“ไม่เอาแล้ว ข้าไม่ฝึกฝนอีกแล้ว”
เด็กน้อยมองฝ่ามือสองข้างที่ยังสั่นระริกของตนเอง ร่างเล็กนั่งขดตัวในพุ่มดงดอกโบตั๋น ดวงตางดงามฉ่ำวาวด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอ เด็กหญิงกลั้นเสียงสะอื้นแล้วยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาเร็วๆ ไม่ให้น้ำตาไหลเปื้อนแก้ม
“ไม่เอาแล้ว ข้าไม่ฝึกฝนอีกแล้ว”
พุ่มไม้ที่นางซ่อนตัวอยู่ขยับสั่นไหว เด็กน้อยรู้สึกตัวจึงเงยหน้าขึ้น เป็นจังหวะที่มือข้างหนึ่งแหวกพุ่มไม้ออก นางหลุดปากหวีดร้องแล้วขยับกายเข้าไปด้านในเพื่อซ่อนตัว
“อ้าว! มีคนอยู่รึ”
น้ำเสียงคุ้นเคยแม้ไม่ได้อ่อนโยน แต่ทำให้เด็กหญิงได้สติ นางกะพริบไล่หยดน้ำตาที่เอ่อคลอ เพื่อจะได้มองคนที่แหวกพุ่มไม้แล้วโน้มตัวลงมาจ้องมองนางอยู่
“เจ้า!”
นางอ้าปากส่งเสียงได้เพียงแค่หนึ่งคำ เด็กหนุ่มตรงหน้ายกมุมปากเป็นรอยยิ้มบางเบาที่แทบจะมองไม่เห็น และไม่ได้เห็นบ่อยนัก
มันเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ไม่รู้ที่สายตาของนางมีเขาเพียงผู้เดียว
เสียงวัตถุตกลงผิวน้ำอย่างแรงทำให้ชายหนุ่มที่อยู่ใกล้บริเวณนั้นหันไปมองทันที เพียงพริบตา ร่างสูงโปร่งทิ้งตะกร้าใส่สมุนไพรลงพื้น ใช้วิชาตัวเบาพุ่งไปราวเหาะเหิน ทว่าร่างหญิงสาวในชุดสีแดงดำดิ่งลงไปในน้ำลึกอย่างเร็ว เลือดสีสดปะปนในสายน้ำ มือแกร่งแหวกสายน้ำพยายามคว้าร่างของหญิงสาวไว้ เขาแข็งใจพุ่งตัวไปจนคว้าข้อมือของหญิงสาวไว้ได้แล้วกระชากนาง เขารวบร่างของนางไว้ได้แล้วจึงยกมือขึ้นประคองใบหน้าซีดเซียวไว้ ประกบริมฝีปากส่งลมหายใจเข้าปากของนาง ดวงตาคมดุจเหยี่ยวจับจ้องใบหน้าของหญิงสาวแปลกหน้า เปลือกตาที่ปิดอยู่กระตุกเล็กน้อย เมื่อลมหายใจส่งผ่านไปจดหมด มือแกร่งโอบรัดเอวคอดกิ่วไว้แน่นแล้วพาร่างที่ยังไม่ได้สติขึ้นเหนือผิวน้ำ
เขาผงะเล็กน้อยที่เห็นโลหิตไหลเปื้อนเปรอะใบหน้าของนาง เสื้อผ้าที่สวมเปียกชื้นรัดรึงเรือนร่างจนเห็นเส้นโค้งอันเย้ายวนตา เพียงปลายนิ้วสัมผัสผิวกายเนียนละเอียดดุจหยกใส หัวคิ้วพลันขมวดผูกปมทันที นางตัวเย็นราวกับผิวน้ำในฤดูหนาว ริมฝีปากที่เผยอส่งเสียงครางเจ็บปวดนั้นเขียวคล้ำและสั่นระริก ตัวนางเย็นเกินไป หากไม่ได้ยินเสียงครางนี่ละก็ เขามั่นใจว่านางตายไปแล้ว
“แม่นาง” เขาเรียกแล้วประคองร่างที่ยังไร้สติไปที่ฝั่ง พยายามไม่สนใจเสื้อผ้าที่เปียกแนบเนื้อของหญิงสาว เขาเรียกนางอยู่สองสามครั้ง ดวงตาที่ปิดสนิทค่อยๆ เปิดขึ้น เพียงดวงตาคู่นั้นเบิกกว้าง สีหน้าของนางแสดงความตื่นตระหนก
“ใจเย็นก่อน ข้ามิได้ทำร้ายเจ้า” เขากลัวนางจะส่งเสียงหวีดร้อง ยื่นมือไปเกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้า เพื่อจะดูบาดแผลที่ศีรษะของนาง “บาดแผลนี้ท่าทางจะเกิดจากศีรษะกระแทกก้อนหินกระมัง”
ยังไม่ทันที่เขาจะหยิบผ้าเช็ดหน้ามาห้ามเลือดให้นาง มือเรียวเล็กกลับยื่นมาจับมือของเขาไว้ก่อน ริมฝีปากที่สั่นระริกพยายามส่งเสียงอย่างยากลำบาก ทำให้เขาจำใจโน้มศีรษะลงใกล้เพื่อได้ยินคำพูดของนาง
“ข้า...ได้...พบ...ท่าน...แล้ว...” นางขยับปากพูดทีละคำ “ซือจื่อ”
สิ้นคำพูดสุดท้าย ดวงตาของนางก็ปิดลงอีกครั้ง พร้อมกับร่างของนางที่เอนลงสู่แผ่นอกของเขา
เซียวเหรินกายสั่นสะท้านขึ้นมา มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เรียกเขาด้วยชื่อนี้ แต่นั่นเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว นานจนเขาเกือบลืมเรื่องเหล่านี้ไปแล้ว
ไม่มีใครเรียกชื่อนี้นานแล้วจริงๆ
…
ชายหนุ่มรูปร่างค่อนไปทางผอมบางก้มๆ เงยๆ อยู่ใกล้โคนต้นไม้ใหญ่ ใบหน้าที่เรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ใดจ้องมองที่เห็ดดอกใหญ่ ดวงตาฉายแววพอใจแล้วนั่งลง ค่อยๆ บรรจงเอาเห็ดเหล่านั้นออกมาใส่ตะกร้าที่สะพายอยู่ด้านหลัง สภาพภูมิอากาศของที่นี่ทำให้เห็ดหลินจือและพืชสมุนไพรหลายชนิดเติบโตงอกงาม แต่ที่ทำให้ผู้คนไม่กล้าเข้ามาเก็บเพราะเป็นพื้นที่ชายแดนที่มีการปะทะกันของทหารทั้งสองฝ่าย
กว่ายี่สิบปีที่ผ่านมา สองแคว้นทำศึกกันอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งเมื่อห้าปีก่อน แต่ละแคว้นต่างส่งองค์ชายและองค์หญิงมาเป็นเชลย มองผิวเผินเหมือนบ้านเมืองกลับสู่ความสงบสุข ทว่าเหมือนท้องฟ้าก่อนเกิดพายุฝน สงบนิ่งก่อนลมพายุมาเยือน แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องราวเหล่านี้มานานแล้ว ใครจะเป็นผู้กุมอำนาจไว้ในมือนั้น เขาหาได้ใส่ใจไม่
‘หมอเทวดาไร้ใจ’
ใครต่อใครเรียกขานเขาเช่นนั้น เซียวเหรินไม่ต้องการให้ใครเรียกเขาว่าหมอ ไม่ได้สนใจอยากรักษาผู้ใดนัก ทว่าผู้คนมากมายกลับแบกหามคนเจ็บป่วยมาให้รักษา ถ้อยคำบอกปัดไปเท่าไหร่ก็ไม่มีความหมาย พอไล่ไม่ไป เขาเกรงว่าคนเหล่านั้นจะมานอนตายหน้ากระท่อมหลังน้อย ทำให้เขาจำใจต้องลงมือดูแลรักษาไปตามสภาพ
หลายปีมานี้เขาตั้งใจศึกษาตำราแพทย์อย่างเงียบสงบไม่สนใจเรื่องใด ไม่สนใจว่าใครจะเป็นฮ่องเต้หรือแคว้นใดวางแผนใดอยู่ ใครจะอยู่เบื้องหน้า ใครจะกุมอำนาจ ล้วนมิใช่เรื่องที่เขาใส่ใจ
ขณะที่เก็บเห็ดได้มากจนพอใจแล้ว เขายืนขึ้นและคิดถึงหญิงสาวแปลกหน้าที่จำใจต้องดูแล นางหลับใหลไม่ได้สติมาสองวันแล้ว จากที่เขาตรวจดู นอกจากบาดแผลบนศีรษะแล้ว ตามเนื้อตัวมีรอยบอบช้ำหลายแห่ง นางใส่ชุดเจ้าสาวสีแดงงดงาม เนื้อผ้าตัดเย็บอย่างประณีต ดูแล้วไม่น่าเป็นหญิงชาวบ้านทั่วไป
‘ซือจื่อ’
ถ้อยคำนั้นยังติดค้างในความรู้สึกของเขา
อาจเป็นความบังเอิญก็ได้
‘ซือจื่อ’ เป็นชื่อรองของเขา ท่านอาจารย์โจวเป้าตั้งให้เมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กชายคึกคะนอง มีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่ ไม่พอใจผู้ใดเป็นอันได้ลงไม้ลงมือโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ท่านอาจารย์โจวเป้าไม่รับศิษย์มากนัก คราวนั้นมีเพียงสามคน เขาไม่ถนัดทั้งบุ๋นและบู๊ แต่ชื่นชอบการแพทย์ จึงมีน้อยคนนักที่จะรู้ชื่อรองของเขา แต่นั่นเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว นานจนเขาเกือบลืมเรื่องเหล่านี้ไปแล้ว
ไม่มีใครเรียกชื่อนี้นานแล้วจริงๆ
ตะกร้าของเซียวเหรินมีเห็ดและสมุนไพรอื่นๆ ที่นับว่ามีค่ายิ่ง เขาสะพายขึ้นหลังแล้วเดินกลับไปที่กระท่อมหลังน้อยของตนที่อยู่ตีนเขาเป่ยหมาง หากคนปกติทั่วไปเดินเท้าใช้เวลาราวสองชั่วยาม แต่เซียวเหรินใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามก็มาถึงที่หมาย เขาอยู่อย่างสันโดษ ไม่มีผู้ติดตามหรือบ่าวรับใช้ เขาไม่อนุญาตให้คนเจ็บคนป่วยพักอยู่ในเรือนของเขา แต่กระนั้นกระท่อมของเขาก็ไม่ไกลหมู่บ้านนัก แม้เรือนของเขาไม่ต้อนรับคนเจ็บคนป่วย แต่คนเหล่านั้นก็อาศัยขอแบ่งปันห้องพักจากชาวบ้านเพื่อรอให้เขารักษา แต่ครั้งนี้เขากลับละเมิดกฎของตนเอง เพราะหญิงสาวในชุดเจ้าสาวสีแดงมงคล
เพียงเข้าไปในรั้วบ้าน ดวงตาของเขาเห็น ‘ติงชุ่ย’ หญิงสาวในหมู่บ้านที่มักเข้ามาดูแลความเป็นอยู่ของเขา ทั้งที่ปฏิเสธนางไปหลายครั้ง แต่นางก็ยังมาช่วยซักเสื้อผ้าทำความสะอาดบ้านให้เขา
“ท่านเซียว”
เนื่องจากเขาไม่ชอบให้ผู้อื่นเรียกว่า ‘หมอ’ นางจึงเรียกเขาว่า ‘ท่านเซียว’ หญิงสาวท่าทางโผงผางยิ้มเจื่อนแล้วขยับตัวออกห่างจากบานประตูที่ปิดสนิท
เซียวเหรินเพียงถอนหายใจหนักๆ เช่นทุกครั้ง เขาเดินเข้าไปแล้ววางตะกร้าสมุนไพรลง ติงชุ่ยกุลีกุจอรินน้ำชาส่งได้ แต่สายตายังพะวักพะวนที่หลังบานประตูนั้น
“เจ้ามาก็ดีแล้ว” เซียวเหรินจิบน้ำชาชุ่มคอแล้วเอ่ย “มีคนเจ็บอยู่
ข้างใน ข้าอยากให้เจ้าช่วยหาเสื้อผ้าสตรีให้สักชุดสองชุด”
“สตรี!” ติงชุ่ยหลุดปากพูดเสียงดัง “มะ...มีสตรีอยู่ที่บ้านท่าน!”
“นางได้รับบาดเจ็บต่อหน้าข้า” เซียวเหรินทำเป็นไม่เห็นสีหน้าตกใจของติงชุ่ย ขณะที่กำลังจะผลักบานประตูเข้าไปด้านใน เขาก็รับรู้ได้ว่ามีชายอีกคนเดินแบกฟืนเต็มบ่าเข้ามา
“ท่านเซียว ข้าเอาฟืนมาเพิ่มให้ อีกสี่ห้าวันเผาถ่านเสร็จจะเอามาให้ท่านเซียวอีกขอรับ”
หลัววั่งเป็นอีกคนในหมู่บ้านที่แวะเวียนมาบ้านของเซียวเหรินทุกวัน คอยช่วยงานทั่วไป และหากมีใครเจ็บป่วยมาแล้วทำกิริยาไม่ดีต่อท่านเซียว หลัววั่งจะออกหน้าขับไล่และปกป้องเสมอ ภายนอกเซียวเหรินคล้ายไม่สนใจผู้อื่น แท้จริงแล้วกลับห่วงใยยิ่งนัก แม้อยู่คนเดียวอย่างสันโดษ แต่ชาวบ้านผลัดกันแวะเวียนมาดูแล หลัววั่งทำไร่ไถนาดูเป็นคนไม่ค่อยฉลาดนัก แต่มีพละกำลังมหาศาล คนในหมู่บ้านจึงลงความเห็นให้หลัววั่งมาคอยดูแลเซียวเหริน หากมีเรื่องต้องแบกหามคนเจ็บคนป่วย หลัววั่งทำได้อย่างไม่ลำบาก ส่วนติงชุ่ยเป็นลูกสาวผู้ใหญ่บ้าน นางแอบหลงรักเซียวเหรินตั้งแต่ที่ชายผู้นี้มาอยู่ที่กระท่อมเชิงเขาเป่ยหมางแต่เดิมไม่มีใครรู้ว่าเซียวเหรินมีความรู้รักษาผู้คนได้ จนกระทั่งวันหนึ่งมีเด็กตกต้นไม้บาดเจ็บสาหัส หมู่บ้านเล็กๆ ไม่มีหมอ แม่ของเด็กน้อยวิ่งมาที่ภูเขาหวังใจจะบนบานกับเทพภูเขา เซียวเหรินอยู่ระหว่างเก็บของป่าได้ยินเข้าจึงติดตามไปดูอาการของเด็กน้อย ราวกับปาฏิหาริย์เด็กน้อยผู้นั้นฟื้นคืนสติ ขาที่บิดพลิกรูปก็ถูกเซียวเหรินพลิกกลับคืนรูปร่างเดิม เด็กน้อยพักฟื้นเพียงสิบกว่าวันก็สามารถวิ่งเล่นได้อีกครั้ง นับแต่นั้น ย
หลัววั่งที่พยักหน้าแรงๆ “ใช่แล้วๆ เคยมีคนป่วยที่บอกว่าตัวเองเป็นเทพเจ้าอาละวาดบ้าคลั่งถูกมัดมือมัดเท้ามา ท่านเซียวก็ฝังเข็มรักษาจนหายดี” “ติงชุ่ย ถ้าเจ้าลำบากใจก็ออกไปให้พ้นหน้าข้า” “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” นางฝืนยิ้มออกมา หากยอมห่างกายเซียวเหรินก็มิรู้ว่าหญิงคนนี้สติไม่ดีจริงหรือมาหลอกลวงเซียวเหรินกันแน่ “ออกไปได้แล้ว” เซียวเหรินรอจนในห้องไม่มีใครแล้ว เขาก้มมองหญิงสาวที่หลับใหลไปอีกครั้ง เขามั่นใจว่าไม่เคยพบนางมาก่อน แต่เขารู้จัก ‘กงเสวี่ยหลิง’ เป็นการรู้จักที่ไม่เคยพบหน้ากันสักครา แต่คนแซ่กงนั้นมีคนที่เขารู้จักสนิทสนมด้วย ซึ่งบัดนี้มีตำแหน่งเป็นรัชทายาท เขาเผลอระบายลมหายใจหนักหน่วง แม้ตนเองจะใช้ชีวิตปลีกตัวจากโลกภายนอกมานานสี่ปี แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องใดเลย เขาไม่ได้สนใจที่นางยืนยันว่าเป็นนกหงส์หยก แต่เป็นเพราะชุดเจ้าสาวที่นางสวมและรอยบอบช้ำตามร่างกายต่างหาก ยังไม่นับรวมที่เขาตรวจพบว่านางต้องพิษมายาวนาน “เจ้าจะเป็นนกหรือเป็นผู้ใดก็ตาม ข้าจะรักษาเจ้าจนหายดี” เป็นไปได้อย่างไร หญิงสาวถามตั
ในมือของกงเสวี่ยหลิงกำปิ่นปักผมเปื้อนเลือดแน่น ดวงตาที่เคยอ่อนโยนคู่นั้นแข็งกร้าวไร้ความอ่อนแอ เพราะความตกใจทำให้มือสกปรกปล่อยนกน้อยให้ร่วงหล่นเพื่อไปกุมเป้ากางเกงที่ถูกปิ่นของนางจ้วงแทง กงเสวี่ยหลิงยื่นมือไปรองรับร่างของนกน้อยได้ทัน แล้วรีบหมุนตัววิ่งออกไปท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนของชายผู้นั้น ท่ามกลางความตกตะลึงของคนรอบข้างที่ไม่รู้ว่าจะต้องช่วยผู้เป็นนายที่ร้องอย่างเจ็บปวดหรือตามหญิงสาวที่วิ่งหนีสุดฝีเท้า ‘หลันหลัน’ นกน้อยถูกกอดแนบอก ได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงของกงเสวี่ยหลิงแทบจะทะลุทรวงอกออกมา เท้าเล็กๆ สะดุดพื้นดินขรุขระล้มจนศีรษะกระแทกก้อนหิน แต่นางรีบยันกายขึ้นแล้วออกวิ่งไม่สนใจเลือดที่ไหลลงมาเปื้อนใบหน้า เสียงคนวิ่งไล่ตามมาด้านหลัง กงเสวี่ยหลิงไม่เสียเวลาหันไปมอง นางรู้สึกถึงบางสิ่งที่พุ่งมาเฉียดใบหูของนาง ‘ธนู!’ ‘หลันหลัน’น้ำเสียงของกงเสวี่ยหลิงเด็ดเดี่ยวและผสานความผ่อนคลายอย่างคนยอมรับชะตากรรม ‘เจ้าโบยบินไปสู่ท้องฟ้าอันอิสระเถิด อย่าถูกกักขังเช่นข้า ข้าติดค้างเจ้า รั้งนกน้อยอย่างเจ้าให้อยู่เป็นเพื่อนข้า ทั้งที่บ้านของเจ้าคือท้องฟ้
นางมองแผ่นหลังของเซียวเหรินที่ยุ่งกับการตรวจคนป่วยที่นอนบนแคร่ไม้ไผ่ นางกินอาหารที่ติงชุ่ยยกมาให้ ติงชุ่ยหน้าตาบึ้งตึงพูดอะไรไม่รู้มากมายแล้วหมุนตัวเดินจากไป ปล่อยให้นางกินโจ๊กหอมกรุ่น เป็นครั้งแรกที่นางจับช้อนตักอาหารเข้าปากด้วยตนเอง นางเงอะงะอยู่ครู่หนึ่งจึงทำได้โดยไม่หกเลอะเทอะ นางได้กินโจ๊กหอมกรุ่นจนเกลี้ยงชาม แต่เหตุใดนางยังไม่รู้สึกอิ่ม หญิงสาวลูบท้องของตนเบาๆ เมื่อครั้งเป็นนกนางก็กินเพียงเล็กน้อย เคยเฝ้าดูคุณหนูกินอาหารแต่ละมื้อก็กินเพียงเล็กน้อยเช่นกัน แต่เหตุใดนางกินจนเกลี้ยงชามแล้วยังไม่รู้สึกอิ่ม ร่างกายยังอ่อนแรงอยู่ นางจึงยอมขัดคำสั่งของเซียวเหรินที่ให้นางอยู่แต่ในห้อง ถือชามโจ๊กออกมาด้านนอก หญิงงามแม้อยู่ในชุดหญิงชาวบ้านเสื้อผ้าเปื่อยเก่าแต่ไม่อาจปกปิดความงามนั้นไว้ได้ ผมยาวดำขลับเพียงถูกรวบไว้ง่ายๆ ด้วยปิ่นไม้ นางประคองชามโจ๊กที่ว่างเปล่าราวกับขอทานน้อย แววตาตื่นตระหนก ริมฝีปากแดงชาดเม้มแน่นดูน่าสงสารนัก “เจ้าออกมาทำไมกัน” ติงชุ่ยถามพลางเดินไปลากแขนแทบจะปลิวลมของหญิงสาวมาใกล้ นางไม่ยินดีเห็นสตรีอื่นหน้าตาโดดเด่นมาอยู่ใกล้นัก เดิมทีได้
“ต๋าฟู่อย่าเสียมารยาท”“แต่...” เสียงหญิงวัยสี่สิบปลายๆ เอ่ยสั่งลูกชายตัวโตของตนเอง มือหยาบกร้านยื่นเปะปะเพื่อควานหาร่างของลูกชายตน น้ำเสียงอ่อนโยนแต่ดวงตาเป็นสีขาวขุ่น ชายร่างใหญ่ปล่อยมือจากหญิงสาวแล้วหันไปประคองมารดาของตน หลันหลันเห็นหญิงวัยสี่สิบผู้นี้แล้วก็อ้าปากกว้าง“ท่านป้าต๋าซู”หญิงสาวเรียกแล้วกระโดดไปเกาะแขนของหญิงผู้นั้น“น้ำเสียงนี้...” ป้าต๋าซูผงะไปเล็กน้อยแล้วยื่นมือสั่นเทาลูบไล้โครงหน้าของหญิงสาวอย่างเบามือ “ทะ...ท่าน...ท่าน...” “ข้าหลันหลันเองท่านป้าต๋าซู” นางเอนศีรษะถูไถกับฝ่ามือที่คุ้นเคยหญิงต่างวัยชะงักไปเล็กน้อย นิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับ“หลันหลัน”“ท่านป้าต๋าซูใจดีแอบเอาผลไม้มาให้ข้ากับคุณหนูบ่อยๆ” นางยิ้มกว้าง ฐานะความเป็นอยู่ของกงเสวี่ยหลิงไม่ค่อยดีนัก ไม่มีใครกล้าทำดีกับนาง แต่ละคนล้วนอยากอยู่ห่าง แม้แต่บ่าวรับใช้ที่ถูกส่งมาปรนนิบัติคุณหนูก็ทำแบบขอไปที แต่ยังมีคนจิตใจดีสงสารคุณหนู แอบนำผลไม้หรือขนมใส่ตะกร้ามาวางไว้ที่หน้าประตูหลายครั้ง ด้วยความอยากรู้ นางจึงบินไปซุ่มดูจึงรู้ว่าเป็นป้าต๋าซู นางเป็นหญิงรับใช้ของคุณหนู แต่ปกติจะทำเย็นชาใส่ แต่ยามไม่มีใครเห
“หลันหลันเด็กดี เป็นเด็กกตัญญูรู้คุณ ค่อยๆ ตรองดูเถิดว่าเวลาสี่สิบเก้าวันที่เจ้าลืมตามาอยู่ในร่างนี้ต้องทำสิ่งใดบ้าง” “สี่สิบเก้าวัน? ท่านป้าหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ” “นี่ไม่ใช่ร่างของเจ้า ดวงจิตของเจ้ามาอยู่ในร่างนี้ได้เพียงแค่สี่สิบเก้าวันเท่านั้น” ป้าต๋าซูยังคงลูบศีรษะนางเบาๆ “ที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้เพราะมีผู้มอบลมหายใจต่ออายุให้เจ้า” หลันหลันขมวดคิ้ว “ใครกันเจ้าคะ?” “ในสี่สิบเก้าวันที่เจ้าอยู่บนโลกมนุษย์นี้ เจ้าต้องกลืนกินลมหายใจของเขาเพื่อต่ออายุเจ้า” “ท่านป้า ท่านช่วยอธิบายให้นกน้อยอย่างข้าเข้าใจง่ายๆ ด้วยเถิดเจ้าค่ะ” นางเบ้ปากทำหน้าอยากร้องไห้เต็มที “คุณหนูของข้าอยู่ที่ไหน ข้าจะไปตามหาคุณหนู” “เจ้าไปหาคุณหนูตอนนี้ไม่ได้” “คุณหนูรอข้าอยู่ใช่ไหมเจ้าคะ” “หลันหลัน จำไว้ เจ้าอยู่ได้แค่สี่สิบเก้าวัน และต้องกลืนกินลมหายใจของผู้มีพระคุณของเจ้า เจ้าจึงยังอยู่บนโลกนี้ได้” มือหยาบกร้านปล่อยศีรษะนางแล้วค่อยๆ หมุนตัวเดินจากไป “ท่านป้า ท่านจะไปไหน” หลัน
“ช่างเถอะ” เขาโบกมือไปมา “บอกข้า คุณหนูกงของเจ้าเล่าเรื่องใดเกี่ยวกับข้าบ้าง” หลันหลันฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายดุจดวงดาวบนฟากฟ้า “คุณหนูเล่าเรื่องซือจื่อทุกเรื่อง ท่านเป็นสหายร่วมอาจารย์กับคุณชายกงอี้เทาและท่านจางซงหยวน ทุกครั้งที่ท่านจางลอบมาพบคุณหนู มักนำเรื่องราวของซือจื่อมาเล่าให้คุณหนูฟังเสมอ” เซียวเหรินยกมือขึ้นนวดขมับ เจ้าสองคนนั้นปากเปราะยังไม่พอ นี่กงเสวี่ยหลิงยังเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเขาให้สาวใช้ฟังด้วยหรือ? “มีเรื่องอะไรบ้าง” “ซือจื่อเป็นคนโมโหร้ายแต่ไม่แสดงออก” นางพูดด้วยรอยยิ้ม “ซือจื่อทำตัวเป็นสัตว์กินพืชทั้งที่ชอบกินเนื้อ ซือจื่อเก่งกล้าสามารถแต่ไม่อวดตัว ซือจื่อชอบศึกษากลยุทธ์การทำศึกแต่ไม่ชอบสงคราม ซือจื่อไม่ชอบอากาศเย็นและไม่ชอบกินถั่วแดง ซือจื่อ...” “พอแล้ว” มีแต่เรื่องไร้สาระทั้งนั้น เขาไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้กับสาวใช้ของกงเสวี่ยหลิงดี นางไร้เดียงสาเกินไป นอกจากใบหน้างดงามอ่อนหวานและเรือนร่างบอบบางนี้ นางเป็นสาวใช้ที่ไม่น่าจะเอาตัวรอดในวังหลวงอันโหดเหี้ยมได้เลย หรือเพราะกงเ
ติงชุ่ยได้แต่บอกตัวเองให้ซ่อมชุดเก่าของตนมาให้เจ้านกน้อยใส่อีกสักชุด ดูท่านางจะตัวเล็กกว่ามาก ขนาดแขนเสื้อยังยาวเลยข้อมือออกมามาก เซียวเหรินผลักบานประตูห้องออกมา เขากวาดตามองแต่ไม่เห็นร่างของหญิงสาวตัวเล็ก นางจะอยู่หรือไปไหนทำสิ่งใดมิใช่เรื่องของเขาเลยสักนิด แต่ก็อดมองหาไม่ได้ เขาเม้มปากครุ่นคิดด้วยความเคยชิน ใคร่ครวญว่าควรถามหลัววั่งกับติงชุ่ยที่กำลังรับมือกับคนป่วยที่ทยอยเข้ามาให้เขาตรวจโรคดีหรือไม่ หางตาของเขาก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา ด้วยบุคลิกลักษณะแล้วมิใช่ชาวบ้านทั่วไป กลิ่นไอสังหารเข้ามาก่อนจะมาถึงตัวเขาเสียอีก “ข้ามาพบท่านหมอเซียวเหริน” ติงชุ่ยกระโดดหลบไปอยู่ด้านหลังหลัววั่งทันทีที่เห็นชายฉกรรจ์ท่าทางดุดัน หลัววั่งเองแม้ตัวใหญ่แต่ไร้วรยุทธ์ เขาทำได้เพียงยืดแผ่นอกเตรียมปกป้องคนที่ถูกถามถึง แต่เซียวเหรินรู้ดีว่าคนกลุ่มนี้ไม่ใช่คนที่หลัววั่งจะล่วงเกินได้ เขาจึงก้าวออกมาด้านหน้าแม้ไม่ขยับปากเอ่ยอะไร แต่คนกลุ่มนั้นก็เข้าใจได้อย่างดี “มีธุระอันใด” “มีคนป่วย ต้องการให้ท่านไปรักษา” “ข้าไม่ออกไปรักษาผู้ใด” เซีย
หญิงสาวได้แต่ยิ้มน้อยๆ แล้วมองเด็กสองคนที่แย่งกันมองนอกหน้าต่างรถม้าที่โยกไหวไปมา นี่คือเส้นทางที่นางตัดสินใจแล้ว เขาไม่ต้องการนาง นางก็ไม่สามารถทำใจแข็งมองดูเขากับหญิงอื่นได้ ไม่รู้ทำไม ใจนางจึงชอบบุรุษผู้นั้นไปได้ ภายนอกเขาดูเย็นชาแต่เมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพัง เขาใส่ใจนางอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างไร นางก็เป็นเพียงหญิงจากหอนางโลมที่รัชทายาทประทานให้ เมื่อเขาไม่ต้องการก็ส่งนางกลับไป คิดถึงเรื่องนี้หัวใจก็เจ็บราวถูกมีดเฉือดเนื้อหัวใจเป็นริ้วๆ“นั้นอะไร” เด็กหญิงเอ่ยถาม“ม้ายังไงเล่า” เด็กชายตอบ “มีคนขี่ม้ามาทางนี้”“คงเป็นทหารนำสาสน์ด่วนผ่านมาทางนี้” ผู้เป็นแม่อธิบาย“ข้าจะเป็นทหาร!” เด็กชายพูดขึ้น“ข้าด้วย” เด็กหญิงพูดบ้าง“เจ้าเป็นผู้หญิง เป็นทหารไม่ได้”“ข้าจะเป็นทหาร ขี่ม้าเหมือนคนผู้นั้น”“อ๋า! ใกล้มาแล้ว”จู่ๆ รถม้าก็หยุดกะทันหัน ผู้คนในรถม้าไม่ทันตั้งตัวล้มไปคนละทาง หลิวเจียวเหมยยื่นมือไปรับเด็กหญิงไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มกระแทกพื้นรถ“เกิดอะไรขึ้น!” หลิวเจียวเหมยหัวเสีย แม้จะเป็นคนของทางการแต่ทำเช่นนี้ไม่ถูก หากมีคนบาดเจ็บขึ้นมาจะทำอย่างไร หญิงสาวหงุดหงิดแล้วยื่นหน้าออกไปมองเป็นจังหว
หยางเฟยหลิงก้าวพรวดพราดเข้าไปหาน้องชายที่นี่นั่งอ่านตำราอยู่ สีหน้าของหยางไห่เทาไม่สะทกสะท้านแม้ถูกกระชากคอเสื้อจนตัวลอยขึ้นจากเก้าอี้ สาวใช้ตกใจส่งเสียงหวีดร้องขึ้นมาทันที “พี่ใหญ่” หยางไห่เทาคลี่ยิ้มไม่ถือสาที่ถูกพี่ชายทำเช่นนี้ “หากเจ้ายังเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ ก็บอกมาว่าซ่อนหลิวเจียวเหมยไว้ที่ใด!” “แค่สตรีนางหนึ่งเป็นแค่หญิงรับใช้ พี่ใหญ่จะต้องสนใจไปไย” “นางเป็นคนของข้า!” “ข้ารู้” หยางไห่เทายังคงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาเตรียมใจมาเจอเรื่องเช่นนี้แล้วจึงไม่ได้หวาดกลัวสิ่งใด เขายกมือขึ้นแตะหลังมือพี่ใหญ่เป็นเชิงเตือนให้ปล่อยมือ แม่ทัพหนุ่มรู้ดีว่าทำไม่ถูกนัก แต่เขาระงับใจไว้ไม่อยู่ ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกก่อนปล่อยมือจากเสื้อของน้องชาย หยางไห่เทาพรูลมหายใจเบาๆ พลางจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่แล้วผายมือเชิญให้พี่ใหญ่นั่งลงก่อน เขารินน้ำชาด้วยตนเองแล้วส่งให้ “พี่ใหญ่ไม่ต้องการนางแล้ว จะรั้งนางไว้เพื่อสิ่งใด มิสู้ปล่อยให้นางได้ใช้ชีวิตของตนมิดีกว่าหรือ?” “ผู้ใดบอกว่าข้าไม่ต้องการนาง” เขา
บ้านเมืองสงบสุขไปหรือไร ไฉนทุกคนถึงได้เป็นห่วงเป็นไยว่าเขายังไม่ได้แต่งงาน หยางเฟยหลิงหงุดหงิดในใจทว่าไม่สามารถแสดงสีหน้าหรืออารมณ์ออกมาได้ เขายังคงนั่งจิบน้ำชาอย่างไร้ความรู้สึกต่อหน้ารัชทายาทฝูไหลที่นัดหมายพบหน้าเขาถึงที่จวน โดยแจ้งว่ามีใบชาชั้นเลิศมอบให้ คนอย่างเขาดื่มสุรามากกว่าน้ำชาด้วยซ้ำ เหตุใดจึงมอบใบชาให้เขากันเล่า และสุดท้ายก็สอบถามเขาเรื่องตบแต่งภรรยา “แม่ทัพหยางไม่ถูกใจน้องสาวของข้ารึ หรือเจ้าชอบองค์หญิงคนไหน ข้าสามารถพูดกับเสด็จพ่อได้” “ฐานะกระหม่อมไม่คู่ควร โปรดเลิกคิดเรื่องเหล่านี้เถิด” ฝูไหลไม่โกรธแต่กลับหัวเราะออกมา “หรือแม่ทัพหยางมีหญิงในดวงใจจึงไม่พึ่งใจพี่สาวน้องสาวของข้า” หญิงในดวงใจ เขาไม่เคยคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ตั้งแต่รับหลิวเจียวเหมยไว้ข้างกาย เขาก็ไม่ต้องสตรีนางใดอีก เขาชอบเวลาที่มีนางอยู่ใกล้ๆ นางเหมือนสายน้ำไหลเย็นที่ไร้เสียง แต่รับรู้ได้ว่ามีตัวตนในขณะเดียวกันก็ซุกซ่อนอีกด้านที่ไม่เปิดเผยให้ผู้อื่นได้สัมผัส ท่าทางแง่งอนหรือดื้อรั้น ภายใต้ท่าทีอ่อนน้อมเช่นนางจะหัวแข็งไ
ปลายจมูกโด่งกดซุกไซ้ที่ซอกคอขาวผ่อง หญิงสาวบิดตัวไปมาพลางยกมือขึ้นปัดป้อง ทว่าสองมือกลับถูกกดลงข้างตัวทำให้คนที่หลับใหลผวาตื่นจ้องมองใบหน้าผู้บุกรุกยามวิกาล “ท่าน...ท่านแม่ทัพ...” “หรือเจ้าคิดว่าเป็นผู้ใด” น้ำเสียงหงุดหงิดเคล้ากับกลิ่นสุรารสแรงทำให้หลิวเจียวเหมยตัวเกร็งและไม่กล้าขยับตัวส่งเดชอีก ท่าทางตื่นกลัวของนางทำให้หยางเฟยหลิงหงุดหงิด เหตุใดนางจึงดูกลัวเขานักนะ ทั้งที่ร่วมหลับนอนกันมาหลายครั้งหลายคราแล้ว“ตอบสิ”“....” หญิงสาวปรับสายตาครู่หนึ่ง ยามนี้ร่างใหญ่โตของเขาคร่อมร่างนางอยู่ ไอร้อนจากตัวบุรุษโอบล้อมราวย้ำเตือนว่านางไม่อาจหลบหนีไปได้“ข้า...ข้าไม่ได้รอผู้ใดเจ้าค่ะ” ‘ข้ามีสิทธิ์รอหรือ? ข้าเป็นเพียงสาวใช้อุ่นเตียงท่านแม่ทัพ จะมีสิทธิ์ทำสิ่งใดได้’คล้ายไม่พอใจกับคำตอบที่ได้ยิน ริมฝีปากเจือรสสุราทาบทับลงมาจูบกลีบปากดุจกลีบกุหลาบ เขาขบเม้มริมฝีปากนางอย่างแรงจนหญิงสาวนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ ร่างกายดิ้นรนต่อต้านแต่ไม่อาจสู้แรงอีกฝ่ายและแน่นอนว่าเขาไม่ได้ออกแรงเลยสักนิด ยิ่งนางต่อต้านเขายิ่งอยากเอาชนะ มือที่ว่างอีกข้างกระชากเสื้อของนางเปิดอ
คนเป็นน้องอ้าปากจะพูดแต่หญิงสาวยกน้ำชาเข้ามาก่อน แม้นางสวมชุดสาวใช้แต่กิริยามารยาทอ่อนช้อยงดงามสมกับเป็นคุณหนูในตระกูลเก่าแก่ หากไม่เพราะเลือกข้างผิดคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ หญิงสาวรินน้ำชาเสร็จก็ค่อยๆ ก้าวออกไปอย่างเงียบเชียบโดยไม่ต้องให้ใครเอ่ยปากขับไล่ แม่ทัพหยางมองร่างบอบบางเดินออกไปแล้วจึงย้ายสายตามาจ้องมองน้องชาย “พี่ใหญ่คงรู้แล้วว่าข้าป่วยทางใจ หมอที่ใดก็เยียวยามิได้” หยางไห่เทายกน้ำชาขึ้นจิบเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “ไม่อาจกล่าวโทษพี่ใหญ่ที่ทำให้ครอบครัวเราจากเดิมที่เป็นเพียงคนยากไร้ได้กลับกลายเป็นคนตระกูลสูงส่งมีผู้คนนับหน้าถือตา แต่สิ่งเหล่านั้นสร้างความกดดันให้ข้าไม่น้อย ไม่ว่าจะทำสิ่งใดมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับพี่ใหญ่ผู้เกรียงไกรในสนามรบ” “เหลวไหล ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้านะ” หยางไห่เทาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนคลี่ยิ้มเหนื่อยล้า“พวกเรารู้ดีว่าพี่ใหญ่ทำเพื่อครอบครัวมากเพียงใด แต่พวกเราก็หนักใจที่ต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงมากมายที่มาพร้อมฐานะที่สูงขึ้น” “ข้าไม่รู้ว่า...” “เรื่องนี้พี่ใหญ่ไม่ผิด ท่านเองก็รู้ว่าในวังหลวงมี
“ท่านแม่พูดว่า...น้องเล็กจะกลับมาแล้วหรือขอรับ” “ใช่” หากหยางไห่เทากลับมา...น้องชายคงอยากพบหลิวเจียวเหมยเป็นแน่ แม้หลิวเจียวเหมยเคยพูดกับเขาว่านับหยางไห่เทาเป็นสหาย แต่น้องชายของเขาเล่าคิดเช่นไรกับสตรีผู้นี้? อาหารเลิศรสกลายเป็นฝืนคอไปทันที หลังจากกินอาหารเสร็จ พ่อลูกนั่งจิบชาอยู่ครู่หนึ่ง หยางเฟยหลิงจึงขอตัวกลับ ระหว่างที่เดินออกมานั้น เด็กน้อยวิ่งถลาเข้ามาทางเขาอย่างไม่ตั้งใจ “ตงตงระหว่างชนท่านลุง” น้องชายคนรองร้องห้ามแต่ไม่ทันเสียแล้ว เด็กน้อยวัยสิบขวบวิ่งชนเข้าไปเต็มที แต่หยางเฟยหลิงคว้าร่างเล็กไว้ได้ทันก่อนจะชนกับเขาเข้า ซึ่งถ้าอาจทำให้เด็กน้อยเจ็บตัวได้ เด็กชายตัวจ้อยแหงนหน้ามองบุรุษร่างสูงใหญ่ด้วยความไม่คุ้นเคย ดวงตากลมกะพริบตาปริบๆ แล้วหันไปทางบิดาที่เดินตามมา “ท่านลุง?” “นี่ท่านลุงของเจ้า” น้องชายคนรองหัวเราะเบาๆ แล้วอุ้มเจ้าจอมซนเอาไว้ “พี่ใหญ่ไม่เป็นไรกระมัง” “ข้าจะเป็นอะไรได้” เขามองเด็กน้อยแล้วยิ้ม “พี่ใหญ่ก็กลับมาบ้านบ่อยๆ ลูกข้าจะได้จำหน้าท่านลุงได้...หรือไม
หลังผ่านศึกรักเร่าร้อน หยางเฟยหลิงสั่งให้บ่าวรับใช้เตรียมน้ำอุ่นสำหรับอาบน้ำให้หลิวเจียวเหมยเสมอ นอกจากชำระล้างร่างกายแล้วยังช่วยนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อและด้วยนิสัยรักสะอาดของหญิงสาว การใส่ใจเรื่องเหล่านี้ทำให้หลิวเจียวเหมยรู้สึกดีกับชายผู้นี้ไม่น้อย ฐานะของนางเป็นเพียงสาวใช้ซึ่งเขาไม่จำเป็นต้องดูแลใส่ใจนางถึงเพียงนี้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน หลังจากอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว นางเดินกลับเข้ามาในห้องซึ่งประเดี๋ยวนี้เขาอนุญาตให้นางนอนรวมเตียงเดียวกับเขา ใบหน้างามแดงเรื่อที่เห็นเขาเอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง “ท่านแม่ทัพ” “อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ” เขาถามไม่จริงจังนักแล้วยื่นมือจับข้อมือนางให้ขึ้นเตียง “อากาศเย็นรีบเข้ามาในผ้าห่มสิ” “เจ้าค่ะ” นางยิ้มน้อยๆ ปีนขึ้นเตียงเข้าไปด้านใน “ข้าก็บอกแล้วว่าให้อาบน้ำพร้อมข้า เจ้าก็ไม่ยอม” หยางเฟยหลิงหัวเราะในลำคอแล้วหยิบกำไลหยกที่ซ่อนไว้ออกมาสวมใส่ข้อมือเรียวเล็กของนาง “นี่คือ...” “ข้าให้” เขาเองก็เก้อเขินไม่น้อย อายุก็ล่วงเลยมาถึงวัยนี้ไม่เคยเกี้ยวพาสตรีและไม่เคยซ
หลิวเจียวเหมยส่งเสียงได้แค่นั้นก็ถูกขบเม้มกลีบปากจนรู้สึกเจ็บ เสื้อผ้าของนางหลุดรุยและฝ่ามือร้อนนวดคลึงทรวงอกอวบอิ่ม ภายใต้แสงสลัวยามบ่ายที่ลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในเรือนที่ไม่มีผู้ใดเพราะเจ้าของจวนไล่ผู้อื่นไม่ให้เข้ามาใกล้บริเวณนี้ หยางเฟยหลิงไม่เคยรู้สึกปรารถนาหญิงใดเช่นนี้มาก่อน คิดแล้วก็น่าขบขันนัก เขาเหมือนนักพรตกินผักมาหลายปี ทว่าเมื่อพลั้งเผลอได้ชิมเนื้อเข้าไปก็ติดใจจนยอมสละได้ทุกสิ่ง แรกทีเดียวเขาคิดว่าตนเองแค่เผลอใจ เพราะตนเองไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับสตรีมานาน แต่เมื่อลองไปหอนางโลมเขากลับไม่ปรารถนาหญิงใด ในหัวของเขามีหลิวเจียวเหมยเพียงผู้เดียว ไม่ว่าจะเพราะเหตุใด เขาไม่ต้องการให้ใครแตะต้องนางและนางต้องเป็นผู้หญิงของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นมือหยาบกร้านนวดเคล้นทรวงอกจนหญิงสาวส่งเสียงครางออกมา ลมหายใจร้อนระอุและหัวใจเต้นแรงยิ่งทำให้หญิงสาวอ่อนระทวย เขาถอนจูบแล้วเปลี่ยนเป้าหมาย เสื้อบังทรงถูกปลดออก หญิงสาวยกมือขึ้นปัดป้องแต่ไม่สำเร็จ ริมฝีร้อนอ้าปากดูดดึงปลายถันจนหญิงสาวได้แต่ส่งเสียงครางอย่างไม่อาจกลั้นได้ ช่องท้องวาบหวิวปั่นป่วน ฝ่ามือข้างหนึ่งจัดการกับกระโปรงท่อนล่างและลูบไล้เร
มือเรียวงามกำลังหยิบหนังสือที่ตากแดดไล่ความชื้นกลับมาวางบนชั้นตามเดิม วันนี้หลิวเจียวเหมยได้รับมอบหมายให้จัดการงานในห้องหนังสือของแม่ทัพหยาง ตั้งแต่เช้า นางปัดกวาดเช็ดถูและยังต้องนำหนังสือในห้องออกมาตากแดด แม้สองมือทำงานไม่ได้หยุด แต่หัวสมองของนางยังครุ่นคิดแต่เรื่องของแม่ทัพหยาง หลิวเจียวเหมยไม่เข้าใจเลยว่าเขาทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไร หลังจากผ่านศึกรบบนเตียงนอนที่แสนร้อนแรง นางเห็นเพียงแผ่นหลังของเขาแล้วปิดเปลือกตา ลงอย่างอ่อนล้า ความเมามายหายไปหมดสิ้น พยายามรวบรวมเรี่ยวแรงเพื่อขยับตัวลุกขึ้นเพื่อพาตัวเองออกไปจากเตียงของเขา ทว่าเขากลับเข้ามาพร้อมอ่างน้ำอุ่นและผ้านุ่มๆ หัวคิ้วขมวดมุนขณะจ้องมองนางที่กำลังจะลงจากเตียง ‘เจ้าจะทำอะไร’ ‘ข้า’ ‘อยู่นิ่งๆ’ เขาสั่งน้ำเสียงเฉียบขาดทำให้นางไม่กล้าขยับตัว แต่กระนั้นเพียงการขยับกายเล็กน้อยก็เจ็บร้าวไปทั่วร่างจนต้องกัดริมฝีปากกลั้นเสียงร้อง แม่ทัพหนุ่มวางอ่างน้ำแล้วเข้ามาประคองให้นางลงนอนอีกครั้ง แล้วหมุ่นตัวไปหยิบผ้าสะอาดชุบน้ำและเช็ดตัวให้นาง ‘ท่าน! ท่านแม่ทัพ! ข้าทำเองได้’