ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คุณพงษ์! ทำไมวันนี้ถึงเข้ามาที่นี่ได้ มีอะไรอยากสำรวจอีกหรือเปล่าครับ” ปราโมทย์เอ่ยทักทายขึ้นมาทันที เมื่อเห็นว่าเป็นใครที่เปิดประตูพลวดพลาดเข้ามาแบบนี้โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาต นอกเสียจากลูกสาวและหุ้นส่วนก็ไม่มีใคร เพราะคนอื่น ๆ จะเคาะก่อนเสมอ
และทุกครั้งที่พงษ์พิพัฒน์เข้ามาที่นี่ ก็ต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างที่เขามักจะอยากรู้ตลอด เพราะพงษ์พิพัฒน์นั้นเป็นคนละเอียดและรอบคอบมาก
“ไม่ได้เข้ามานาน วันนี้เลยอยากมาสำรวจพนักงานใหม่ ๆ เสียหน่อย” เขาตอบออกไปตามตรง ตามจุดประสงค์ของตัวเองที่มาในวันนี้
“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ” ปราโมทย์เลิกคิ้วถามต่ออีกทันที
“ผมอยากดูรายชื่อ และประวัติของแผนกช่างทั้งหมดจะได้หรือเปล่า”
“สำหรับคุณพงษ์อยากดูแผนกไหน ก็ย่อมได้อยู่แล้ว ลืมไปแล้วหรือไงครับ ว่าคุณเองก็เป็นหุ้นส่วน และถ้าไม่ได้บารมีของคุณ ที่นี่คงอยู่ไม่รอดมาจนถึงทุกวันนี้” ปราโมทย์เอ่ยขึ้นอย่างจริงใจ
เพราะนึกถึงวันแรกที่เข้ามาบริหารงานที่นี่ โดยถูกตราหน้าว่าเป็นที่ไม่เอาไหน ไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับการบริหาร จึงได้คำแนะนำจากพงษ์พิพัฒน์ และทางครอบครัวของผู้เป็นภรรยาที่มอบหมายให้บริหารงาน รอจนกว่าลูกสาวจะสามารถบริหารงานเองได้
เพราะเป็นมรดกตกทอดมาจากฝั่งของภรรยา นั่นคือมารดาของมุกดารินทร์นั่นเอง เพราะเหตุนี้เขาจึงไม่คิดที่จะแต่งงานใหม่...
ธุรกิจเกือบจะไปไม่รอดมาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะพิษของเศรษฐกิจเล่นงาน จนได้พงษ์พิพัฒน์ยื่นมือเข้ามาช่วยอีก แต่ก็ไม่ได้หวังในส่วนของหุ้นหรือส่วนแบ่งอะไรมากมาย เพราะพงษ์พิพัฒน์เอง ก็รู้จักกับครอบครัวของทางมารดามุกดารินทร์ดี และรักเอ็นดูมุกดารินทร์ดั่งลูกสาวคนหนึ่ง จนอยากจะได้มาเป็นลูกสะใภ้
พวกเขาทั้งสองพยายามเป็นแม่ชักแม่สื่อให้ แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะลูก ๆ นั้นไม่ได้ชอบกันเหมือนเช่นคู่รัก แต่ทั้งสองชอบ และนับถือกันไปในทางพี่น้องมากกว่า
“บารมีอะไรกันครับ เราคนเองทั้งนั้น” พงษ์พิพัฒน์รีบถ่อมตนทันที
“พูดแบบนี้ผมชักอยากจะเป็นดองกับคุณสะแล้วสิ แต่น่าเสียดายที่ตาภัทรกับยัยมุกอายุห่างกันเยอะ แถมทั้งสองก็ชงไม่ขึ้น และยังสนิทกับแบบพี่น้องอีก คงจะจับคลุมถุงชนไม่ได้หรอก...”
“ถ้าผมมีลูกชายที่อายุไล่เลี่ยกัน คุณโมทย์จะยอมดองด้วยหรือเปล่าครับ” พงษ์พิพัฒน์เอ่ยขึ้นอย่างมีเลศนัย ถึงแม้ว่าจะยังไม่ค้นพบความจริงก็ตาม
“คุณไปขอใครมาเป็นลูกอีกหรือครับ แต่สำหรับคุณพงษ์ ผมไม่ติดน่ะ...” เพราะเชื่อในสิ่งที่ตนเองคิดเสมอ ว่าพงษ์พิพัฒน์นั้นไม่มีทายาทในสายเลือด
“คุณพูดแล้วนะครับคุณปราโมทย์”
“ครับ คุณพงษ์พิพัฒน์ผมเป็นคนพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว”
เมื่อเขาได้ดูรายชื่อ และประวัติของแผนกที่ต้องการแล้ว ก็ต้องคิ้วขมวดเมื่อไปสะดุดตากับรายชื่อหนึ่งที่เขาตั้งใจอยากจะรู้ แต่ก็ไม่มีอะไรมาก เพราะเป็นแค่ประวัติทั่วไปของพนักงานเพียงเท่านั้น
วันนี้มุกดารินทร์มีเรียนแค่ครึ่งวัน เธอจึงนั่งแท็กซี่จากมหาวิทยาลัย มารอบิดาเธอเลิกงานที่บริษัทตามคำสั่งที่บิดาเธอสั่งเอาไว้เมื่อเช้า
“ลุงพงษ์สวัสดีค่ะ” เธอเอ่ยทักทายพร้อมกับยกขึ้นไหว้ เมื่อเดินเข้ามาภายใน และเจอเข้ากับพงษ์พิพัฒน์ที่เดินออกมาพอดี
“ไม่มีเรียนเหรอ”
“ช่วงบ่ายไม่มีคะ เลยมาหาคุณพ่อที่นี่ รอกลับบ้านพร้อมกัน แล้วลุงพงษ์ล่ะค่ะ” เธอเอ่ยตอบผู้เป็นลุง แล้วถามกลับไปทันทีอย่างแปลกใจ เพราะว่าเธอไม่ค่อยเจอหน้ากันที่นี่เลย
“ลุงมีธุระต้องจัดการนิดหน่อย”
“มีอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าค่ะ”
“เห็นว่าที่นี่รับช่างมาใหม่ ลุงก็แค่อยากจะมาดูสักหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้น มุกไปกับลุงนะคะ ขี้เกียจไปนอนรอคุณพ่อที่ห้อง ขอไปเดินเล่นกับลุงพงษ์ดีกว่า” หญิงสาวเข้าออดอ้อนผู้เป็นลุงทันที เพราะว่ากว่าจะถึงเวลาที่บิดาเลิกงานก็ตั้งอีกหลายชั่วโมง
“เอาสิ”
พงษ์พิพัฒน์พยักหน้ารับ แล้วพากันเดินเข้าไปยังจุดหมายทันที โดยระหว่างทาง สายตาของมุกดารินทร์นั้นไปสะดุดเข้ากับร่างที่คุ้นเคย จึงหยุดเดินมองดูอย่างัด ๆ และเป็นจังหวะที่ร่างคุ้นเคยนั้นหันหน้ามาพอดี
“พี่เกื้อ!”
“มุก”
สองหนุ่มสาวต่างจ้องมองหน้ากันอย่างตกตะลึง เพราะไม่คิดว่าจะมาเจอกันที่นี่ มุกดารินทร์ทราบว่าเขานั้นได้งานทำ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นที่นี่ เพราะเธอไม่ได้ถามเขา
“พี่ทำงานอยู่ที่นี่หรือคะ” เธอถามเขาขึ้นมาทันที ที่เดินเข้าไปหา
“ครับ” คุณพัฒน์วางทุกอย่างลง แล้วตอบรับ
“ทั้งสองรู้จักกันเหรอ” พงษ์พิพัฒน์ที่สังเกตคนหนุ่มสาวทั้งคู่อยู่นาน พร้อมกับมองสำรวจชายหนุ่มที่มุกดารินทร์เอ่ยขานนั้นอย่างพิจารณา จึงตัดสินใจถามหลานสาวขึ้นมาบ้าง
“คะ”
เพียงแค่มุกดารินทร์ตอบรับ คุณพัฒน์ก็รีบเลี่ยงออกไปทันที แต่ยังก้าวออกไปไม่ถึงสองก้าว ก็โดนเรียกตัวเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวสิพ่อหนุ่ม...หลังเลิกงานไปเจอกันที่ห้องธุรการหน่อยน่ะ” เสียงทุ้มของชายสูงวัยเอ่ยบอกคุณพัฒน์ด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง
“เขาชื่อพี่เกื้อกูลคะลุง” มุกดารินทร์จึงเป็นคนเอ่ยบอกชื่องของเขากับพงษ์พิพัฒน์แทน เมื่อเจ้าตัวเอาแต่ยืนก้มหน้านิ่ง
พงษ์พิพัฒน์ไม่ได้เอ่ยตอบอะไรหญิงสาว แต่กลับพยักหน้ารับรู้ พร้อมกับมองหน้าของคุณพัฒน์อย่างสำรวจ
“พี่เกื้อคะ นี่ลุงพงษ์ พ่อของพี่ภัทรเองคะ” แล้วเธอจึงหันมาบอกกับคุณพัฒน์บ้าง ว่าชายสูงวัยผู้นี้นั้นคือใคร
“สะ สวัสดีครับ ผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ” คุณพัฒน์ได้แต่ยกมือขึ้นไหว้ทำความเคารพผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม ก่อนที่จะเดินออกไปทำหน้าที่ของตนต่อ
“เราสองชอบกันหรอกเหรอ แล้วพ่อของหนูรู้เรื่องนี้หรือเปล่า” พงษ์พิพัฒน์ถามเธอขึ้นมาทันที เมื่อสังเกตสองหนุ่มสาวเมื่อสักครู่
“ลุงดูออกหรือค่ะ แต่คุณพ่อยังไม่ทราบเลยคะ มุกไม่กล้าบอก...” มุกดารินทร์ตาลุกวาวขึ้นมาทันที ที่ถูกถามออกมาแบบนี้ เพราะไม่คิดว่าคนรอบข้างจะดูเธอออก
“ความรักเป็นสิ่งสวยงามน่ะ และก็ขึ้นอยู่กับคนสองคน แต่บางครั้งก็ไม่อาจทำตามใจตัวเองไม่ได้” พงษ์พิพัฒน์เอ่ยทิ้งท้าย ก่อนที่จะเดินเลี่ยงหญิงสาวออกไปอีกทาง
มุกดารินทร์จึงเดินเข้าไปหาคุณพัฒน์ที่ทำงานอยู่ โดยในมือของเธอนั้น มีน้ำดื่มขวดหนึ่งถืออยู่ จึงนำไปให้เขาด้วย
“เหนื่อยไหมคะ” เสียงหวานถามชายหนุ่มที่ใบหน้าชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ เพราะอากาศที่ค่อนข้างอบอ้าวมากพอสมควร
“ไม่ครับ”
“น้ำคะ”
เขามองเธอและขวดน้ำในมือของเธอ ก่อนที่จะรับเพราะไม่อยากหักห้ามน้ำใจเธอ แล้วเอ่ยขอบคุณเธออย่างใจจริง
“ขอบคุณครับ”
คุณพัฒน์เปิดขวดน้ำดื่มยกขึ้นกระดกทันที แล้วมองหน้าเธออย่างมีคำถามมากมาย แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากที่จะถามเธอ
“พี่เกื้อมีอะไรอยากจะถามมุกหรือเปล่าครับ” เธอจึงเป็นฝ่ายเอ่ยเปิดทางให้เขาได้ถามเธอ เมื่อสังเกตเห็นใบหน้าของเขาที่แสดงออกมา
“ไม่มีครับ”
“มุกเป็นลูกสาวของผู้บริหารที่นี่คะ”
เธอจึงเป็นฝ่ายเอ่ยบอกเอง ว่าที่จริงแล้วเธอนั้นเป็นใคร และเกี่ยวอะไรกับที่นี่
จำใจยอมมื้อค่ำสุดพิเศษจบลง มุกดารินทร์ก็ยังคงเอาแต่นั่งชะเง้ออยู่ที่ห้องโถงไม่ยอมขึ้นห้องไปพักผ่อน จนปราโมทย์ที่นั่งอยู่ด้วยถอนหายใจยาว ก่อนที่จะเอ่ยสั่งเด็กสาวรับใช้ที่เป็นหลานสาวของพิไล“ไปตามเกื้อกูลมาที่นี่หน่อย” ปราโมทย์ที่ทนเห็นลูกสาวเป็นแบบนี้ไม่ได้ จึงสั่งให้แม่บ้านไปตามคุณพัฒน์เข้ามาที่บ้านหลังใหญ่ทีนที“ค่ะ คุณท่าน”สักพักคุณพัฒน์ก็เดินเข้ามาถึง เจอกับปราโมทย์นั่งวางมาดขรึมอยู่ที่โซฟาจ้องมองมาที่เขาอย่างเอาเรื่อง แต่เขาทำใจฮึดสู้ยกมือขึ้นไหว้อย่างยอบน้อม โดยที่จะไม่เอ่ยถามอะไรว่าท่านให้คนไปตามทำไมกัน“พามุกดาขึ้นไปนอน นี้ก็ดึกมากแล้วไม่รู้จักหน้าที่เอาเสียเลย” พูดเพียงแค่นั้น ปราโมทย์ก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินเดินผ่านหน้าชายหนุ่มขึ้นไปชั้นบนของบ้านทันที เพราะเขาเองก็ง่วงเต็มทนจนตาแทบจะปิดอยู่รอมร่อ“ทำไมถึงไม่ยอมขึ้นนอนล่ะครับ หืมมม” คุณพัฒน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเมื่อเดินเข้าไปหาหญิงสาว และใช้มือโอบรอบเอวพาเธอเดินขึ้นไปด้านบน“มุกไม่อยากนอนคนเดียวค่ะ มันหงุดหงิดทำให้มุกนอนไม่หลับ” เอ่ยบอกเขาพร้อมกับทำหน้ายู่ราวกับเด็กใส่เขาทันทีดูสิขนาดเธอกำลังจะกลายเป็นแม่คนแล้ว แต
มื้อค่ำสุดพิเศษตกเย็นคุณพัฒน์ที่ผล็อยหลับไปตามหญิงสาวนั้น ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาเย็น แล้วช้อนเอาร่างเล็กของว่าที่คุณแม่ที่ยังคงหลับสนิทอยู่ขึ้นอย่างทะนุถนอมไปวางที่เตียงกว้างให้เธอได้นอนสบาย ก่อนที่จะออกจากห้องของเธอไป เพื่อที่จะไปซื้อของมาทำอาหารมื้อเย็นให้ตามที่่รับปากเธอเอาไว้“จะไปไหน?” เสียงเข้มของปราโมทย์ถามขึ้นมา เมื่อเขากำลังเดินออกจากบ้านไปที่โรงจอดรถ ที่มีมอเตอร์ไซค์เขาจอดอยู่ด้วยปราโมทย์รู้ว่าชายหนุ่มจะออกไปไหน เพราะได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มพูดกับลูกสาวทุกประโยคเมื่อตอนกลางวัน แต่แค่อยากถามกวนเฉย ๆ“จะออกไปตลาดครับ” คุณพัฒน์ตอบออกไปตามตรง เพราะอาศัยอยู่ที่บ้านท่าน ก็ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังอยู่แล้ว ดีแค่ไหนแล้วที่ท่านยอมให้เขามาอยู่ใกล้กับลูกสาวท่าน“ไปสภาพนี้?” ใบหน้านิ่งขรึมมองสำรวจชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จึงได้แต่เลิกคิ้วถามคุณพัฒน์นั้นสวมเพียงแค่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขายาวธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้มีสิ่งของราคาแพงอะไรประดับติดตัว แต่ก็ดูดีใบแบบของชายหนุ่มเอง“คือ...” เขาได้แต่ก้มหน้าถ่อมตนไม่กล้าสบตาของปราโมทย์ เพราะสภาพตัวเองที่ไม่มีอะไรคู่ควรกับลูกสาวท่านเลย“เ
อยากหนีไปจากตรงนี้คุณพัฒน์ที่กำลังทำงานสวนอยู่หลังบ้าน ถูกตามตัวให้มาพบกับเจ้าของบ้าน จึงต้องยอมละทิ้งทุกอย่างไว้ แล้วเดินเข้ามาในบ้านใหญ่ทันทีคุณพัฒน์ได้รับอนุญาตจากปราโมทย์ให้พักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้ โดยพักอยู่ที่บ้านพักของคนงานแทน มีหน้าที่ดูแลรับใช้มุกดารินทร์ในฐานะพ่อของลูกเท่านั้น และจนกว่าที่มุกดารินทร์จะคลอดแต่คุณพัฒน์จะไม่มีสิทธิ์ขึ้นไปชั้นบนของบ้านหลังใหญ่ และให้อยู่กับมุกดารินทร์ได้ เพราะปราโมทย์ต้องการดูพฤติกรรม ว่ามีความอดทนมากแค่ไหนและปราโมทย์ก็ให้เขาออกจากงานทันที ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องขึ้นในวันนั้น ให้มาอยู่ที่บ้านของเขาแทน ส่วนพงษ์พิพัฒน์และธนภัทรจึงยอมให้คุณพัฒน์ทำตามที่ปราโมทย์ขอ เพราะมีทางเดียวที่คุณพัฒน์จะได้อยู่ใกล้ลูกเมีย และเป็นการพิสูจน์ตัวเองด้วยคุณพัฒน์เดินเข้ามาภายในห้องโถงของบ้าน เห็นปราโมทย์นั่งกอดอกอยู่บนโซฟามองมาที่ตน ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรกลับไป ทำเพียงแค่ยกมือขึ้นไหว้เท่านั้น“ตามป้าไลขึ้นไปข้างบน แล้วทำยังไงก็ได้ให้มุกดายอมกินข้าว เป็นผัวเมียภาษาอะไร เมียไม่กินข้าว ก็ไม่ยอมดูแล...” ใบหน้านิ่งขรึมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง เมื่อคุณพัฒน์มาถึ
ไม่ได้เกิดมาเพียบพร้อมสามวันต่อมาบ้านภัทรไชยาธนภัทรกับบิดาของตนรีบมาหามุกดารินทร์ที่บ้าน หลังจากที่ทำธุระที่ต่างจังหวัดเสร็จก็มุ่งหน้ามาบ้านของหญิงสาวเลยทันทีที่ทราบข่าวว่าเกิดอะไรขึ้น“คุณอาอย่าบังคับน้องให้ไปเอาเด็กออกเลยนะครับ เด็กไม่ได้รู้อะไรด้วยเลย น้องจะเสียใจมากแค่ไหน ที่ทำลายเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง แล้วคนที่จะเป็นทุกข์ไม่ใช่แค่มุกดา แต่อาโมทย์เองก็จะรู้สึกผิดไปด้วย...” ธนภัทรร้องขอขึ้นมาทันที ที่รู้ว่าปราโมทย์กำลังจะทำอะไรกับลูกสาว“...” ทุกคนเงียบลงไม่มีใครพูดอะไรออกมาสายตาหันมองไปยังหญิงสาวและชายหนุ่ม ที่หน้าตาบูดซ้ำ เพราะการถูกซ้อมปางตายจากลูกน้องของปราโมทย์ แล้วหันกลับมาเอ่ยกับเจ้าของบ้านต่อ...“ถือว่าเห็นแก่เด็กที่กำลังจะเกิดมา ซึ่งก็คือหลานแท้ ๆ ของอาเอง พ่อเขาก็มีทำไมอาต้องอยากให้ลูกสาวตัวเองทำร้ายอีกหนึ่งชีวิตเพื่ออนาคตด้วยครับ คลอดแล้วค่อยกลับไปเรียนก็ได้”“...” ปราโมทย์ไม่เอ่ยตอบอะไร เมื่อธนภัทรเอ่ยออกมาเช่นนี้“เกื้อกูลก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร น้องออกจะเป็นคนดีคนขยันทำมาหากินคนหนึ่ง เพียงแต่เกิดมากับครอบครัวที่ไม่เพียบพร้อมเหมือนกับพวกเรา แต่ไม่ใช่ว่าวันข้างหน้
ไม่เจียมตัวเอาเสียเลยก๊อก ก๊อก ก๊อก“มีอะไร” เสียงเข้มถามออกไป เมื่อวิศรุตผุนผันเข้ามาหาเขาที่ห้องแบบไม่ได้รอให้คนด้านในอนุญาตเสียก่อนทุกสายตาที่อยู่ในห้องนี้ด้วย ต่างก็หันจ้องมองมาที่วิศรุตเป็นตาเดียวอย่างรอฟังคำตอบ ชายหนุ่มหากได้สนใจไม่ กลับเดินเข้าไปหาปราโมทย์ทันที เพราะมีเรื่องด่วนกว่า“คุณหนูมุกเป็นลมครับ” เสียงกระซิบเอ่ยบอกเบา ๆ เพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน“อะไรน่ะ!!! เป็นลม? แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน” แต่ปราโมทย์ เมื่อได้ยินว่าลูกสาวสุดที่รักเป็นอะไร กลับเก็บอาการไม่อยู่ ตวาดถามเสียงดังขึ้นมาทันที โดยไม่สนใจว่าในที่นี่จะมีใครได้ยินบ้าง เพราะเป็นห่วงลูกสาวจนไม่สามารถควบคุมอะไรได้“อยู่ข้างล่างครับ” วิศรุตเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งปราโมทย์ไม่ได้สนใจทุกสายตาที่มองมาที่ตน รีบสาวเท้าเดินออกไปจากตรงนี้ ลงมายังจุดที่วิศรุตแจ้งว่าลูกสาวอยู่ที่ไหนและก็เจอกับคุณพัฒน์กำลังอุ้มลูกสาวตนเดินไปทางห้องพยาบาลพอดี จึงได้แต่เดินตามไปแต่ไม่ได้เอ่ยถามอะไรชายหนุ่มออกไปคุณพัฒน์วางมุกดารินทร์ลงที่เตียงในห้องพยาบาลอย่างเบามือ และก็ออกมารออยู่ห่าง ๆ ให้หมอที่ถูกเรียกตัวมาจากโรงพยาบาลตรวจดูอาการหมอที
เอาอะไรไปสู้เขาวิศรุตได้แต่ชำเลืองมองคุณพัฒน์ที่เดินสวนกันอย่างรู้สึกเห็นใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเขาเองก็ต้องทำตามหน้าที่เหมือนกัน“ให้คนของเราไปจัดการเลยไหมครับ” ถามผู้มีพระคุณที่นั่งหน้าขรึมขึ้นมาทันที ที่เขาเดินเข้ามาภายในห้อง“ไม่ต้อง รอดูไปก่อน ถ้ามันขัดคำสั่งเมื่อไหร่ ค่อยจัดการทีเดียว”ปราโมทย์รีบปราม แล้วนั่งทำงานต่ออยู่ภายในห้องอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้สนใจอะไรต่อ แต่สมองก็สั่งการให้เขาอดคิดเรื่องของลูกสาวกับชายหนุ่มที่เขาเรียกมาตักเตือนไม่ได้อยู่ดี“มีหยัง...เว้าบอกกูได้เด้อ เผื่อมึงสิสบายใจขึ้น” (มีอะไร...เล่าให้กูฟังได้น่ะ เผื่อมึงจะสบายใจขึ้น) ชนาวุฒิถามเพื่อนขึ้นมาทันที ที่เห็นคุณพัฒน์เดินกลับเข้ามาทำงานด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก“มันจบลงแล้วล่ะ เฮ็ดงานต่อเถาะอย่าสนใจเรื่องของกูเลย” (มันจบลงแล้วแหล่ะ ทำงานต่อเถอะอย่าสนใจเรื่องของกูเลย) สั่งเรียบเอ่ยบอกเพื่อน แต่ใบหน้าก็ยังแสดงความทุกข์ออกมาอยู่ดี“มักลูกสาวเขาเฮากะสู้ตัวเกื้อ” (รักลูกสาวเขาเราก้ต้องสู้สิเกื้อ)“กูบ่มีอีหยังไปสู้เขาได้ดอก มึงกะเห็น” (กูไม่มีอะไรไปสู้เขาหรอก มึงก็เห็น) พูดตัดพ้อตัวเองขึ้นมาทันท