เด็กน้อยหลินซือหยาเมื่อเห็นชายชรานั้นยิ้มตอบ ตนก็รู้แล้วว่าตนตอบคำถามได้ถูกต้องตามที่ชายชราปรารถนา เด็กน้อยคุกเข่าลงและคำนับท่านผู้เฒ่าสามครั้ง
"ข้าขอกราบท่านตาเป็นอาจารย์นะเจ้าคะ เพราะในตำราบอกว่าถ้ามีอาจารย์จะทำให้ข้าเข้าใจในบทความทุกบทความได้เร็วขึ้น" เด็กน้อยหลินซือหยากล่าวขึ้น เจ็ดวันที่ผ่านมาเขาไม่ใช่แค่จดบทกวีและดูความหมายของมันเท่านั้น เขายังมองไปดูหน้าอื่นๆเผื่อหน้าอื่นๆจะซ่อนความหมายของบทกวีนี้ และหนังสือหน้าอื่นๆก็แสดงให้เรารู้เพียงว่าหากเป็นศิษย์มีครูย่อมประสบผลสำเร็จได้เร็วขึ้น เด็กน้อยผู้นี้ก็นับถือชายชราผู้นี้อยู่แล้ว ยกให้เขาเป็นครูได้เลย "เจ้าเด็กผู้นี้รู้จักพูดดีนัก ได้ข้าจะรับเจ้าไว้เป็นศิษย์เพียงผู้เดียว555 มาข้าจะตีความหมายแต่ละตอนให้ฟัง วันนี้คำตอบของเจ้านั้นโดนใจและตรงใจและตรงประเด็นมาก "บทแรก ลมพัดหวนผ่านฟ้าเวิ้งว้าง ดวงจันทร์ส่องกลางธารามืดมิด มักก็คือบรรยากาศแห่งความเวิ้งว้างว่างเปล่า สะท้อนถึงโลกที่เต็มไปด้วยความมืด ความทุกข์ หรือความไม่แน่นอน แต่ยังมีแสงจันทร์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง ความจริง และความสว่าง ที่คอยนำทาง บทที่สอง เงาดาบหนึ่งฟาดสะท้านสวรรค์ เลือดหยดเดียวสะเทือนภูผานับพัน มันก็คือการออกกระบี่เพียงครั้งเดียวสะเทือนฟ้า สื่อถึงพลังของผู้กล้าที่มีฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ การเสียสละหรือความขัดแย้งแม้เพียงเล็กน้อย เลือดหยดเดียวก็สามารถส่งผลสะเทือนไปทั่วแผ่นดิน แฝงถึงพลังแห่งการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมที่มิใช่เรื่องเล็ก บทที่สาม ใจผู้กล้าไร้พันธะเหนี่ยวรั้ง ดั่งมังกรล่องลอยในห้วงหมอก คือจิตใจของผู้กล้าเป็นอิสระ ไม่ยึดติดกับพันธะหรือสิ่งผูกมัด เปรียบเสมือนมังกรที่ลอยเลื่อนในหมอกหนา สูงส่ง อิสระ และไม่ถูกจำกัด บทที่สี่ กระบี่มิใช่เพื่อเข่นฆ่า หากเพื่อพิทักษ์ใต้หล้าสงบสุข เป็นจุดประสงค์สูงสุดของผู้ใช้กระบี่ไม่ใช่เพื่อทำลายชีวิต แต่เพื่อปกป้องความสงบสุขของผู้คน เป็นการยกระดับจากการต่อสู้ ไปสู่การปกป้องสะท้อนแนวคิดนักยุทธ์ผู้ทรงธรรม อาจารย์ภูมิใจในตัวเจ้าใช้เวลาเพียงแค่เจ็ดวันก็ตีความหมายแฝงของมันได้ เอาเข้าจริงๆบทกวีเลยแบบนี้มันสำหรับนักยุทธอายุราวราวสิบถึงสิบห้าหนาวเลยนะ แต่เจ้าเพียงแค่ห้าหนาวก็หาความหมายของมันได้แล้ว เอาเป็นว่าอาจารย์เองวางใจให้เราเรียนคัมภีร์มรณะดาราได้แล้วละ ถึงแม้ว่าเจ้าเองจะเด็กแต่เด็กนั้นมันฝึกง่ายและเจ้าก็มีความมุ่งมั่นและความอดทนอยู่พอตัว อาจารย์จะให้อีกบทหนึ่งกวีซึ่งมันมีความหมายไม่แท้กับกวีบทนี้ให้จำลองไปคิดหากได้เมื่อไหร่เมื่อนั้นเราจะเริ่มเรียนคัมภีร์มรณะดารากัน" ท่านอาจารย์กล่าวขึ้น เจ็ดวันที่ผ่านมานี้เด็กน้อยหลินซือหยาได้เรียนรู้การหุงหาอาหารและทำกับข้าว รวมไปถึงพยายามเข้าใจความหมายของบทกวีนี้ก็ใช้เวลาทั้งวันหมดแล้ว ตอนนี้เขาเองยังไม่ฝึกฝนร่างกายเลยด้วยซ้ำท่านอาจารย์ก็จะให้บทกวีบทใหม่อีกแล้ว "ฮ่าๆๆเมื่อสักครู่ยังกราบข้าเป็นอาจารย์อยู่เลยตอนนี้ท่านอาจารย์บอกจะไม่ทำแล้วหรือ" ชายชรากล่าวขึ้น "ใช่เสียที่ไหนกันละเจ้าคะท่านอาจารย์ ข้าก็แค่รู้สึกว่ามันเหนื่อย เจ็ดวันที่ผ่านมานั้นข้าได้ดูตำราเขียนบทกวีบทนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ได้แต่หุงหาอาหารแต่ข้ายังไม่ได้ฝึกร่างกายเลยเจ้าค่ะแล้วแบบนี้จะเรียกว่ามาเรียนฝึกยุทธได้อย่างไรกัน" เด็กน้อยเถียงขึ้น "เจ้าคงไม่ลืมไปหรอกกระมังว่าเจ้านั้นไม่ได้มีเส้นลมปราณฝึกวรยุทธ เจ้าต้องอาศัยตำรับตำราเพื่อไปเปิดเส้นลมปราณเสียก่อนแล้วค่อยฝึกร่างกาย" ชายชรากล่าวขึ้น "มันก็จริงเจ้าค่ะท่านอาจารย์อย่างนั้นท่านอาจารย์บอกบทกวีนั้น แก่ข้าวันนี้เลย พรุ่งนี้ข้าจะได้เขียนมัน แล้วข้าจะทำความเข้าใจกับมันให้เร็วที่สุด ครั้งนี้ข้าให้เวลาตัวเองสามวัน" เด็กน้อยกล่าวขึ้นอย่างมุ่งมั่น "555ได้ๆ ถ้าให้เวลาเจ้าเจ็ดวันเท่าเดิมก็แล้วกัน หากว่าเจ้าได้ความหมายเพียงเวลาสามวันก็สามารถบอกข้าได้เลยบทกวีนั้นคือ เงาจันทร์ทอดยาวบนทางเดียวดาย ยอดเขาสูงเสียดฟ้าราวไร้สิ้นสุด มือกุมกระบี่หนึ่ง เลือดหยาดหนึ่งหยด มิใช่เพื่อสังหาร แต่เพื่อปกป้องสิ่งล้ำค่า เสียงลมคล้ายเพลงขับแห่งกาลเวลา ทุกก้าวที่เหยียบย่ำคือคำทดสอบ ความแค้นเป็นเพียงไฟชั่ววูบ แต่เมตตาคือเปลวที่ส่องนิรันดร์ นักยุทผู้ยิ่งใหญ่ มิเคยหวั่นเกรงความตาย กลับหวั่นไหวต่อหัวใจตนเอง แท้จริงแล้ว ศึกที่ยากที่สุด คือศึกภายในใจ หาใช่สนามรบภายนอก" ชายชรากล่าวขึ้น และเปิดตำราให้นางอ่านดู บทกวีนี้มีความหมายแฝงในเรื่องที่นักยุททั่วๆไปชอบหลงระเริงกับตัวเองเขาอยากให้นางตระหนักถึงเรื่องนี้ให้ดีจึงยกบทกวีบทนี้มาให้นางได้ศึกษา หาว่านางศึกษาและเข้าใจถ่องแท้แล้วคำว่าเป็นนักยุทธผู้ยิ่งใหญ่นั้นเป็นไม่ยากแต่นักยุทธต้องไม่ทนงตัวและรู้เป้าหมายของตัวเอง ชายชราอยากขัดเกลาเด็กคนนี้ให้มีจิตใจที่อ่อนโยนก่อนค่อยฝึกวรยุทธให้ในภายหลัง หลังจากรับบทกวีมาแล้ววันแรกเด็กหลินซือหยาก็คัดสิบจบและพยายามเก็บความหมายของมันวันนี้ไม่สำเร็จวันที่สองนางจึงคัดยี่สิบจบเพราะนางมีความคิดที่ว่าหากคัดเยอะๆมันจะได้เข้าไปในสมองของนางเยอะแล้วจะได้รู้ความหมายของมันเร็วขึ้น นางเริ่มเขียนใส่สมุดป่าวแต่ยังไม่สมบูรณ์พอวันที่สามนางก็คัดไปเลยสามสิบจบ และเริ่มเรียบเรียงกับสิ่งที่ได้เมื่อวานจนในที่สุดนางก็ได้แบบสมบูรณ์แล้ว "ท่านอาจารย์ข้าได้ความหมายของมันแล้ว ลมและจันทร์ : เปรียบเสมือนกาลเวลาและความว่างเปล่า เตือนว่าสรรพสิ่งล้วนชั่วคราว กระบี่และเลือด : สื่อถึงพลังและความรุนแรงที่อาจใช้ทำลาย แต่หากถือไว้ด้วยใจบริสุทธิ์ ก็เป็นเกราะปกป้องผู้อื่นได้ ความแค้น vs เมตตา : ความแค้นคือไฟที่เผาผลาญตนเอง แต่เมตตาคือไฟส่องสว่างที่คงอยู่ยาวนาน ศึกภายในใจ : สะท้อนว่านักยุทแท้จริงไม่ใช่ผู้ที่ชนะศัตรูมากมาย แต่คือผู้ที่เอาชนะความมืดในใจตนเองได้ ท่านอาจารย์ไม่ได้อยากให้ข้าเพียงหาความหมายแฝงของกวีนี้แต่ท่านอยากจะสอนข้าว่าหนทางนักยุทไม่ใช่การไขว่คว้าพลังภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่คือการฝึกใจ รู้เท่าทันกาลเวลา วางความแค้น และแปรพลังแห่งการต่อสู้ให้กลายเป็นพลังแห่งการปกป้อง ใช้หรือไม่เจ้าคะ" เด็กน้องหลินซือหยากล่าวขึ้น ชายชราทึกกับคำตอบมากเพียงสามวันนางได้ขนาดนี้เลยหรือนางเป็นเด็กอัจฉริยะชัดๆเด็กน้อยหลินซือหยาเมื่อเห็นชายชรานั้นยิ้มตอบ ตนก็รู้แล้วว่าตนตอบคำถามได้ถูกต้องตามที่ชายชราปรารถนา เด็กน้อยคุกเข่าลงและคำนับท่านผู้เฒ่าสามครั้ง "ข้าขอกราบท่านตาเป็นอาจารย์นะเจ้าคะ เพราะในตำราบอกว่าถ้ามีอาจารย์จะทำให้ข้าเข้าใจในบทความทุกบทความได้เร็วขึ้น"เด็กน้อยหลินซือหยากล่าวขึ้น เจ็ดวันที่ผ่านมาเขาไม่ใช่แค่จดบทกวีและดูความหมายของมันเท่านั้น เขายังมองไปดูหน้าอื่นๆเผื่อหน้าอื่นๆจะซ่อนความหมายของบทกวีนี้ และหนังสือหน้าอื่นๆก็แสดงให้เรารู้เพียงว่าหากเป็นศิษย์มีครูย่อมประสบผลสำเร็จได้เร็วขึ้น เด็กน้อยผู้นี้ก็นับถือชายชราผู้นี้อยู่แล้ว ยกให้เขาเป็นครูได้เลย"เจ้าเด็กผู้นี้รู้จักพูดดีนัก ได้ข้าจะรับเจ้าไว้เป็นศิษย์เพียงผู้เดียว555 มาข้าจะตีความหมายแต่ละตอนให้ฟัง วันนี้คำตอบของเจ้านั้นโดนใจและตรงใจและตรงประเด็นมาก"บทแรก ลมพัดหวนผ่านฟ้าเวิ้งว้าง ดวงจันทร์ส่องกลางธารามืดมิดมักก็คือบรรยากาศแห่งความเวิ้งว้างว่างเปล่า สะท้อนถึงโลกที่เต็มไปด้วยความมืด ความทุกข์ หรือความไม่แน่นอน แต่ยังมีแสงจันทร์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง ความจริง และความสว่าง ที่คอยนำทางบทที่สองเงาดาบหนึ่งฟาดสะท้านส
หลังจากกินข้าวเสร็จชายชราก็พาเด็กน้อยลงไปด้านล่างเพื่อที่จะไปหาหนังสือตำหรับตำราเขาหยิบหนังสือออกมา แล้วไสคืนที่ ชายชราเดินหยิบไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็ได้ตำรามาสองเล่มและสมุดเปล่าอีกหนึ่งเล่ม ก่อนที่จะเดินหาผู้กันและหมึก"ได้ของครบแล้วป่ะขึ้นไปเรียนด้านบนกันเถอะ"ชายชรากล่าวขึ้นและพาเด็กน้อยขึ้นไปด้านบน เขาโบกมือหนึ่งครั้งทำให้โต๊ะที่ตั้งอยู่ตรงกลางนั้นไหลมาอยู่ตรงริมจุดที่เด็กน้อยปีนขึ้นมา ชายชราไม่ได้ปีนขึ้นมาดั่งที่ตัวเองพูด เผลอแป๊บเดียวเขาก็ขึ้นมาข้างบนได้แล้ว เด็กน้อยหลินซือหยาได้แต่คิดในใจอีกสักกี่ปีนะ นางถึงจะสามารถเหาะขึ้นมาข้างบนได้แบบนี้"มานั่งเถอะ ข้าต้องสอนหนังสือให้เจ้าก่อนให้เจ้าก่อน เจ้าจะได้รู้ตัวหนังสือแล้วเจ้าจะได้ศึกษาตำราด้วยตัวเอง"ชายชรากล่าวขึ้น"แบบนั้นท่านตาให้ข้าเขียนให้ดูก็ได้นะเจ้าคะเพราะว่านั้นก็ได้ร่ำเรียนมาด้วยตัวเองบ้าง ข้าเคยเอาตำราของพี่ชายของข้ามาฝึกฝน การเขียนอักษรบ้างแล้ว การเริ่มเขียนนั้นน่าจะไม่ค่อยจำเป็นสักเท่าไหร่ แต่ข้าอาจจะเขียนคำยากๆไม่ได้ และไม่รู้ความหมายของมันเท่านั้นเจ้าค่ะ"เด็กน้อยกล่าวขึ้น ชายชราจึงนำสมุดเปล่าและก็นำหมึกมาวางให้นางลองเ
เช้าวันรุ่งขึ้นเด็กน้อยตื่นมาด้วยความหอมกลิ่นกรุ่น เหมือนจะเป็นไก่ย่างที่ลอยเข้ามาปลุกนางในยามเช้า จากนั้นนางก็อ้าปากหาวหนึ่งครั้งแล้วมองไปทุกที่ก็ไม่เห็นว่าจะมีที่ทำอาหารที่ไหนเลย เด็กน้อยเปิดประตูออกไป ท่ามกลางม่านหมอกบาง ๆ แสงอาทิตย์แรกของวันลอดผ่านกิ่งไม้ใหญ่ ส่องกระทบกระต๊อบเล็กหลังนี้ ที่ตั้งอยู่กลางสวนเขียวชอุ่ม กระต๊อบไม้เรียบง่ายมุงหลังคาฟางดูอบอุ่นดั่งอ้อมกอดของธรรมชาติหน้ากระต๊อบเต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ทั้งกุหลาบสีแดงสด ดอกเดซี่สีขาวสะอาด ดอกลาเวนเดอร์หอมหวานที่ส่งกลิ่นอบอวลไปทั่ว และดอกไม้ป่าหลากสีที่ชูช่อรับแสงตะวัน เกสรเล็ก ๆ พลิ้วตามลมบางเบา กลิ่นหอมอ่อนหวานลอยเคล้าไปกับเสียงนกร้อง เสมือนบทเพลงที่ต้อนรับวันใหม่ เด็หน้อยสูดหายใจเย็นเข้าไป หยดน้ำค้างที่เกาะบนกลีบดอกส่องประกายระยิบระยับราวอัญมณีเล็ก ๆ แสงอาทิตย์อุ่นละมุนตกกระทบผนังไม้ของกระต๊อบ ทำให้ทุกสิ่งรอบตัวดูอ่อนโยนและมีชีวิตชีวา บรรยากาศเต็มไปด้วยความสงบและความสดใสของรุ่งอรุณ เด็กน้อยยืนชมความงามได้สักพักก็จำได้ว่าตัวเองนั้นตามกลิ่นของไก่ย่างออกไปพอมองไปรอบๆก็ไม่เห็นมีไก่ย่างเลย"เด็กน้อยเจ้าตื่นแล้วจะฝึกเลยหรือ
พวกเขาทั้สองเดินไปเรื่อยๆ เสียงก้าวเดินแผ่วเบาดังก้องไปพร้อมกับเสียงใบไม้ไหว เสียงน้ำหยดจากกิ่งไม้สูงตกลงใส่พื้นอย่างแผ่วพร่า บางคราวมีเสียงนกประหลาดร้องยาวคล้ายท่วงทำนองสวดสรรเสริญ ก้องสะท้อนในหุบเขา ละม้ายเสียงเพลงจากโลกอื่น ทำให้ผู้เดินทางต้องหยุดฟังราวกับถูกสะกด เสียงนั้นพาให้ใจว่างเปล่า ลอยคว้างอยู่ในภวังค์ เด็กน้อยซือหยาหยุดเดินเป็นช่วงๆคอยฟังเสียงต่างๆ "เจ้าเหมือนจะสนใจสิ่งรอบข้างมากมายนะ รอให้เจ้าฝึกฝนให้ได้เสียก่อน ข้าจะปล่อยให้เจ้าเดินผจญภัยในป่าแห่งนี้ บอกเลยว่าสนุกเลยทีเดียว ป่าแห่งนี้มีทั้งสมุนไพรมากมาย แถมมีของหายากอีกเยอะแยะ แล้วยังมีสัตว์วิเศษที่รอให้เจ้าเป็นเจ้าของอยู่ แต่มันต้องรอให้ถึงเวลาของมันเสียก่อน"ชายชรากล่าวขึ้น เพราะเห็นเด็กผู้นี้เดินไปด้วยหยุดไปด้วยและบางครั้งก็เหมือนกับนางอินกับเสียงนกร้องเสียงกา"จริงเหรอจ๊ะท่านตาข้าจะได้มาเที่ยวในป่านี้อีกครั้งด้วยหรือ แต่เราสองคนจะเดินนานแค่ไหนล่ะถึงจะถึงที่ที่ท่านตาอยู่"เด็กหลินซือหยากล่าวขึ้น"ก็เดินทั้งวันแหละวันนี้พอตกค่ำปุ๊บก็ถึงที่พักของข้าทันทีเจ้านิใจร้อนไปได้ ทีเดินป่ามาตั้ง เจ็ดแปดวันยังไม่เห็นจะรีบร้อนเลย"
ขนาดพวกเขาใช้ใบไม้ยักษ์ในการเดินทางยังใช้เวลาไปตั้งนาน แรกๆหลินซือหยายังมองไปข้างล่างอย่างสนใจ เด็กน้อยตื่นเต้นมากต้นไม้ใบสีเขียวแก่เขียวอ่อนสลับกันไป บางต้นก็มีดอกมีผลด้วย นางมองด้วยความเสียดายถ้าใบไม้นี้บินต่ำกว่านี้ก็คงจะเก็บผลไม้มาไว้กินได้ ผลไม้แล้วผลไม้เล่าผ่านใต้ท้องพวกเขาไปอย่างนาเสียดาย หลินซือหยาชะเง้อไปมองผลไม้ที่ผ่านไป"ผลไม้ในป่านี้ตอนนี้มันลูกเล็กอยู่ถ้าหากอยู่ใกล้ๆบนเขานู้นจะลูกใหญ่กว่านี้ หรือว่าเจ้าหิวแล้วหรือถึงมองผลไม้ขนาดนั้น"ชายชรากล่าวถาม"ผลไม้มีลูกใหญ่กว่านี้อีกหรือจ๊ะท่านตา ไหนท่านบอกว่าท่านเป็นนักยุทธพเนจรแล้วทำไมรู้จักสถานที่นี้ดีจังเลยนะท่านตา"เด็กน้อยถามด้วยความสงสัย"เจ้าไม่รู้หรอกหรือที่ที่อยูห่างไกลผู้คนนั่นแหละที่จะมีอะไรดีๆเด็ดๆ และที่ข้าบอกว่านักยุทธพเนจรก็ไม่ได้บอกว่าไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากมายนี่เจ้ายังเด็กมากนัก สถานที่นี้ก็ได้มาบำเพ็ญแล้วไม่ต่ำกว่าห้าครั้งทุกๆสี่ห้าปีข้าก็จะมาหนึ่งครั้ง เพราะข้างบนนั้นมันมีไอวิเศษที่เข้มข้นเหมาะกับการฝึกยุท"ชายชรากล่าวขึ้น "จริงหรือจ๊ะท่านตา แล้วท่านว่าบิดาของข้าจะรู้หรือไม่ว่าข้างบนนี้มีไอวิเศษเข้มข้น"เด็กหลิ
เมื่อชายชราผู้นี้ลืมตาตื่นขึ้นมา ก็เห็นเด็กสาวผู้นี้นอนอยู่ ตอนนี้พลังของเขากลับมาเหมือนเดิมแล้ว พิษที่ได้รับก็หายไปหมดแล้ว สมุนไพรในป่านี้ช่างวิเศษเสียเหลือเกิน ตั้งนานเด็กน้อยผู้นั้นก็ลืมตาตื่นขึ้นมา เขามองชายชรานั่งอยู่ใกล้ๆแล้วก็รู้สึกอับอายที่ตัวเองนั้นเผลอหลับไป"เด็กน้อยเจ้ามีความเป็นมาอย่างไรทำไมถึงมาอยู่ในป่าลึกคนเดียวแบบนี้"ชายชราถามขึ้น หลินซือหยาไม่รู้ว่าจะพูดออกมาได้ไหม หากว่าพูดว่าตัวเองถูกไล่จากหมู่บ้านเพราะว่าไม่มีเส้นลมปราณฝึกวรยุทธก็กลัวว่าชายชราผู้นี้จะรังเกียจตน แต่คิดไปคิดมาหากชายชราผู้นี้จะรังเกียจก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะทุกๆคนในหมู่บ้านก็รู้ว่านางไม่มีเส้นลมปราณฝึกวรยุทธ อาจจะมีคนรู้เพิ่มอีกสักคนคงไม่เป็นไรกะมัง"ท่านตาเจ้าค่ะข้ามันคนไร้ค่า ข้าถูกไล่ออกจากหมู่บ้านเพราะว่าข้าไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแท่งตรวจเส้นลมปราณให้มีสีได้ คนในหมู่บ้านบอกว่าข้าเป็นคนไร้ค่าและไม่อยากให้ข้าอยู่ในหมู่บ้านนั้นเจ้าค่ะ ข้าจึงต้องมาอยู่ในป่าแห่งนี้ และทิศทางที่ข้าจะไปนั้นก็คือภูเขาเจ้าคะข้าต้องขึ้นไปอยู่บนภูเขานั้น"เด็กน้อยหลินซือหยากล่าวขึ้น"โธ่เด็กน้อยแล้วเจ้ามีนามว่าอะไรหรือ แล้ว