“ออกไปให้พ้น อย่ามายุ่งกับข้า”
เสียงตวาดไล่สาวใช้ของลี่เหยาถิง ทำเอาไม่มีใครกล้าเข้าใกล้นายสาวที่กำลังอาละวาดผู้นี้เลยสักคน
สาวใช้ทั้งสองที่ติดตามมาจากจวนแม่ทัพจึงได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าแม้แต่ขยับเท้าไปทางใด ทำได้เพียงมองเจ้านายทั้งสองฝ่ายอย่างงงงัน โดยฝ่ายสามีก็เดินประคองหญิงผู้หนึ่งจากไปจนไกลลิบ ส่วนฝ่ายภรรยาก็วิ่งหนีไปไม่เหลียวหลัง
“ทำเช่นไรดี” สาวใช้คนแรกเอ่ยถามเสียงเบา
“คงต้องปล่อยไปก่อนนั่นล่ะ เราผู้น้อยจักทำอันใดได้เล่า”
“...”
สาวใช้ทั้งสองเพียงนิ่งเงียบไป ปล่อยให้สายลมพัดผ่านอยู่ที่เดิมเนิ่นนาน ก่อนจะพากันเดินออกไปไกลๆ ให้นายสาวได้อยู่กับตนเองไปดั่งใจต้องการนั่นล่ะ
พวกนางเป็นสินเดิมเจ้าสาวมากับลี่เหยาถิงก็จริงอยู่ หากแต่ความสนิทสนมหาได้เทียบเท่ากับสาวใช้คนเก่าที่ตายไปด้วยโรคประจำตัวเมื่อหลายเดือนก่อนของลี่เหยาถิงไม่
เห็นได้ชัดว่าลี่เหยาถิงเป็นสตรีอันตราย ที่ใครอยู่ใกล้เป็นต้องตาย ทั้งบิดามารดา ไทเฮา สาวใช้คนสนิท
เรื่องราวเหล่านี้สาวใช้ทั้งสองได้ยินเป็นข่าวลือมาเข้าหูจากที่ใดมิอาจทราบได้ แต่พวกนางก็ปักใจเชื่อเช่นนั้นไปเสียแล้ว
ความจริงที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ก็คือ ทุกข่าวลือย่ำแย่ที่ทำให้ลี่เหยาถิงเสื่อมเสีย ล้วนมาจากเพ่ยจีทั้งสิ้น
ลี่เหยาถิงวิ่งออกมาเสียไกลก็ได้แต่เหนื่อยหอบ ก่อนจะหลบมุมอยู่ตรงพุ่มไม้สูงท่วมหัวไร้ใครเห็น เพื่อร่ำไห้เพียงลำพัง
นางไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าใคร...
หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดในหัวใจเป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านี้นางต้องโศกเศร้าเรื่องท่านยายที่ตายจากก็ว่าทรมานมากแล้ว ยังต้องมาเจอเจ้าคนโง่งมกับสตรีวิปลาสก็ให้ยิ่งรู้สึกย่ำแย่เข้าไปใหญ่
ในหัวใจมีแต่คำถามว่า ทำไม ทำไม อยู่เต็มไปหมด
นางนั่งลงหลังพุ่มไม้อย่างอ่อนแรง ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงช้าๆ รับรู้ถึงหยดน้ำตาร้อนผ่าวที่หางตากับความรู้สึกแตกสลายในอกจวนเจียนจะแหลกเหลว นางกำลังรู้สึกเศร้าเสียใจและสิ้นหวังหยั่งลึกไปทุกสัดส่วน
การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักในยามนี้ หากได้ชายในดวงใจมาคอยปลอบประโลมกันก็คงดี
แต่คงไม่มีวันนั้น...
สตรีก็มีเพียงเท่านี้ ต้องการแค่ความแข็งแกร่งยึดเหนี่ยวจิตใจที่อ่อนแอ
อันที่จริง ลี่เหยาถิงมักจะเข็มแข็งเด็ดเดี่ยวมาโดยตลอด เพียงแต่ว่าช่วงสองเดือนมานี้ นางรู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
เดิมทีก่อนแต่งงานกับเหอหย่งหมิง นางรู้สึกมีความสุขมาก นางนั่งยิ้มได้ทั้งวันด้วยซ้ำไป นางคิดว่าการได้แต่งงานเขาเป็นสุดยอดปรารถนาแล้วซึ่งชีวิตนี้ ความรักลึกซึ้งย่อมตามมาได้หลังการแต่งงาน
แต่ทว่าหลังจากได้แต่งงานกันและเข้าหอเพียงคืนเดียวเท่านั้น เขาก็หายหน้าไป
ทำให้นางต้องนั่งฟุ้งซ่านอยู่คนเดียวทุกวัน
เวลาร่วมสองเดือนมานี้ นางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในแบบที่ไม่เคยเป็น อารมณ์ก็รุนแรงมากยิ่งขึ้น มองอะไรก็ไม่สบอารมณ์ไปเสียหมด
นางรู้ดีว่าตนเองเป็นคนอารมณ์ร้าย มีนิสัยเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ แต่ก็มิใช่ไม่มีเหตุผล ทว่าช่วงหลังมานี่นางกลับเป็นเอามาก กระทั่งบ่าวรับใช้ยังไม่กล้าสู้หน้า นางทั้งอาละวาดทั้งเกรี้ยวกราดทำลายข้าวของ จนตัวนางเองยังนึกแปลกใจ
ชั่วขณะนั้นลี่เหยาถิงพลันเจ็บท้องน้อยอย่างรุนแรง และยิ่งเจ็บมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
นางถึงกับต้องกุมท้องนั่งตัวงอจนร่างเกร็ง ก้มหน้าลงเอาเล็บจิกลงกับต้นหญ้าบนพื้นดิน กัดปากแน่น
ทันใดนั้นสายตาฉ่ำน้ำพลันเหลือบไปเป็นเลือดสีแดงฉานตรงหว่างขา ซึมขึ้นมาเหนือผ้าที่เป็นชุดสีเหลืองสด
สีหน้าของลี่เหยาถิงแสดงออกถึงความตกใจขีดสุด ดวงตาเบิกกว้างตะลึงทันใด
เลือดที่ไหลทะลักออกมาจากส่วนสงวนนี้ หากเป็นระดูคงไม่มากมายถึงเพียงนี้ และคงไม่เจ็บท้องแทบขาดใจปานนี้
คำสันนิษฐานหนึ่ง พลันปรากฏในโสตประสาทที่เริ่มพร่าเลือน
นางตั้งครรภ์!
คำนี้สะกิดใจของลีเหยาถิงอย่างรุนแรง
และนางก็กำลังจะสูญเสียเขาไป!
ชั่วขณะนั้นราวกับฟ้าจะถล่มลงมาทับศีรษะของนาง เพราะสิ่งที่ได้ประจักษ์ยามนี้จู่โจมความรู้สึกของนางอย่างร้ายแรง
หญิงสาวรีบหันซ้ายแลขวาอย่างลนลาน พยายามมองหาพ่อของลูกอย่างยากลำบาก
ในพริบตานั้น นางก็นึกได้ว่า เขาจากไปแล้ว
เขาไปพร้อมกับสตรีอื่น
เขากอดประคองสตรีนางนั้นอย่างรักใคร่ทะนุถนอม
เดินห่างจากนางไป ไม่มีเหลียวหลังกลับมา
ไม่แม้แต่จะคิดมองนางด้วยหัวใจเลยสักครั้ง
ลี่เหยาถิงหลับตาจนเรียวคิ้วขมวดพันกันจนยุ่งเหยิง รู้สึกปวดแปลบในหัวใจคล้ายกับโดนจ้วงแทงด้วยแท่งเหล็กร้อน ในขณะที่ท้องน้อยของนางก็ปวดเกร็งจนสุดจะทนมากขึ้นเรื่อยๆ
หญิงสาวกัดริมฝีปากจนเลือดซึม เหงื่อกาฬผุดพรายไปทั่ววงหน้า
นางสูดลมหายใจยาวเข้าลึกสุดโพรงอก เพื่อสะกดความเจ็บปวดในกาย ข่มกลั้นความเจ็บแปลบปวดร้าวในใจ
เหอหย่งหมิงจากไปแล้ว
เขาจากไปกับเพ่ยจี
เจ้าซื่อบื้อถูกปีศาจจับกินไปแล้ว...
หญิงสาวเจ็บท้องมากยิ่งขึ้น สติพร่าเลือนจวนเจียนจะสิ้นลง ทว่าเสียงทุ้มห้าวพลันดังอยู่ทางด้านหลัง
“งดงามถึงเพียงนี้ หากฆ่าทิ้งก็น่าเสียดาย”
เสียงนั้นทำดวงตาของลี่เหยาถิงเบิกกว้างยิ่งกว่าเดิม ร่างกายที่กำลังเจ็บปวดชาวาบไปถึงกลางใจ
“งดงามแล้วอย่างไร ดูกระโปรงนางนั่นประไร”
เสียงแหบห้วนอีกหนึ่งกล่าวออกมา ลี่เหยาถิงเหลือบสายตามองกระโปรงตนเองอย่างปวดใจ
เลือดสีแดงฉานไหลออกมาไม่หยุด นางเองก็ปวดร้าวไปทั้งร่าง
ไม่! ลูกของนางต้องไม่เป็นอะไร
ในขณะที่ลี่เหยาถิงพยายามส่ายหน้าปฏิเสธต่อโชคชะตาอันโหดร้อนยามนี้ ฝ่ามือกรุ่นร้อนหยาบกระด้างพลันกอบกุมใบหน้านาง ปิดปากและจมูกนางจนสิ้น
เสียงแหบพร่าจะคงดังให้ได้ยิน
“ระวังหน่อยอย่าให้นางเกิดบาดแผลด้วยคมมีดเด็ดขาด ต้องเป็นการตายแบบคิดสั้นด้วยตนเองเท่านั้น”
“รู้แล้วๆ”
ยังไม่ทันที่ลี่เหยาถิงจะดึงสติที่กำลังตกตะลึงให้กลับมานางยังไม่ทันส่งเสียงกรีดร้องด้วยซ้ำ ทุกสรรพสิ่งรอบเรือนกายพลันดำมืดดับวูบไปจนสิ้น
พลบค่ำผ่านพ้นช่วงอาหารค่ำไปแล้วราวสองเค่อเหอหย่งหมิงมิได้ถามหาเหตุผลแห่งการกระทำของภรรยาในช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่แม้ครึ่งคำ แต่เขาเพียงนั่งอยู่ที่โต๊ะกลางห้องเพื่อรอเวลาให้เพ่ยจีนำสิ่งของมามอบให้เขาเหมือนเช่นทุกครั้งที่เขากลับเข้าจวนมาก็เท่านั้น“ท่านพี่...” เสียงแว่วหวานอันคุ้นเคยดังมาจากทางห้องนอนด้านใน พร้อมร่างระหงเดินนวยนาดออกมาโดยมีสิ่งของในมือน้อยๆ เต็มไปหมดซึ่งเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้“น้องปักผ้า เย็บรองเท้าให้ท่านพี่เจ้าค่ะ” นางแย้มยิ้มพริ้มเพราพร้อมยื่นทุกสิ่งให้เขาตรงหน้า ท่าทางของนางอ่อนโยนเอาใจใส่เขาอย่างนุ่มนวลตลอดเวลา“ขอบใจเจ้ามาก ที่ใส่ใจข้า” ชายหนุ่มตอบรับเสียงทุ้มนุ่มเหมือนที่เคยเป็นมา พร้อมกับรับทุกอย่างมาไว้ในมือแล้วคลี่ออกดูอย่างพิจารณา สายตาคมเข้มทอประกายชื่นชมเหมือนเช่นทุกครั้งที่ภรรยามอบสิ่งของเหล่านี้ให้เขา“ยังมีภาพวาดพร้อมกลอนด้วยนะเจ้าคะ” เพ่ยจีกรีดยิ้มเอาอกเอาใจแล้วคลี่ภาพวาดให้เหอหย่งหมิงได้พินิจมอง“ท่านชอบหรือไม่?” นางส่งสายตาออดอ้อนน่าเอ็นดูชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเอื้อมนิ้วแกร่งเชยคางมนแล้วเปรยคำหวานใส่หน้าหญิงสาว“ข้าชอบมาก ภาพง
ย่างเข้าเดือนที่แปดให้หลังจากนั้น...เหอหย่งหมิงก็เดินทางกลับจวนของตน หลังจากไปประจำยังชายแดนอันทุรกันดารห่างไกลนานถึงครึ่งปี โดยครั้งนี้มิได้ให้ใครแจ้งเพ่ยจีล่วงหน้า ด้วยเพราะระยะทางช่างห่างไกลเหลือเกิน เดินทางแต่ละคราทั้งขาไปและขามา กินเวลาเกือบสองเดือน เขาจึงมิรู้ได้ว่าจะกลับถึงจวนวันใดเมื่อกลับเข้าจวนมาก็ต้องแปลกใจ เมื่อเพ่ยจีมิได้อยู่ภายในจวนอันที่จริงนางมิได้มารอรับหน้าประตูเหมือนเช่นทุกครั้งก็พอเข้าใจได้ เพราะเขามิได้ส่งคนมาแจ้งล่วงหน้าว่าจะกลับวันใด หากแต่ในเรือนส่วนตัวก็ไม่อยู่ ส่วนใดของจวนก็ไม่เห็นแม้เงา ถามบ่าวไพร่จึงรู้ว่านางมิได้กลับจวนมาหลายวันแล้วแม่ทัพหนุ่มนึกแปลกใจไม่เบา กับการที่สตรีออกเรือนแล้วแต่ยังกล้าไปนอนค้างแรมที่อื่น นับได้ว่าไม่เหมาะอย่างยิ่งชายหนุ่มจึงออกตามหาหญิงสาวผู้เป็นภรรยาด้วยตนเอง นึกกลัวเกรงว่าจะเป็นเหมือนลี่เหยาถิง ที่ทิ้งเขาไปไม่ไยดี ทั้งๆ ที่นางบอกว่ารักเขาเหอหย่งหมิงคิดถึงภรรยาคนแรกโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิด ขณะที่ออกตามหาภรรยาคนปัจจุบันและแล้วเขาก็ได้ล่วงรู้ความจริงบางประการที่ทำให้เขาประหลาดใจมากโข ซึ่งไม่คาดฝันว่าสตรีเรียบร้อยอ่อนหวานจักคิดกร
หนึ่งปีต่อมา...ตลอดระยะเวลาที่ไว้ทุกข์ให้ลี่เหยาถิง เหอหย่งหมิงไม่อาจบอกได้ว่า ตัวเขารู้สึกเช่นไรไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ว่าความอึดอัดในโพรงอกคืออะไรชายหนุ่มมีบุคลิกที่เงียบขรึมอยู่แล้วเป็นทุนเดิม กลับเคร่งขรึมเย็นชามากกว่าเดิมมากโข จนคนรอบข้างรู้สึกได้ หากแต่เจ้าตัวกลับไม่รู้สึกอันใดเขายังคงไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นอะไรไปไม่เข้าใจแม้แต่น้อย...เมื่อพ้นช่วงที่เหอหย่งหมิงต้องไว้ทุกข์ให้ลี่เหยาถิงครบหนึ่งปีแล้ว เขาจึงตบแต่งเพ่ยจีเข้าจวนมาเนื่องจากเจี้ยนหยางฉีฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้แต่งๆ กันไปเสีย คล้ายประชดประชันแทนหลานสาวที่ตายจาก โดยมิได้ออกราชโองการแต่อย่างใด พระองค์เพียงตรัสด้วยสุรเสียงเย็นชาว่า ‘ถิงเอ๋อร์อุตส่าห์ฆ่าตัวตายเพื่อเปิดทางให้ถึงเพียงนี้ หากพวกเจ้าไม่แต่ง เห็นทีการตายของนางคงเสียเปล่า’เหอหย่งหมิงได้ฟัง หัวคิ้วก็กระตุกไม่หยุด แม้เขาจะบอกว่าตัดสัมพันธ์กับเพ่ยจีไปแล้ว ก็หาได้เป็นผลไม่อีกทั้งเพ่ยจีเองก็นัดพบเขาเพื่อรบเร้าออดอ้อนและทวงสัญญาที่เคยให้ไว้เมื่อครั้งก่อนที่เขาจะแต่งลี่เหยาถิงเมื่อมีรับสั่งทางอ้อมจากองค์เหนือหัวและคำมั่นกับนางที่ต้องรักษา เหอหย่งหมิงจึงแต
ดวงตาคมเข้มทอประกายเย็นเยียบวูบไหว ร่างแกร่งเพียงยืนตระหง่านนิ่งนานไม่ไหวติงใดๆ สมองพลันขาวโพลน สายตาพลันว่างเปล่า ทุกสรรพสิ่งคล้ายหยุดเคลื่อนขับไปชั่วขณะกระทั่งมีรับสั่งจากฮ่องเต้ให้เข้าเฝ้า ซึ่งคาดว่าพระองค์น่าจะทรงกลับจากแปรพระราชฐานยังทิศตะวันออกแล้ว และก็คงจะทรงรู้เรื่องลี่เหยาถิงแล้วเช่นกันชายหนุ่มจึงดึงสติของตนให้กลับมา แล้วสั่งให้บ่าวรับใช้ดูแลนำศพของลี่เหยาถิงกลับจวน กำชับให้ดูแลอย่างดี ก่อนจะเดินทางเข้าเฝ้าองค์เหนือหัวในทันทีเมื่อเดินมาถึงต่อหน้าพระพักตร์ จึงได้เห็นสายพระเนตรตำหนิชัดแจ้งจากเจี้ยนหยางฉีฮ่องเต้เจ้าแห่งแผ่นดินต้าเจี้ยนเพียงทอดพระเนตรเหอหย่งหมิงเงียบงัน ยังไม่อาจตรัสสิ่งใดทั้งสิ้น ด้วยพระองค์ทรงรู้ดี ว่าเรื่องนี้นับเป็นเรื่องหลังเรือนของผู้อื่นเมื่อสตรีแต่งงานออกไปแล้วก็คือคนของสามี และการฆ่าตัวตายก็คือการตายโดยสมัครใจ ไม่สามารถเอาผิดผู้ใดได้ทั้งนั้นต่อให้เป็นถึงโอรสสวรรค์ พระองค์ไม่อาจยุ่งย่ามได้ เพราะว่ามันอยู่นอกเหนือจากกฎมณเฑียรบาลโดยสิ้นเชิงทั้งนี้วังหลังของพระองค์เองก็ดุเดือดเลือดพล่านอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เกิดการปองร้ายบ้าง ฆ่ากันตายบ้าง ปลิดชีพ
ค่ายทหารหน้าด่านห่างออกมาจากประตูเมืองหลวงสิบลี้ราตรีผันผ่านจากรัตติกาลเป็นทิวากาล จวบจนค่ำคืนนี้ก็นับได้ว่าผ่านมาหลายราตรีแล้วที่เหอหย่งหมิงได้ตัดสัมพันธ์กับเพ่ยจี และกลับมาประจำที่ค่ายทหารโดยมิได้กลับเข้าจวน ปล่อยให้ภรรยาพระราชทานอยู่ไปตามใจนาง โดยที่เขาแยกออกมาเพื่อความสบายใจของตนเองกลางลานกว้างที่เหล่าทหารนั่งล้อมวงนั่งร่ำสุราหลังจากฝึกหนักในแต่ละวัน ตรงกลางของทุกคนมีเพียงกองไฟที่ใช้ไม้สุมคล้ายกระโจมเพื่อให้เพลิงโหมกระพือขึ้นที่สูง สร้างความอบอุ่นให้แก่พี่น้องที่นั่งเป็นวงกลมรอบทิศทางท่ามกลางความมืดสลัวเลือนราง มีเสียงพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติดังลั่น“เดิมทีข้าก็โปรดปรานฮูหยินเอกคนแรกไม่น้อย หากแต่เมื่อรับฮูหยินรองเข้ามา ความแปลกใหม่ก็บังเกิด ได้รู้ถึงความสำราญอย่างแท้จริง”เสียงหนึ่งดังขึ้นต่อจากปลายประโยคของนายทหารก่อนหน้าที่ขึ้นหัวข้อสนทนาเอาไว้ว่าเขาต้องรับภรรยาเพิ่มเพื่อทายาทที่ยังไม่ถือกำเนิดเสียที ทำให้บรรพชนต้องเป็นห่วงแล้ว แต่ติดตรงที่เกรงใจภรรยาเอกอีกเสียงหนึ่งจากรองแม่ทัพเอ่ยเสริม “ข้ามีอนุมากกว่าสามคน แต่ละคนข้าล้วนโปรดปราน เรื่องทายาทก็หายห่วง เต็มบ้านไปหมด”ชาย
“ออกไปให้พ้น อย่ามายุ่งกับข้า”เสียงตวาดไล่สาวใช้ของลี่เหยาถิง ทำเอาไม่มีใครกล้าเข้าใกล้นายสาวที่กำลังอาละวาดผู้นี้เลยสักคนสาวใช้ทั้งสองที่ติดตามมาจากจวนแม่ทัพจึงได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าแม้แต่ขยับเท้าไปทางใด ทำได้เพียงมองเจ้านายทั้งสองฝ่ายอย่างงงงัน โดยฝ่ายสามีก็เดินประคองหญิงผู้หนึ่งจากไปจนไกลลิบ ส่วนฝ่ายภรรยาก็วิ่งหนีไปไม่เหลียวหลัง“ทำเช่นไรดี” สาวใช้คนแรกเอ่ยถามเสียงเบา“คงต้องปล่อยไปก่อนนั่นล่ะ เราผู้น้อยจักทำอันใดได้เล่า”“...”สาวใช้ทั้งสองเพียงนิ่งเงียบไป ปล่อยให้สายลมพัดผ่านอยู่ที่เดิมเนิ่นนาน ก่อนจะพากันเดินออกไปไกลๆ ให้นายสาวได้อยู่กับตนเองไปดั่งใจต้องการนั่นล่ะพวกนางเป็นสินเดิมเจ้าสาวมากับลี่เหยาถิงก็จริงอยู่ หากแต่ความสนิทสนมหาได้เทียบเท่ากับสาวใช้คนเก่าที่ตายไปด้วยโรคประจำตัวเมื่อหลายเดือนก่อนของลี่เหยาถิงไม่เห็นได้ชัดว่าลี่เหยาถิงเป็นสตรีอันตราย ที่ใครอยู่ใกล้เป็นต้องตาย ทั้งบิดามารดา ไทเฮา สาวใช้คนสนิทเรื่องราวเหล่านี้สาวใช้ทั้งสองได้ยินเป็นข่าวลือมาเข้าหูจากที่ใดมิอาจทราบได้ แต่พวกนางก็ปักใจเชื่อเช่นนั้นไปเสียแล้วความจริงที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ก็คือ ทุกข่าวลือย่ำแย่ที่ท