"เหตุใดพระชายาจึงมิต่อต้าน ทั้งที่รู้ว่าต้องไปแต่งงานต่างแคว้นแถมยังแต่งงานกับบุรุษ" ซือเย่าถามคนงามหลังรับประทานอาหารเสร็จ
"ต่อต้านแล้วอย่างไรไม่ต่อต้านแล้วอย่างไร ฮ่องเต้มีพระราชโองการมาเยี่ยงนั้นข้าต่อต้านได้หรือ เมื่อทำสิ่งใดมิได้ก็ย่อมต้องทำใจ หากข้าหักใจหนีไปอาจโดนประหารทั้งตระกูลบ่าวไพร่ที่ไม่มีความผิดจะเดือดร้อนไปด้วย ข้าฟังข่าวลือเรื่องท่านอ๋องพยัคฆ์จากนักเดินทางที่แวะมาที่ร้านน้ำชาของข้ามามากมาย แต่ข้ายังไม่เคยได้ยินว่าท่านอ๋องเป็นผู้นิยมบุรุษ ข้าจึงคิดว่าถึงแต่งไปก็คงไม่เป็นไรต่างคนต่างอยู่ก็คงได้กระมัง" คนงามพูดด้วยความไม่แน่ใจในตอนท้าย
ซือเย่าแอบยกนิ้วให้ในใจ พระชายาช่างมีความคิดอ่านเยือกเย็นนัก แต่มีเรื่องจริงเพียงแค่ส่วนเดียวว่าท่านอ๋องไม่เคยนิยมบุรุษแต่ไม่ได้หมายความว่าต่อไปจะไม่นิยมบุรุษ
อาหลานเดินออกมาจากเงามืด ปากคาบกระต่ายป่าสีขาวมาตัวหนึ่ง มันวางกระต่ายลงหน้าลู่อี่
"ให้ข้าหรือขอบใจเจ้ามากนะ" ฟ่านลู่อี่ตบหัวมันเบาๆ ในรถม้าเกิดเหตุใดขึ้นกันแน่ ปกติอาหลานที่แสนเย่อหยิ่งมิยอมให้ผู้ใดลูบศีรษะนอกจากท่านอ๋อง
ลู่อี่หยิบกระต่ายโชคร้ายขึ้นมาดู มันนอนนิ่งเหมือนตายแล้วดูจากภายนอกไม่มีบาดแผล พอลู่อี่ลูบตัวมันก็กระโดดขึ้นสุดตัว มันงงอยู่ชั่วครู่แล้วก็วิ่งหนีหายไป
"ปล่อยมันไปเถอะนะอาหลาน" ฟ่านลู่อี่บอกอาหลานที่ตั้งท่าจะกระโจนตามเจ้ากระต่ายไป
เจ้าพยัคฆ์ดำมองตามกระต่ายอย่างเสียดาย แต่ยินยอมหมอบลงข้างๆฟ่านลู่อี่ลู่อี่อย่างเชื่อฟัง คนงามนั่งเงียบจนอาหลานเอาหัวอันใหญ่โตของมันเกยตักคนจึงหลุดออกจากภวังค์
"ข้าไม่เป็นไรหรอกอาหลาน ข้าจะไม่เป็นไร" ฟ่านลู่อี่ยิ้มเศร้าลูบศีรษะอาหลาน
ทางพระราชวังเหล่าขุนนางและชนชั้นสูงเริ่มทยอยมางานเลี้ยง ทั้งที่แพ้สงครามแต่คนต่างแต่งตัวหรูหรามาอวดประชันกัน คนตระกูลฟ่านที่ควรจะเป็นตัวเอกของงานกลับนั่งประจำที่อย่างเฉยเมย มีเพียงฟ่านปิงปิงที่เดินทักแขกเหรื่อไปทั่วงานกับองค์ไท่จื่อ
"มิทราบว่าเมื่อใดคุณชายฟ่านจะมาถึงหรือคุณหนูฟ่าน ข้าหวังจะได้ยลคุณชายเป็นครั้งสุดท้าย ช่างน่าเสียดายจริงๆที่แคว้นเราจะต้องเสียดอกไม้งามให้แก่แคว้นเจี๋ย" คนพูดมีกลิ่นสุราโชยมา ปกติแล้วเรื่องที่คุณชายฟ่านงดงามกว่าคุณหนูฟ่านเป็นเรื่องต้องห้าม แม้มีใบหน้าคล้ายกันอยู่หลายส่วนแต่เมื่อยืนคู่กันแล้ว คุณหนูก็ถูกความงามเปล่งประกายของคุณชายดับสิ้น จนเจ้ากรมคลังไม่พาคุณชายออกงานเพราะเกรงว่าผู้คนจะให้ความสนใจคุณชายมากกว่า อีกทั้งคุณชายฟ่านมีความเฉลียวฉลาดผิดกับคุณหนูฟ่านที่เอาแต่แต่งตัวสวยไปวันๆ
ถึงอย่างไรเรื่องนี้เพียงรู้กันวงในเท่านั้น ฟ่านปิงปิงยังครองตำแหน่งสตรีงดงามที่สุดในแผ่นดินจากงานชมบุปผามาสามปีแล้วเพราะฟ่านลู่อี่ไม่ได้เข้าร่วมงานของสตรี
"ฮ่องเต้เสด็จแล้ว" เสียงขันทีขานดังก้องท้องพระโรงที่จัดงาน เหล่าผู้มาร่วมงานเข้าประจำที่หมอบกราบกันจ้าละหวั่น ฮ่องเต้และฮองเฮาเข้าประทับยังพระที่นั่ง ดวงตากวาดมองไปทั่วงานพระพักตร์เริ่มบึ้งตึง เจ้ากรมคลังพยายามนั่งตัวลีบแต่ยังไม่สามารถรอดพ้นไปได้
"เจ้ากรมคลัง บุตรชายของเจ้าอยู่ที่ใด"
"ตอนกระหม่อมออกมา ลู่อี่ยังคุยกับท่านรองแม่ทัพอยู่ที่เรือนพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะส่งคนไปตามเดี๋ยวนี้" เจ้ากรมคลังเช็ดเหงื่อที่หลั่งไหลออกมาดุจธารน้ำในใจนึกก่นด่าบุตรชาย เขาประมาทไปหน่อยเพราะที่ผ่านมาลู่อี่ไม่เคยขัดคำสั่งเขามาก่อนเขาจึงวางใจมิได้ส่งใครไปดูแล
ผ่านไปสองเค่อ เจ้ากรมคลังนั่งคอยืดยาวรอบุตรชายแต่คนสนิทที่ส่งกลับไปดูที่จวนมากระซิบข้างหู เจ้ากรมคลังถึงกับหูอื้อนัยน์ตาลายขณะกำลังใคร่ครวญว่าจะถวายรายงานเช่นไรดี ก็มีขันทีเดินถือสาส์นเข้ามาถวายให้ฮ่องเต้ พระองค์รับไปอ่านแล้วขยำจดหมายแน่นแต่ยังมิได้ขว้างทิ้ง
"เลิกงานได้" สุรเสียงดังด้วยโทสะก้องท้องพระโรง ฮ่องเต้เดินสะบัดหน้าออกจากงานแม้แต่ฮองเฮายังมิทันตั้งตัวจำต้องลุกตามไปอย่างรวดเร็วทิ้งให้เหล่าขุนนางวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่
กลับมาที่กองกำลังพยัคฆ์ที่คุ้มครองพระชายาลู่อี่กลับแคว้นเจี๋ย ทั้งหมดเดินทางตลอดคืนตัดผ่านทางหลวงโดยไม่แวะพัก จนถึงรุ่งเช้าที่ชายป่า แวะพักเพียงหนึ่งชั่วยามก็เดินทางต่อ มื้อเที่ยงยังรับประทานบนหลังม้า ลู่อี่อยู่แต่บนรถม้ามิเพียงไม่อึดอัดหนำซ้ำยังสุขสบายยิ่ง เขาเอนกายอยู่บนรถม้าปูหนังแกะทับด้วยผ้าไหม มีชาชั้นดีชงกับน้ำแร่ ยามสายมีของว่างและผลไม้ มื้อเที่ยงยังเป็นอาหารร้อนๆน่ารับประทานจนเขาอดสงสัยมิได้ว่าซือเย่านำมาจากไหน
เขาบังคับคนให้รับประทานเป็นเพื่อน ซือเย่าเองก็เต็มใจอย่างยิ่ง หลังจากรับประทานเสร็จยังมีหนังสือให้อ่านแก้เบื่อ ลู่อี่มือหนึ่งถือหนังสือมือหนึ่งเกาท้องอาหลานที่ยามนี้นอนหงายท้องอย่างสบายอารมณ์ดุจแมวยักษ์ตัวหนึ่ง
"ท่านอ๋องช่างใส่ใจยิ่งถึงกับเตรียมบ๊วยเปรี้ยวให้คุณชายแก้เมารถด้วยขอรับ" เสี่ยวถงที่กำลังเก็บของให้เป็นระเบียบอยู่นั้นก็เปิดดูลิ้นชักเล็กๆที่มีอยู่หลายลิ้นชักในรถ
"นั่นสิ เขาดูแลดีจนข้าหวั่นใจว่าถ้าทางนั้นทราบว่าข้าเป็นคนที่มิได้มีความสำคัญใดๆต่อแคว้นเสิ่งเขาจะต้อนรับเราดีเยี่ยงนี้หรือเปล่า"
"คุณชายเป็นคนดี พวกเขาจะต้องรักท่านแน่นอน" เสี่ยวถงปลอบ ตอนแรกเด็กหนุ่มกลัวไปสารพัดแต่เมื่อผ่านมาระยะหนึ่งเหล่าทหารล้วนมีท่าทางเป็นมิตรกับเขา เสี่ยวถงจึงเกิดความรู้สึกที่ดีกับชาวแคว้นเจี๋ยขึ้นมา ส่วนเจ้าพยัคฆ์ดำมันช่วยแก้เหงาได้ดียิ่ง
"ข้าก็หวังว่าเช่นนั้น เจ้าเองก็พักเสียบ้างเถอะ ไว้ถึงเมืองข้างหน้าย่อมมีงานให้เจ้าทำมากมายเป็นแน่" ลู่อี่พูดยิ้มๆ เสี่ยวถงจึงคล้อยตาม มือเล็กปิดปากหาวขดตัวนอนอยู่มุมหนึ่งของรถม้า ลู่อี่ยิ้มอย่างเอ็นดูแล้วอ่านหนังสือในมือต่อ
ขบวนเดินทางด้วยความเร็วคงที่ ยามเซินก็มาถึงประตูเมืองกัง ทหารยามรีบเปิดประตูของเชื้อพระวงศ์ให้ขบวนผ่านไป ลู่อี่เปิดผ้าม่านมองไปสองฟากทางเห็นชาวบ้านชี้ชวนกันดูขบวนอย่างสนใจ
"ท่านซือเย่าอีกไกลหรือไม่กว่าจะถึงที่พัก" เสี่ยวถงยื่นศีรษะออกมาถามซือเย่าที่ขี่ม้าอยู่ด้านข้าง
"ประมาณสองเค่อ เจ้ามีอันใด"
"คุณชายนั่งรถมานาน อยากจะออกไปเดินเล่นบ้าง ขอลงตรงนี้แล้วเดินไปที่พักได้หรือไม่" เสี่ยวถงมุดกลับเข้ามาในรถแล้วยื่นหน้าไปบอกอีกครั้ง
ซือเย่าตะโกนสั่งหยุดขบวน เขาลงจากหลังม้า เดินมาเปิดประตูรถม้าให้ แต่เป็นอาหลานโดดลงมาก่อนตามด้วยเสี่ยวถงและฟ่านลู่อี่
"ข้าอยากให้อาหลานไปด้วยแต่เกรงว่าจะทำให้ชาวเมืองหวาดกลัว เจ้ากลับไปรอข้าได้หรือไม่แล้วข้าจะซื้อขาหมูกลับไปฝาก" ฟ่านลู่อี่แย้มยิ้ม ได้รับเสียงฮือฮาจากชาวเมืองที่มองอยู่ แต่ถูกรังสีอำมหิตจากซือเย่าแผ่เข้าใส่จนคนถอยห่าง
อาหลานครางในลำคอแล้วโดดขึ้นหลังคารถม้า
"กองกำลังพยัคฆ์ดำจริงๆด้วย" เสียงอื้ออึงดังมาจากชาวเมือง
ฟ่านลู่อี่ทำหน้าเรียบเฉย หลบให้ขบวนผ่านไปก่อน จากนั้นคนก็เริ่มออกเดิน มีคนติดตามแค่เสี่ยวถง โจวหงเจินและซือเย่า
คนงามเดินช้าๆชมร้านค้าไปเรื่อยๆ บรรดาพ่อค้าแม่ค้าได้โอกาสร้องขายสินค้ากันใหญ่แต่ลู่อี่แค่มองผ่านๆ ที่นี่ห่างจากเมืองหลวงไม่มาก สินค้าจึงไม่ต่างกันนัก
ฟ่านลู่อี่เพียงรวบผมง่ายๆแต่งกายไม่หรูหรายังไม่สามารถปิดราศีสูงส่งลงได้ เขาเดินเรื่อยๆดูสินค้าตามสบาย ต่างกับเสี่ยวถงที่มองทุกอย่างด้วยความตื่นเต้นจนเผลอเดินออกนอกขบวนไปหลายครั้งจนโจวหงเจินต้องจับมือมากุมไว้ ปล่อยให้ซือเย่าเดินคู่กับลู่อี่
"ข้าแวะร้านหนังสือสักครู่นะ" ฟ่านลู่อี่หันมาบอกแล้วหายไปในชั้นหนังสือ เสี่ยวถงมองนายทหารทั้งสองเป็นเชิงขอโทษ
"คุณชายคงเลือกหนังสืออีกนาน พวกท่านจะไปหาที่นั่งรอก่อนไหมขอรับ"
"ข้ารอได้" ซือเย่าตัดบทแล้วเดินตามฟ่านลู่อี่ เสี่ยวถงจะเดินตามแต่ถูกโจวหงเจินดึงมือไปอีกทาง
คนงามดึงตำราออกมาจากชั้น เปิดดูครู่หนึ่งแล้ววางกลับไปที่เดิม ทำแบบนี้อยู่หลายรอบในที่สุดก็เลือกมาได้สองเล่ม ซือเย่ารับมาถือ
"พระชายาต้องการเพิ่มหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ" แต่ฟ่านลู่อี่ส่ายหน้า ส่งง้วนป้อเงินให้ซือเย่าแต่เขาไม่รับ
"ท่านเป็นคนของวังพยัคฆ์ดำ ทุกอย่างของท่านวังพยัคฆ์ดำเป็นผู้รับผิดชอบ"
"แต่ข้าก็มีเงินทองส่วนตัวพอใช้จ่ายคงมิต้องรบกวนท่าน" ฟ่านลู่อี่เกรงใจแต่ซือเย่าไม่สน ถือตำราไปชำระเงินให้เถ้าแก่แล้วถือไว้เอง
"ใกล้ค่ำแล้ว เชิญเสด็จกลับบ้านที่พักเถิดพ่ะย่ะค่ะ" คนผายมือให้ ลู่อี่เม้มปากแล้วเดินไปนำไป เขาแวะซื้อขนมนิดหน่อยไว้ทานเล่นระหว่างเดินทาง ซึ่งซือเย่าแย่งจ่ายเงินทั้งหมดแต่ส่งของให้โจวหงเจิน ดูแล้วไม่รู้ว่าใครเป็นบ่าวใครเป็นนาย โดยที่ลู่อี่ไม่ลืมแวะซื้อขาหมูถึงสองขาไปฝากอาหลาน ทำเอาโจวหงเจินเกร็งแขนจนกล้ามขึ้นกว่าจะกลับถึงที่พัก
"ผิดละ ข้าปล่อยปละละเลยพวกเจ้าสองคนพี่น้องมากเกินไปต่างหาก พวกเจ้าจึงคิดแผนการชั่วร้ายนี้ขึ้นมาได้ ออกไป แล้วอย่ามาให้ข้าเห็นหน้า" "แต่ว่าหยุนมู่.." เสียงคนยังไม่ทันขาดคำก็มีเสียงโครมดังขึ้นประดุจห้องทลาย ฟ่านลู่อี่ที่อยากจะลืมตาดูแต่ก็ลืมไม่ขึ้นได้แต่นอนน้ำตาไหลเงียบๆ เขาเป็นได้แค่ตัวหมากกระนั้นหรือ คนที่เขาเริ่มมีใจให้กลับเห็นเขาเป็นหมากตัวหนึ่ง เขาตั้งใจว่าจะร้องไห้เป็นครั้งสุดท้าย ... จะต้องหลุดพ้นจากวังวนนี้ให้ได้"พี่หยุนมู่ ข้าขออยู่เฝ้าลู่อี่เถอะนะ" อ๋องพยัคฆ์อ้อนวอน แต่กลับมีเสียงโครมใหญ่อีกครั้งแทน มีเพียงสุ่ยเซียนเท่านั้นที่เป็นพยานว่าฮ่องเต้และอ๋องพยัคฆ์ถูกฮองเฮาเตะกระเด็นทะลุประตูออกจากห้องไปอัดเสาฝั่งตรงข้าม "ทหาร!" หยุนมู่ตะโกนเรียก เหล่าทหารยามวิ่งมารวมแถวอย่างเป็นระเบียบต่อหน้าหยุนมู่ "พ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮา" "ถ่ายทอดคำสั่ง ปิดตำหนักห้ามฮ่องเต้และอ๋องพยัคฆ์เข้ามาเด็ดขาด แม้แต่คนของพวกเขาก็ห้าม เข้าใจหรือไม่" "พ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮา" "ดี ผู้ใดขัดคำสั่งข้า" หยุนมู่ทำมือปาดคอตัวเอง ใครจะกล้าขัดคำสั่งพวกเขายังรักชีวิตตัวเองอยู่นะ ไม่มีใครสนใจสองพี่น้องที่ยืนหน้าละห้อยอยู่ "
อ๋องพยัคฆ์แทบจะวิ่ง ขันทีนำทางคงรู้อารมณ์เขาจึงเร่งฝีเท้านำเขาไป เปิดประตูห้องให้ พอเข้าไปได้อ๋องพยัคฆ์ก็พุ่งตัวไปหาฟ่านลู่อี่ที่นอนหน้าซีดอยู่บนเตียง มือหนาลูบใบหน้างามอย่างทะนุถนอม คนป่วยยังซีดเซียวอยู่ แต่ก็ดูดีขึ้น "เจ้าไม่คิดจะทักพี่สาวคนนี้เลยรึ" เสียงสตรีดังขึ้น อ๋องพยัคฆ์จึงเพิ่งรู้สึกว่ามีผู้อื่นอยู่ในห้องด้วย "คารวะพี่หยุนมู่ พี่สุ่ยเซียน" อ๋องพยัคฆ์คารวะเร็ว "อาการของเขาเป็นอย่างไรบ้าง" เขานั่งลงข้างเตียง หยิบมือเย็นมาแนบแก้มสากด้วยหนวดที่ขึ้นไรครึ้ม "ป้อนยาที่ข้าปรุงทุกหนึ่งชั่วยามกับให้แช่น้ำร้อน เสริมด้วยปราณกรุยจุดชีพจรอีกวันละสองรอบ ข้าคิดว่าอาการน่าจะหายในเจ็ดวันนะ" สุ่ยเซียนตอบยิ้มๆ "เจ้าไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อนเถิด พวกเราเพิ่งป้อนยาน้องสะใภ้ไปไม่นาน เจ้าค่อยกลับมาก็ได้" หยุนมู่พูดอย่างใจดี คนที่อ๋องพยัคฆ์เชื่อฟังมากที่สุดคือหยุนมู่นี่เอง สำหรับฮ่องเต้ เชื่อฟังนั้นก็เชื่ออยู่ แต่ก็ตีกันบ่อยเช่นกัน อ๋องพยัคฆ์เดินสวนกับอาหลาน มันเดินขึ้นเตียงไปนอนข้างฟ่านลู่อี่แต่ถูกสุ่ยเซียนดุ "อาหลาน ตัวเจ้ามีแต่กลิ่นคาวเลือดไปให้เทียนเฉินอาบน้ำให้เลยนะ ไม่อย่างนั้นข
ฮ่องเต้หลิวเทียนจินเป็นองค์ชายรองในรัชกาลก่อน หลังจากองค์ชายใหญ่ก่อกบฏ องค์ชายรอง องค์ชายห้าและองค์ชายแปดหนีตายไปหาแม่ทัพติงผู้เฒ่าผู้เป็นบิดาของแม่ทัพติงคนปัจจุบันที่ยามนั้นเป็นรองแม่ทัพอยู่กองทัพเดียวกับบิดา แม่ทัพติงยามนั้นเฝ้ารักษาชายแดนทางตะวันออกของแคว้นเจี๋ย เขาเป็นคนที่จงรักภักดีมากจึงได้รับความไว้วางพระทัยให้ไปรักษาชายแดน โดยหลานสาวของเขาติงสุ่ยเซียนที่อายุน้อยกว่าองค์ชายรองสองปีก็ได้หมั้นหมายกับองค์ชายรองตั้งแต่เด็ก ทั้งคู่เจอหน้ากันปีละครั้งยามแม่ทัพติงเข้ามาอวยพรวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ เด็กทั้งคู่นับว่ามีไมตรีที่ดีต่อกัน ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้เสกสมรสกันก็เกิดกบฏขึ้นเสียก่อน แม่ทัพติงอยู่ชายแดนห่างไกลยกทัพมาช่วยไม่ทัน จึงแยกตัวออกจากราชสำนักรวบรวมกำลังคนเตรียมกลับไปช่วยฮ่องเต้พระบิดาขององค์ชายรอง เหล่าองค์ชายที่หนีตายมาพึ่งพาแม่ทัพติงมิได้ปล่อยเวลาสูญเปล่า พวกเขาถูกเคี่ยวกรำให้ฝึกการต่อสู้อย่างหนัก แม่ทัพติงทั้งคู่ มิได้อ่อนข้อให้พวกเขาแม้แต่น้อย พวกเขามีติงหยุนมู่พี่ชายของติงสุ่ยเซียนเป็นพี่เลี้ยง เขาแก่กว่าองค์ชายรองสองปีจึงสนิทสนมกันมาก ด้วยความที่ติงหยุนมู่แก่กว่า
ฮ่องเต้นำกองทัพไปล้อมจับเจ้าเมืองโหย่วกวาน ได้ตัวตอนกำลังหลบหนีออกทางหลังจวน ขุนนางละโมบพยายามขนทรัพย์สินเงินทองไปด้วยจำนวนมากทำให้หนีไม่พ้น ไห่เสียงเตะมันล้มกลิ้งมาถึงหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ "เราเลี้ยงดูขุนนางไม่ดีรึ เจ้าจึงคิดกบฏ" ฮ่องเต้ถามทั้งที่ใบหน้ายังยิ้มอยู่แต่รอยยิ้มไปไม่ถึงแววตา "โปรดเมตตาด้วย กระหม่อมผิดไปแล้ว" คนโขกหัวจนหน้าผากแตกน้ำมูกน้ำตาไหลด้วยความกลัว"หึ" ฮ่องเต้ยิ้มหยัน คืนนั้นขุนนางที่อยู่ในรายชื่อว่าสมคบกับพวกกบฏของเมืองโหย่วกวานถูกฉุดกระชากลงมาจากเตียงยามดึก ครอบครัวบ่าวไพร่ถูกต้อนไปรวมกันที่หน้าศาลาว่าการประจำเมือง ชาวบ้านต่างพากันแตกตื่นตกใจ คบไฟถูกจุดสว่างไปทั้งเมือง ดุจดั่งกลางวัน เสียงซัดทอดความผิดดังระงม ฮ่องเต้เรียกหัวหน้ากองธงมาสองคน มอบหมายให้สอบสวนครอบครัวและบ่าวไพร่ของขุนนางเหล่านั้น ส่วนพวกคนในจวนเจ้าเมืองเป็นอีกสองกองธงจัดการสอบสวน ตัวเจ้าเมืองถูกล่ามขื่อทั้งที่โลหิตไหลท่วมหน้า "เงียบ!" ราชองครักษ์ผู้หนึ่งตวาด เกิดความเงียบครู่เดียวก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นอีก อาหลานคงทนไม่ไหว มันกระโดดขึ้นไปยืนบนหลังกำแพงส่งเสียงขู่คำรามอันทรงพลังก้องไปทั้งเน
อ๋องพยัคฆ์สำรวจรอบๆ ด้วยสายตา ที่นี่คงเป็นค่ายของพวกกบฏ ไม่คิดเลยว่าจะอยู่ใกล้เมืองหลวงมากขนาดนี้ พวกมันคงจะรู้ตัวแล้วจึงถอนค่ายหนีอย่างรีบร้อนเช่นนี้ "ไม่เหลือสิ่งใดเลยพ่ะย่ะค่ะนอกจากเตาหลอม พวกมันน่าจะลักลอบผลิตอาวุธกันในถ้ำ" "มีรอยเกวียนมุ่งหน้าไปในป่า รอยล้อกดลึกบ่งบอกว่าบรรทุกของหนัก พ่ะย่ะค่ะ" นายกองอีกผู้หนึ่งรายงาน "ตามไปดูว่ารอยเกวียนนั้นสิ้นสุดลงที่ใด ส่งผู้หนึ่งไปแจ้งฮ่องเต้ให้เคลื่อนทัพต่อไป บอกให้สังเกตทางเกวียนทางด้านขวาที่ออกจากป่า ข้าคาดว่าถ้าเราไปตามทางน่าจะไปบรรจบกันด้านหน้า" เหล่าทหารที่ฝึกมาอย่างดีแยกกันไปทำตามคำสั่ง พวกเขาตามรอยมาจนยามซวี หรือประมาณหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม จึงได้ตามทัน เส้นทางเกวียนนำมาถึงเชิงเขาของเมืองโหย่วกวาน เสียงดาบกระทบกันดังมาจากด้านหน้า อ๋องพยัคฆ์เห็นเหล่าทหารม้าของเขาสู้อยู่กับกองกำลังของถางจินเข่อ ทหารม้ามีจำนวนคนน้อยกว่ามากจึงเริ่มเพลี่ยงพล้ำ "วางดาบคนเป็น จับดาบคนตาย!" อ๋องพยัคฆ์ชูดาบตะโกนก้อง ตามด้วยเสียงคำรามของอาหลานทำให้กองกำลังของถางจินเข่อที่ได้ยินก็ขวัญเสีย พวกมันเข้าร่วมเป็นกบฏด้วยเห็นแก่ลาภยศเมื่อมาได้เจออ๋องพยัคฆ์ตัวจริ
"มาช้านะท่านพี่" อ๋องพยัคฆ์แสยะยิ้มชักม้าออกจากที่กำบัง ผู้มาใหม่คืออดีตองค์ชายรองหรือฮ่องเต้ของแคว้นเจี๋ยหลิวเทียนจินนั่นเอง "ข้าต้องรอหมอหลวงต้มยา แถมกว่าจะเด็ดผลมังกรอัคคีได้ข้าถึงกับถูกน้ำในธารเดือดกระเด็นใส่เป็นรอยพุพองทีเดียวนะ" คนพูดคลำแขนตัวเองเหมือนเจ็บมากแต่ถูกคนที่มาด้วยขัดคอ "รอยพองเท่าเหรียญอีแปะถึงกับอาบน้ำเองมิได้ยกตะเกียบมิไหวต้องให้ข้าป้อนข้าวอยู่หลายมื้อเยี่ยงนั้นรึ" เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ใบหน้าเนียน คิ้วเฉียง ดวงตาแฝงความทระนงองอาจ แม้มิได้บึกบึนเช่นทหารส่วนใหญ่แต่ร่างกายแฝงด้วยกล้ามเนื้องดงามสมส่วน "เจ้าดูพี่สะใภ้เจ้าสิ ปรนนิบัติสามีนิดหน่อยก็บ่น" คนพูดทำปากยื่น "ยา" อ๋องพยัคฆ์พูดแค่คำเดียว ฟ่านลู่อี่ของเขาอาการหนักมากแล้ว คนพวกนี้ยังมาเล่นปาหี่ให้เขาดูอีก "เจ้าน้องคนนี้นี่ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย ข้าหวังจะได้เห็นใบหน้าอื่นของเจ้าแท้ๆ เจ้าส่งน้องสะใภ้ให้ฮองเฮาเถอะ เขาจำเป็นต้องกลับไปแช่น้ำร้อนที่วัง ข้าเตรียมคนและรถม้าไว้ให้แล้ว ส่วนเจ้าต้องไปจับมุสิกกับข้า" คนสั่งแฝงอำนาจของผู้นำทำให้อ๋องพยัคฆ์จนใจ เรื่องบ้านเมืองก็สำคัญ เขาจำใจส่งฟ่านลู่อี่ให้บุรุษอี