักและเป็นของจริง!
หัวใจเธอเต้นตึกตักขณะเดินไปยังตู้เก็บของเล็ก ๆ ที่มีแค่พริกแห้งกับน้ำปลา เธอหลับตา นึกถึงเครื่องปรุงกับผักสดในร้านอาหารของตน
"ขอแค่พอสำหรับวันนี้ก็พอ…"
ผลลัพธ์คือ กะหล่ำปลี กระเทียม ขิง พริก หอมแดง ต้นหอม และผักชีวางเรียงรายอยู่ตรงหน้าเธอทันที ราวกับมีเวทมนตร์
แต่เสี่ยวหนานไม่รู้เลยว่าเบื้องหลังประตูห้องครัว โจวสือซานยืนตัวแข็งทื่อ ดวงตาเขาเบิกกว้าง สีหน้าสับสน
'เมื่อกี้…ฉันเห็นอะไรไปกันแน่?'
เดิมทีเขาจะไปเตรียมของที่เรือกับพ่อ แต่พ่อบอกว่าให้กลับมาดูเสี่ยวหนานเพราะเธอเพิ่งย้ายมาอยู่วันแรก กลัวว่าเธอจะไม่รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน เขาเดินไปหาที่ห้องแต่ไม่เจอเธอจึงเดินตามเสียงมาที่ครัว ทว่าไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นอะไรที่เหนือคำอธิบายแบบนี้
ในครัว เสี่ยวหนานเทข้าวสารใส่ถัง หุงข้าวเรียงเม็ดสวย จากนั้นเธอลงมือทำโจ๊กปูในหม้อดินกลิ่นหอมฉุย กับกะหล่ำปลีผัดปลาแห้ง
ระหว่างที่เธอหรี่ไฟและปาดเหงื่อที่หน้าผาก แม่โจวก็เดินเข้ามาพอดี เสื้อเปียกน้ำจากการซักผ้าเผยให้เห็นความเหน็ดเหนื่อย แต่รอยยิ้มของนางกลับอบอุ่น
"เสี่ยวหนาน ทำอะไรกินลูก? กลิ่นหอมเชียว"
"หนูทำโจ๊กปูกับกะหล่ำปลีผักปลาแห้งค่ะแม่ กับข้าวเสร็จพอดี เดี๋ยวหนูจะตั้งโต๊ะเลยนะคะ"
เสียงของเธอนุ่มนวลชวนฟัง สองมือไม่หยุดขยับ
"ได้สิ เดี๋ยวแม่จะช่วยอีกแรง" แม่สามีกับสะใภ้ช่วยกันตั้งโต๊ะอย่างขยันขันแข็ง
ระหว่างนั้น แม่โจวเดินไปเปิดถังข้าวสารเพราะนึกขึ้นได้ว่าอาจจะต้องไปซื้อมาเติม แต่พอเห็นข้าวเต็มถังก็ต้องหยุดชะงัก
"เสี่ยวหนาน… ลูกไปเอาข้าวพวกนี้มาจากไหน?"
เสี่ยวหนานหันมาพร้อมรอยยิ้มเจื่อน ๆ แต่ก็คิดคำตอบเอาไว้แล้ว
"หนูเอามาด้วยค่ะแม่ เมื่อเช้าเห็นว่าข้าวใกล้จะหมดก็เลยเอาออกมาเติม ต่อไปนี้เรื่องข้าวสารกับเครื่องปรุงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหนูเถอะค่ะ"
แม่โจวได้ยินแบบนั้นก็รีบส่ายหน้า นางไม่ได้คิดจะผลักภาระพวกนี้ไปให้สะใภ้ต้องแบกรับทั้งหมด
"โธ่เอ๊ย...พวกเราจะโยนเรื่องใหญ่ขนาดนั้นให้ลูกรับผิดชอบคนเดียวได้ยังไง เงินนี่เอาไว้ใช้จ่ายนะ อยากซื้ออะไรก็ซื้อ ถ้าหมดก็มาบอกแม่"
พูดจบนางยัดเงิน 20 หยวนใส่มือลูกสะใภ้ทันที เสี่ยวหนานอึกอักเล็กน้อยแต่ก็รับไว้ด้วยความซาบซึ้ง
"ขอบคุณค่ะแม่ หนูจะใช้จ่ายอย่างระวัง"
ไม่นาน โจวซินหน่วน หนูน้อยแสนซนก็แต่งตัวเสร็จแล้ววิ่งออกมากินข้าวด้วยท่าทีร่าเริง
"ว้าว! หอมจังเลย! หนูหิวแล้ว~"
"หน่วนหน่วนมาพอดี หนูไปบอกคุณปู่กับพ่อมากินข้าวได้แล้วนะลูก"
เสี่ยวหนานบอกลูกสาวไปเรียกพ่อโจวกับสือซานที่กำลังจัดเตรียมอวนอยู่หน้าบ้านให้มากินข้าว
"ได้เลยแม่จ๋า"
หนูน้อยออกไปเพียงครู่เดียวก็กลับเข้ามาพร้อมพ่อกับปู่ ทุกคนในบ้านโจวนั่งล้อมโต๊ะกันพร้อมหน้า พ่อโจวชิมกับข้าวแล้วนิ่งไปพักใหญ่ จากนั้นเขาเงยหน้ามองลูกสะใภ้ด้วยแววตาจริงจัง
"ถ้าทำขายที่ท่าเรือต้องขายดีมากแน่ ๆ รสชาติดีขนาดนี้พ่อยังไม่เคยกินที่ไหนมาก่อน"
เสี่ยวหนานได้ยินเช่นนั้นก็ตาลุกวาว ในที่สุดเธอก็พบช่องทางทำมาหากินแล้ว
"ถ้าหนูอยากทำอาหารขายจริง ๆ พ่อ แม่ พี่สือซานจะว่าอะไรไหมคะ?"
ทุกคนหันไปมองหน้ากัน สีหน้าครุ่นคิดแต่ไม่นานก็ยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู
"อาหารนะพ่อไม่กังวลหรอกเพราะบ้านเรามีเรือเป็นของตัวเอง แต่เรื่องข้าวนี่สิ กิโลนึงตั้ง 4-5 หยวน มันจะคุ้มเหรอลูก"
"พ่อไม่ต้องกังวลค่ะ หนูมีแหล่งที่ซื้อได้ในราคาถูก อีกอย่างหนูก็ว่างงานแล้วก็อยากช่วยทุกคนหารายได้เข้าบ้าน"
เสี่ยวหนานพูดด้วยแววตาแน่วแน่
"เอาเถอะ ถ้าเสี่ยวหนานอยากทำพ่อก็สนับสนุน ยังไงวัตถุดิบหลักบ้านเราก็หามาเอง ยังไงก็ลดต้นทุนลงได้เยอะ" พ่อโจวกล่าว
"เสี่ยวหนานอยากทำอะไรพี่สนับสนุนทุกอย่าง ขอแค่มีเรื่องอะไรให้บอกพี่ตรง ๆ อย่าปิดบังกัน"
โจวสือซานที่นั่งฟังเงียบ ๆ เอ่ยขึ้น แต่เสี่ยวหนานที่ฟังอยู่กลับรู้สึกว่าคำพูดนั้นมันซ่อนความนัยบางอย่างเอาไว้ เขาคงไม่ได้เห็นเธอเอาของออกมาจากมิติหรอกนะ
"ตกลงค่ะ งั้นระหว่างนี้หนูจะไปดูร้านที่ท่าเรือ แล้วก็ทำอาหารหลาย ๆ อย่างให้ทุกคนช่วยชิมด้วยนะคะ"
"ได้สิลูก อ้อ…ทำแบ่งไปให้บ้านซูด้วยนะ ส่วนเงินลงทุนเดี๋ยวแม่จะออกช่วย" นางโจวยิ้มพลางจับมือลูกสะใภ้
"ที่ผมก็มีครับแม่ เงินของพ่อกับแม่เก็บไว้ให้หน่วนหน่วนเถอะ ผมจะดูแลเมียของผมเอง"
โจวสือซานพูดหน้าตาเฉย แต่ทำให้แม่พ่อหัวเราะร่วนในความหลงเมียของลูกชาย
หนูน้อยซินหน่วนก็ดูจะไม่สนใจบทสนทนาผู้ใหญ่เลยสักนิด เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตากินโจ๊กปูอย่างเอร็ดอร่อย
"อร่อยมากเลยแม่จ๋า~ พรุ่งนี้หนูขอกินแบบนี้อีก"