หลัววั่งเป็นอีกคนในหมู่บ้านที่แวะเวียนมาบ้านของเซียวเหรินทุกวัน คอยช่วยงานทั่วไป และหากมีใครเจ็บป่วยมาแล้วทำกิริยาไม่ดีต่อท่านเซียว หลัววั่งจะออกหน้าขับไล่และปกป้องเสมอ ภายนอกเซียวเหรินคล้ายไม่สนใจผู้อื่น แท้จริงแล้วกลับห่วงใยยิ่งนัก แม้อยู่คนเดียวอย่างสันโดษ แต่ชาวบ้านผลัดกันแวะเวียนมาดูแล หลัววั่งทำไร่ไถนาดูเป็นคนไม่ค่อยฉลาดนัก แต่มีพละกำลังมหาศาล คนในหมู่บ้านจึงลงความเห็นให้หลัววั่งมาคอยดูแลเซียวเหริน หากมีเรื่องต้องแบกหามคนเจ็บคนป่วย หลัววั่งทำได้อย่างไม่ลำบาก ส่วนติงชุ่ยเป็นลูกสาวผู้ใหญ่บ้าน นางแอบหลงรักเซียวเหรินตั้งแต่ที่ชายผู้นี้มาอยู่ที่กระท่อมเชิงเขาเป่ยหมาง
แต่เดิมไม่มีใครรู้ว่าเซียวเหรินมีความรู้รักษาผู้คนได้ จนกระทั่งวันหนึ่งมีเด็กตกต้นไม้บาดเจ็บสาหัส หมู่บ้านเล็กๆ ไม่มีหมอ แม่ของเด็กน้อยวิ่งมาที่ภูเขาหวังใจจะบนบานกับเทพภูเขา เซียวเหรินอยู่ระหว่างเก็บของป่าได้ยินเข้าจึงติดตามไปดูอาการของเด็กน้อย ราวกับปาฏิหาริย์เด็กน้อยผู้นั้นฟื้นคืนสติ ขาที่บิดพลิกรูปก็ถูกเซียวเหรินพลิกกลับคืนรูปร่างเดิม เด็กน้อยพักฟื้นเพียงสิบกว่าวันก็สามารถวิ่งเล่นได้อีกครั้ง
นับแต่นั้น ยามใดที่คนในหมู่บ้านเจ็บป่วยก็พากันมาให้เซียวเหรินรักษา การรักษาอันล้ำเลิศของเซียวเหรินขจรขจายดุจกลิ่นหอมของดอกไม้ที่สายลมหอบพัดพาไปไกลสุดไกล แต่ด้วยความรักสันโดษของเซียวเหรินจึงไม่ยอมให้ใครมาพักรักษาตัวใกล้ที่พักของเขา กลายเป็นว่าคนที่เดินทางมาไกล จะมาให้เซียวเหรินตรวจวินิจฉัยอาการ แต่เมื่อจำเป็นต้องพักค้างแรม ต้องขอแบ่งปันห้องพักจากชาวบ้านแทน พวกเขาจึงมีรายได้ทางอ้อม และคอยส่งหลัววั่งมารับใช้เซียวเหริน
“ท่านเซียวไปเก็บสมุนไพรแต่เช้ามืด กลับมาเหนื่อยๆ ประเดี๋ยวข้าทำอาหารเช้าเลยนะขอรับ”
ฝีมือการทำอาหารของหลัววั่งไม่นับว่าเลิศรสแต่ก็ไม่เลวร้าย เซียนเหรินพยักหน้ารับ มือใหญ่ทาบไปที่บานประตู ยังไม่ทันผลักบานประตูให้เปิดออก เสียงหวีดร้องตกใจดังขึ้นจากข้างใน หลัววั่งหน้าตาแตกตื่น ติงชุ่ยแทบจะเป็นฝ่ายพุ่งเข้าไปดูหน้าสตรีที่เซียนเหรินยอมให้พักในบ้านเดียวกับเขา แม้คนที่ประกาศตัวมิให้ผู้อื่นเรียก ‘หมอ’ แต่ด้วยมโนธรรมที่มีอยู่ ชายหนุ่มรีบเปิดประตูเข้าไปทันที
หญิงสาวผมยาวสลวยเส้นผมดุจหมึกดำนั่งบนพื้น เสื้อผ้าที่สวมนั้นเป็นของบุรุษทำให้เมื่อร่างไร้เรี่ยวแรงทรุดนั่งลง ไหล่เสื้อเลื่อนลงจนเกือบเห็นเนินอกสล้าง ใบหน้างดงามเงยขึ้นมองผู้ที่ก้าวเข้ามาด้านใน ดวงตาดุจราตรีกาลเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก ริมฝีปากสีชาดเผยอขึ้นเล็กน้อย ผิวกายเนียนละเอียดราวหยกใส รอยบอบช้ำเป็นจ้ำเขียวชวนให้รู้สึกเวทนา หลัววั่งที่ตามเข้ามาถึงกับน้ำลายหนืดกลืนลงคออย่างยากลำบาก ในขณะที่ติงชุ่ยกัดริมฝีปากแน่นไม่ส่งเสียงกรีดร้องโวยวาย นางรู้ดีว่ามีสตรีมากมายที่หวังจะได้ใกล้ชิดเซียนเหริน แต่สตรีเหล่านั้นล้วนถูกนางกีดกันออกไปจนหมดสิ้น ยกเว้น...
เซียวเหรินก้าวเข้าไปใกล้แล้วทรุดลงนั่งเบื้องหน้านาง ยื่นมือไปกระชับเสื้อผ้าของเขาที่สวมคลุมร่างบอบบาง ชุดเจ้าสาวของนางเปียกชื้น ยามนั้นเขาช่วยนางที่หมดสติไปแล้ว จำเป็นต้องผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกน้ำนี้ออก มิเช่นนั้นนางจะถูกพิษไข้รุมเร้า แต่เพราะเขาอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ไม่มีเสื้อผ้าสตรี เขาจึงเอาเสื้อคลุมตัวยาวของตนให้นางสวมแล้วใช้สายรัดเอวรวบผูกไว้ เขาไม่ได้สนใจผิวกายของนางที่เย้ายวนตา แต่รอยช้ำบนร่างกายเริ่มเด่นชัด เขาจับชีพจรทันทีของหญิงสาว
“ซือ...จื่อ”
ดวงตาคมกระตุกแล้วหรี่มองหญิงสาว เขามั่นใจว่าไม่เคยพบนางมาก่อน บางทีนางอาจคิดว่าเขาเป็นคนอื่นที่ชื่อเดียวกันนี้
“ซือจื่อ” แม้น้ำเสียงจะแหบแห้ง แต่เต็มไปด้วยความดีใจ นางเป็นฝ่ายกุมมือที่กำลังจับชีพจรอยู่แล้วบีบแน่น “เป็นซือจื่อจริงๆ”
“แม่นาง...เจ้าจำคนผิดแล้ว” เซียวเหรินจ้องมองใบหน้าอ่อนหวาน ดวงตาของนางเป็นประกาย นางส่ายหน้าไปมาแล้วส่งยิ้มกว้าง
“ท่านเคยช่วยข้า ข้าอยู่กับคุณหนูกงเสวี่ยหลิง”
กงเสวี่ยหลิง ชื่อที่ไม่ควรเอ่ยถึง เซียวเหรินผงะไปเล็กน้อยแต่ฝืนทำเป็นไม่เคยได้ยินชื่อนี้
“ขออภัยด้วย ข้าจำเจ้าไม่ได้จริงๆ ”
สีหน้าผิดหวังของนางชวนให้คนรู้สึกสงสารนัก “ท่านจำไม่ได้หรือ ข้าถูกแมวไล่กวดถูกกดจนปีกฉีก ท่านเป็นคนรักษาแล้วส่งข้าให้คุณหนูดูแลอย่างไรเล่า”
แมวไล่กวด? ปีกฉีก? มีเรื่องประหลาดแบบนี้ด้วยหรือ?
เซียวเหรินยังมีสีหน้างุนงง นางไม่พูดเปล่าแต่ยังกางแขนออก ชี้ให้เขาดูที่แขนของนาง
“นี่อย่างไร ถ้าไม่ได้ท่านรักษา ข้าคงไม่ได้โบยบินบนท้องฟ้าอีกแล้ว...อ๊า!” หญิงสาวกรีดร้อง “ปะ..ปีก...ปีกของข้าไปไหน แล้วนี่อะไร...นี่”
นางหวีดร้องสีหน้าตื่นตระหนก สะบัดแขนเรียวไปมาแรงๆ ราวกับจะให้มันหลุดออกไป ติงชุ่ยที่รับมือกับบรรดาหญิงสาวที่ ‘เข้าหา’เซียน เหริน ใช้ลูกไม้สารพัดรูปแบบ นางจึงคิดไปว่าหญิงสาวคนนี้อาจมาหลอกลวงเซียนเหรินอีกคน
“จะอะไร! มันก็แขนอย่างไรเล่า ข้าก็มีแขนเหมือนเจ้านั่นแหละ”
ติงชุ่ยรีบเข้าไปหมายจะกระชากหญิงสาวแปลกหน้าออก แต่นางชะงักมือกลางอากาศไม่ทันได้จับแขนของหญิงผู้นั้นก็ถูกสายตาดุดันจ้องมอง ทำให้นางชักมือกลับแล้วถอยไปยืนข้างหลัววั่ง
“แขน? เหตุใดข้ามีแขน” นางส่ายหน้าไปมา ผมยาวสยายพลิ้วไหวชวนมอง
“หากไม่ใช่แขน เจ้าคิดเป็นสิ่งใด” เซียวเหรินถามอย่างใจเย็น ดูว่าหญิงผู้นี้จะเล่นลูกไม้ใด หากไม่เพราะว่าเขาตรวจพบว่านางบาดเจ็บจริง เขาคงปล่อยนางออกไปแล้ว
“ปีก! ข้าเป็นนก! ข้าต้องมีปีกสิ!”
“นก!” หลัววั่งหลุดปากพูดเสียงดัง แล้วนึกได้จึงรีบยกมือขึ้นปิดปากตนเอง
“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นนก? ” เซียนเหรินถาม
นางพยักหน้าหงึกๆ “แน่นอน ข้าเป็นนก ข้าเป็นนกหงส์หยกของคุณหนูกงเสวี่ยหลิง ท่านจำข้าไม่ได้หรือ?”
หญิงสาวยื่นมือมาจับแขนสองข้างของเซียวเหรินแน่น จ้องดวงตาของเขาเพื่อยืนยันคำพูดตัวเอง เพราะเห็นเงาที่สะท้อนในดวงตาของเขา นางจึงหวีดร้องออกมาอีกหน รีบชักมือกลับมาลูบคลำใบหน้าตน
“นี่...นี่...นี่ไม่ใช่ใบหน้าของข้า” นางกวาดตามองหากระจก “กระจกอยู่ไหน ข้าขอส่องกระจกหน่อยเถิด”
ติงชุ่ยหงุดหงิดกับการแสดงของหญิงสาวคนนี้จึงสะบัดหน้าเดินไปหยิบกระจกให้ เพราะนางเป็นคนทำความสะอาดดูแลความเป็นอยู่ของเซียวเหรินจึงรู้ว่าข้าวของอยู่ตรงไหน นางหยิบกระจกแล้วส่งให้ มือสั่นระริกยื่นมาหยิบแล้วส่องดูใบหน้าตนเอง แม้กระจกนี้ไม่ดีเท่าที่นางเคยใช้
แต่มันก็พอจะมองเห็นว่าใบหน้านี้เป็นของ...
“เป็นไปไม่ได้” นางส่ายหน้าไปมา เหตุใดเป็นเช่นนี้ นางควรเป็นนกหงส์หยกตัวน้อยที่คอยรับฟังเรื่องราวต่างๆ ของคุณหนู เหตุใดดวงจิตของนางจึงมาอยู่ในร่างของคุณหนูเช่นนี้
แล้วคุณหนูของนางเล่า คุณหนูกงเสวี่ยหลิงที่แสนดีของนางไปอยู่ที่ใดแล้ว
ร่างกายทั้งหมดไร้เรี่ยวแรงโงนเงนเหมือนกิ่งหลิวต้องลม มือที่จับกระจกอยู่ค่อยๆ ร่วงลงดุจใบไม้ปลิดจากขั้ว มือใหญ่ยื่นมาประคองร่างนางใช้แผ่นอกของเขาเป็นที่พักพิง
“เจ้าพบเรื่องสะเทือนใจอย่างหนักหน่วง เวลานี้พักผ่อนเสียก่อนเถิด”
น้ำเสียงราบเรียบแต่ชวนให้ใจสงบทำให้ดวงตาคู่งามปิดลงช้าๆ เซียวเหรินช้อนตัวหญิงสาวขึ้นอุ้มไปนอนที่ตั่งนุ่มที่เขายกให้นางนอนมาสองวันแล้ว เขาวางร่างนางให้นอนลงอีกครั้ง คลี่ผ้าห่มคลุมกายให้นางแล้วเกลี่ยเส้นผมออกจากใบหน้าอ่อนหวาน
“ท่านเซียว” ติงชุ่ยเรียกเบาๆ ด้วยเกรงจะถูกดุเอาอีก
“จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนักจนคิดเพ้อไปว่าตนเองเป็นผู้อื่น พวกเจ้าติดตามข้ามาหลายปี ย่อมเคยเห็นมาบ้างแล้ว จะตื่นตกใจไปไยกัน”
หญิงสาวได้แต่ยิ้มน้อยๆ แล้วมองเด็กสองคนที่แย่งกันมองนอกหน้าต่างรถม้าที่โยกไหวไปมา นี่คือเส้นทางที่นางตัดสินใจแล้ว เขาไม่ต้องการนาง นางก็ไม่สามารถทำใจแข็งมองดูเขากับหญิงอื่นได้ ไม่รู้ทำไม ใจนางจึงชอบบุรุษผู้นั้นไปได้ ภายนอกเขาดูเย็นชาแต่เมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพัง เขาใส่ใจนางอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างไร นางก็เป็นเพียงหญิงจากหอนางโลมที่รัชทายาทประทานให้ เมื่อเขาไม่ต้องการก็ส่งนางกลับไป คิดถึงเรื่องนี้หัวใจก็เจ็บราวถูกมีดเฉือดเนื้อหัวใจเป็นริ้วๆ“นั้นอะไร” เด็กหญิงเอ่ยถาม“ม้ายังไงเล่า” เด็กชายตอบ “มีคนขี่ม้ามาทางนี้”“คงเป็นทหารนำสาสน์ด่วนผ่านมาทางนี้” ผู้เป็นแม่อธิบาย“ข้าจะเป็นทหาร!” เด็กชายพูดขึ้น“ข้าด้วย” เด็กหญิงพูดบ้าง“เจ้าเป็นผู้หญิง เป็นทหารไม่ได้”“ข้าจะเป็นทหาร ขี่ม้าเหมือนคนผู้นั้น”“อ๋า! ใกล้มาแล้ว”จู่ๆ รถม้าก็หยุดกะทันหัน ผู้คนในรถม้าไม่ทันตั้งตัวล้มไปคนละทาง หลิวเจียวเหมยยื่นมือไปรับเด็กหญิงไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มกระแทกพื้นรถ“เกิดอะไรขึ้น!” หลิวเจียวเหมยหัวเสีย แม้จะเป็นคนของทางการแต่ทำเช่นนี้ไม่ถูก หากมีคนบาดเจ็บขึ้นมาจะทำอย่างไร หญิงสาวหงุดหงิดแล้วยื่นหน้าออกไปมองเป็นจังหว
หยางเฟยหลิงก้าวพรวดพราดเข้าไปหาน้องชายที่นี่นั่งอ่านตำราอยู่ สีหน้าของหยางไห่เทาไม่สะทกสะท้านแม้ถูกกระชากคอเสื้อจนตัวลอยขึ้นจากเก้าอี้ สาวใช้ตกใจส่งเสียงหวีดร้องขึ้นมาทันที “พี่ใหญ่” หยางไห่เทาคลี่ยิ้มไม่ถือสาที่ถูกพี่ชายทำเช่นนี้ “หากเจ้ายังเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ ก็บอกมาว่าซ่อนหลิวเจียวเหมยไว้ที่ใด!” “แค่สตรีนางหนึ่งเป็นแค่หญิงรับใช้ พี่ใหญ่จะต้องสนใจไปไย” “นางเป็นคนของข้า!” “ข้ารู้” หยางไห่เทายังคงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาเตรียมใจมาเจอเรื่องเช่นนี้แล้วจึงไม่ได้หวาดกลัวสิ่งใด เขายกมือขึ้นแตะหลังมือพี่ใหญ่เป็นเชิงเตือนให้ปล่อยมือ แม่ทัพหนุ่มรู้ดีว่าทำไม่ถูกนัก แต่เขาระงับใจไว้ไม่อยู่ ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกก่อนปล่อยมือจากเสื้อของน้องชาย หยางไห่เทาพรูลมหายใจเบาๆ พลางจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่แล้วผายมือเชิญให้พี่ใหญ่นั่งลงก่อน เขารินน้ำชาด้วยตนเองแล้วส่งให้ “พี่ใหญ่ไม่ต้องการนางแล้ว จะรั้งนางไว้เพื่อสิ่งใด มิสู้ปล่อยให้นางได้ใช้ชีวิตของตนมิดีกว่าหรือ?” “ผู้ใดบอกว่าข้าไม่ต้องการนาง” เขา
บ้านเมืองสงบสุขไปหรือไร ไฉนทุกคนถึงได้เป็นห่วงเป็นไยว่าเขายังไม่ได้แต่งงาน หยางเฟยหลิงหงุดหงิดในใจทว่าไม่สามารถแสดงสีหน้าหรืออารมณ์ออกมาได้ เขายังคงนั่งจิบน้ำชาอย่างไร้ความรู้สึกต่อหน้ารัชทายาทฝูไหลที่นัดหมายพบหน้าเขาถึงที่จวน โดยแจ้งว่ามีใบชาชั้นเลิศมอบให้ คนอย่างเขาดื่มสุรามากกว่าน้ำชาด้วยซ้ำ เหตุใดจึงมอบใบชาให้เขากันเล่า และสุดท้ายก็สอบถามเขาเรื่องตบแต่งภรรยา “แม่ทัพหยางไม่ถูกใจน้องสาวของข้ารึ หรือเจ้าชอบองค์หญิงคนไหน ข้าสามารถพูดกับเสด็จพ่อได้” “ฐานะกระหม่อมไม่คู่ควร โปรดเลิกคิดเรื่องเหล่านี้เถิด” ฝูไหลไม่โกรธแต่กลับหัวเราะออกมา “หรือแม่ทัพหยางมีหญิงในดวงใจจึงไม่พึ่งใจพี่สาวน้องสาวของข้า” หญิงในดวงใจ เขาไม่เคยคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ตั้งแต่รับหลิวเจียวเหมยไว้ข้างกาย เขาก็ไม่ต้องสตรีนางใดอีก เขาชอบเวลาที่มีนางอยู่ใกล้ๆ นางเหมือนสายน้ำไหลเย็นที่ไร้เสียง แต่รับรู้ได้ว่ามีตัวตนในขณะเดียวกันก็ซุกซ่อนอีกด้านที่ไม่เปิดเผยให้ผู้อื่นได้สัมผัส ท่าทางแง่งอนหรือดื้อรั้น ภายใต้ท่าทีอ่อนน้อมเช่นนางจะหัวแข็งไ
ปลายจมูกโด่งกดซุกไซ้ที่ซอกคอขาวผ่อง หญิงสาวบิดตัวไปมาพลางยกมือขึ้นปัดป้อง ทว่าสองมือกลับถูกกดลงข้างตัวทำให้คนที่หลับใหลผวาตื่นจ้องมองใบหน้าผู้บุกรุกยามวิกาล “ท่าน...ท่านแม่ทัพ...” “หรือเจ้าคิดว่าเป็นผู้ใด” น้ำเสียงหงุดหงิดเคล้ากับกลิ่นสุรารสแรงทำให้หลิวเจียวเหมยตัวเกร็งและไม่กล้าขยับตัวส่งเดชอีก ท่าทางตื่นกลัวของนางทำให้หยางเฟยหลิงหงุดหงิด เหตุใดนางจึงดูกลัวเขานักนะ ทั้งที่ร่วมหลับนอนกันมาหลายครั้งหลายคราแล้ว“ตอบสิ”“....” หญิงสาวปรับสายตาครู่หนึ่ง ยามนี้ร่างใหญ่โตของเขาคร่อมร่างนางอยู่ ไอร้อนจากตัวบุรุษโอบล้อมราวย้ำเตือนว่านางไม่อาจหลบหนีไปได้“ข้า...ข้าไม่ได้รอผู้ใดเจ้าค่ะ” ‘ข้ามีสิทธิ์รอหรือ? ข้าเป็นเพียงสาวใช้อุ่นเตียงท่านแม่ทัพ จะมีสิทธิ์ทำสิ่งใดได้’คล้ายไม่พอใจกับคำตอบที่ได้ยิน ริมฝีปากเจือรสสุราทาบทับลงมาจูบกลีบปากดุจกลีบกุหลาบ เขาขบเม้มริมฝีปากนางอย่างแรงจนหญิงสาวนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ ร่างกายดิ้นรนต่อต้านแต่ไม่อาจสู้แรงอีกฝ่ายและแน่นอนว่าเขาไม่ได้ออกแรงเลยสักนิด ยิ่งนางต่อต้านเขายิ่งอยากเอาชนะ มือที่ว่างอีกข้างกระชากเสื้อของนางเปิดอ
คนเป็นน้องอ้าปากจะพูดแต่หญิงสาวยกน้ำชาเข้ามาก่อน แม้นางสวมชุดสาวใช้แต่กิริยามารยาทอ่อนช้อยงดงามสมกับเป็นคุณหนูในตระกูลเก่าแก่ หากไม่เพราะเลือกข้างผิดคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ หญิงสาวรินน้ำชาเสร็จก็ค่อยๆ ก้าวออกไปอย่างเงียบเชียบโดยไม่ต้องให้ใครเอ่ยปากขับไล่ แม่ทัพหยางมองร่างบอบบางเดินออกไปแล้วจึงย้ายสายตามาจ้องมองน้องชาย “พี่ใหญ่คงรู้แล้วว่าข้าป่วยทางใจ หมอที่ใดก็เยียวยามิได้” หยางไห่เทายกน้ำชาขึ้นจิบเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “ไม่อาจกล่าวโทษพี่ใหญ่ที่ทำให้ครอบครัวเราจากเดิมที่เป็นเพียงคนยากไร้ได้กลับกลายเป็นคนตระกูลสูงส่งมีผู้คนนับหน้าถือตา แต่สิ่งเหล่านั้นสร้างความกดดันให้ข้าไม่น้อย ไม่ว่าจะทำสิ่งใดมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับพี่ใหญ่ผู้เกรียงไกรในสนามรบ” “เหลวไหล ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้านะ” หยางไห่เทาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนคลี่ยิ้มเหนื่อยล้า“พวกเรารู้ดีว่าพี่ใหญ่ทำเพื่อครอบครัวมากเพียงใด แต่พวกเราก็หนักใจที่ต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงมากมายที่มาพร้อมฐานะที่สูงขึ้น” “ข้าไม่รู้ว่า...” “เรื่องนี้พี่ใหญ่ไม่ผิด ท่านเองก็รู้ว่าในวังหลวงมี
“ท่านแม่พูดว่า...น้องเล็กจะกลับมาแล้วหรือขอรับ” “ใช่” หากหยางไห่เทากลับมา...น้องชายคงอยากพบหลิวเจียวเหมยเป็นแน่ แม้หลิวเจียวเหมยเคยพูดกับเขาว่านับหยางไห่เทาเป็นสหาย แต่น้องชายของเขาเล่าคิดเช่นไรกับสตรีผู้นี้? อาหารเลิศรสกลายเป็นฝืนคอไปทันที หลังจากกินอาหารเสร็จ พ่อลูกนั่งจิบชาอยู่ครู่หนึ่ง หยางเฟยหลิงจึงขอตัวกลับ ระหว่างที่เดินออกมานั้น เด็กน้อยวิ่งถลาเข้ามาทางเขาอย่างไม่ตั้งใจ “ตงตงระหว่างชนท่านลุง” น้องชายคนรองร้องห้ามแต่ไม่ทันเสียแล้ว เด็กน้อยวัยสิบขวบวิ่งชนเข้าไปเต็มที แต่หยางเฟยหลิงคว้าร่างเล็กไว้ได้ทันก่อนจะชนกับเขาเข้า ซึ่งถ้าอาจทำให้เด็กน้อยเจ็บตัวได้ เด็กชายตัวจ้อยแหงนหน้ามองบุรุษร่างสูงใหญ่ด้วยความไม่คุ้นเคย ดวงตากลมกะพริบตาปริบๆ แล้วหันไปทางบิดาที่เดินตามมา “ท่านลุง?” “นี่ท่านลุงของเจ้า” น้องชายคนรองหัวเราะเบาๆ แล้วอุ้มเจ้าจอมซนเอาไว้ “พี่ใหญ่ไม่เป็นไรกระมัง” “ข้าจะเป็นอะไรได้” เขามองเด็กน้อยแล้วยิ้ม “พี่ใหญ่ก็กลับมาบ้านบ่อยๆ ลูกข้าจะได้จำหน้าท่านลุงได้...หรือไม