LOGINแสงอรุณแรกของฤดูปลายวสันต์สาดลงมาบนตลาดเล็ก ๆ ริมทางการค้า หมอกเช้าลอยเอื่อยเหนือหลังคามุงฟาง กลิ่นควันไฟจากเตาถ่านผสมกับกลิ่นใบชาที่เพิ่งคั่ว เสียงเจื้อยแจ้วของเด็ก ๆ วิ่งไล่กันในตรอก เสียงเอะอะโวยวายของคนที่เดินผ่านตอนเด็กน้อยวิ่งไล่กันจนจะชนเขา เด็กน้อยหันมาทำหน้าล้อเลียนแล้ววิ่งหนีไป ทำให้เช้าวันนี้ดูเหมือนเช้าที่ผ่านมา อบอุ่น เงียบง่าย และไม่สำคัญต่อผู้ใดในยุทธภพที่แสนโหดร้าย ไป๋เสวี่ยหลานเด็กน้อยวางกาน้ำชาดินเผาลงบนโต๊ะไม้เตี้ย เสียงน้ำร้อนเดือดพล่านดัง ปุดปุด ขณะเธอค่อย ๆ รินลงถ้วยดินเผาสีน้ำตาล เสียงกระทบกันเบา ๆ คล้ายระฆังเล็ก สาวน้อยยิ้มบางให้ชายชราที่นั่งรออยู่พลางยื่นถ้วยไป
“เชิญเจ้าค่ะ ลุงหลี่ วันนี้ชารสเข้มหน่อยนะ ดืมให้อร่อยเจ้าค่ะ” เด็กน้อยกล่าวขึ้น ชายชราหัวเราะแห้ง ๆ พลางยื่นเหรียญทองแดงสองสามอันใส่มือเธอ และสูดดมชาที่หอมกรุ่นก่อนที่จิบเล็กน้อย พอริ้มรสแล้วรู้สึกว่าไม่ร้อนมากก็กระดกใส่ปากทันที “เสวี่ยหลาน เด็กน้อยเอ๋ย หากมีลูกสาวเช่นเจ้าอยู่บ้าน ข้าคงไม่เหงาอย่างนี้ ” ชายชรากล่าวขึ้น เด็กน้อยหัวเราะเบา ยกชายผ้าพันแขนปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก พลางหันไปเรียกพ่อค้าเร่ผู้หนึ่งที่กำลังยกหีบผ้ามาจัดใกล้ ๆ เขาเป็นชายวัยกลางคน ผิวกร้านแดด สวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ในแววตาอบอุ่นนั้นเต็มไปด้วยความรักที่มอบให้นางเสมอ พ่อที่เลี้ยงดูนางมาแทนพ่อแม่ที่แท้จริง หีบผ้านั้นก็มีอยู่หลายใบ เด็กน้อยจึงเข้าไปช่วยจับผ้าที่อยู่ในหีบอีกใบ “ท่านพ่อ วันนี้ท่านเหนื่อยมากหรือไม่เจ้าคะ?” เสียงหวานหวานออกมาจากปากเด็กน้อย ชายคนนั้นหัวเราะพลางส่ายหัว “เหนื่อยสักเพียงใดก็ไม่เป็นไรหรอก ขอเพียงเห็นเจ้าอยู่สุขสบายก็ดีแล้ว” ผู้ที่เสวี่ยหลานเรียกว่าพ่อกล่าวขึ้น คำพูดนั้นทำให้หัวใจเสวี่ยหลานอบอุ่นอย่างประหลาด นางเคยชินกับชีวิตเร่ร่อน เปลี่ยนเมือง เปลี่ยนตลาดแทบทุกเดือน พ่อเลี้ยงของนางเป็นพ่อค้าหาบเล่ขายเสื้อผ้าและจะจัดโต๊ะน้ำชาขายคู่คู่กันไป นางรู้สึกตราบใดที่ยังมีพ่อผู้นี้อยู่ โลกก็ยังไม่โหดร้ายจนเกินไป ระหว่างที่นางช่วยจัดเรียงผ้า ก็มีเด็กน้อยวิ่งเข้ามาหา "พี่เสวี่ยหลานเล่านิทานให้ฟังหน่อย นะพี่นานนะพี่เคยไปตั้งหลายที่ต้องเคยได้ยินนิทานดีๆแน่ๆเพราะข้าไม่เคยไปไหนแต่ที่นี่เล่านิทานให้พวกข้าฟังหน่อยนะ" เสียงเด็กน้อยหลายหลายคนเรียกร้องให้พี่สาวเล่านิทานให้ฟัง เสวี่ยหลานได้แต่มองหน้าพ่อ "ไปเล่าให้เด็กฟังเถอะพ่อทำคนเดียวได้" ผู้ที่เสวี่ยหลานเรียกว่าพ่อบอกให้นางไปเล่นกับเด็กน้อย นางจึงเดินออกมาจากหีบผ้ามานั่งเล่นหน้าร้านน้ำชาเผื่อมีคนมาซื้อน้ำชาจะได้ขาย "วันนี้จะเล่านิทานอะไรดีนะ" เมื่อนั่งโต๊ะหน้าร้านเด็กสาวถามคนอื่นๆ "อะไรก็ได้ ใช่ๆ อะไรก็เล่ามาเถอะพี่เสงี่ยมหลาย" เด็กน้อยราวราวห้าหกคนกล่าวขึ้น "งั้นวันนี้เอาเรื่องเสือทองกับเด็กชายผู้ใจดีก็แล้วกัน” ไป๋เสวี่ยหลานกล่าวขึ้น "เล่าเลย เล่าเลย เล่าเลย" เด็กๆร้องเชียร์ให้เสวี่ยหลานเล่านิทานให้ฟัง เด็กน้อยเงียบกันสักพักใหญ่ๆ เสวี่ยหลานก็เริ่มเล่า "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหมู่บ้านเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ท่ามกลางขุนเขาและป่าไผ่ เด็กชายชื่อ “เสี่ยวหง” อาศัยอยู่กับยายเพียงสองคน ยากจนแต่มีใจเมตตา วันหนึ่ง เสี่ยวหงเดินเก็บฟืนในป่า พลันได้ยินเสียงครวญคราง เขาแหวกพงหญ้าไปดู เห็น ลูกเสือตัวหนึ่ง บาดเจ็บ เลือดไหลจากขา เป็นพวกเจ้าจะกล้าเข้าไปกันไหม" เสวี่ยหลานเล่านิทานขึ้นและถามเด็กๆ เพราะนางอยากรู้ว่าเด็กทุกคนตั้งใจฟังและคิดตามที่เขาเล่ามาบ้างหรือเปล่า "ไม่หรอกถ้าเป็นข้าข้าไม่เข้าไปหรอกเสียงอะไรน่ากลัวขนาดนั้น" เด็กน้อยผู้หนึ่งรีบตอบ "ส่วนข้าจะเข้าไปดูแต่ถ้าเจอเสือแบบนั้นข้าวิ่งกระเจิงแน่" เด็กอีกคนตอบขึ้น และทุกคนก็หัวเราะกันอยากสนุกสนานเมื่อทุกคนเงียบเสียงหัวเราะ เสวี่ยหลานก็เล่าต่อ "หาเด็กน้อยแหวกหญ้าเข้าไปแล้วเห็นเสือบาดเจ็บอยู่ เด็กน้อยตกใจแต่ไม่กลัว เขาฉีกเสื้อผ้าเป็นผ้าพันแผล หามน้ำจากลำธารมาชะล้างให้ ลูกเสือมองเขาตาแป๋ว แต่ไม่ทำร้าย มีเพียงเสียงครางเบา ๆ จากนั้นทุกวัน เสี่ยวหงก็แอบเอาอาหารมาให้ลูกเสือกินจนมันแข็งแรงขึ้น พวกเจ้าว่าเสือแข็งแรงขึ้นแล้วเด็กน้อยพวกนี้จะถูกกินหรือไม่" เสวี่ยหลานลองถามขึ้น "ข้าว่าเด็กน้อยผู้นั้นถูกกินแน่" เด็กน้อยผู้หนึ่งตอบขึ้น ส่วนคนอื่นๆไม่ได้ให้ความร่วมมือพวกเขาจ้องหน้าเสวี่ยหลานเพราะพวกเขากำลังลุ้นอยู่ "อ้าต่อเลยนะ คืนหนึ่ง เสี่ยวหงฝันเห็น เสือใหญ่ขนสีทองสุกปลั่ง มาปรากฏกาย พูดเสียงดังก้องว่า “เด็กน้อย ผู้ช่วยชีวิตลูกเรา เจ้าจงจำไว้ หากวันใดถึงคราวลำบาก เอ่ยนาม ‘เสือทอง’ เราจะมาช่วย” เสี่ยวหงสะดุ้งตื่น ก็คิดว่าเป็นเพียงฝันไป แสดงว่าเด็กน้อยนั้นไม่ถูกกินแล้วนะ555" เสวี่ยหลานกล่าวขึ้น "พี่หลานเล่าต่อเถอะกำลังมัน พวกข้าลุ้นอยู่นั้น" เด็กน้อยอีกคนกล่าวขึ้นเสวี่ยหลานจึงยิ้มให้และเล่าต่อ "หลายปีผ่านไป หมู่บ้านเกิดภัยแล้ง ผู้คนหิวโหย มีโจรภูเขายกพวกลงมาปล้นทุกครัวเรือน วันหนึ่งพวกโจรมาถึงบ้านเสี่ยวหง ยายถูกผลักล้ม เด็กชายตัวสั่น แต่จู่ ๆ เขานึกถึงคำในฝัน จึงตะโกนออกไปว่า “เสือทอง! หากท่านมีจริง ได้โปรดมาช่วย!” เสียงลมคำรามสะเทือนป่า จากนั้นเงามหึมาปรากฏขึ้น เสือใหญ่ขนสีทองวาววับ ดวงตาเปล่งแสงดั่งเปลวไฟ ปรากฏเบื้องหน้าผู้คน โจรภูเขาหวีดร้องแตกฮือ หลบหนีไปสิ้น เสือทองจ้องเสี่ยวหงพลางเอ่ยว่า “เจ้าไม่เคยหวังสิ่งใดตอบแทน มีเพียงใจเมตตา เราจึงรักษาสัญญา” แล้วเสือทองหายลับไป ทิ้งเพียงรอยเท้าใหญ่ลึกบนพื้นดิน หลังจากนั้น หมู่บ้านได้รับฝนหลั่งไหลมาอีกครั้ง ทุ่งนากลับเขียวชอุ่ม ผู้คนรอดพ้นความอดอยาก ทุกครั้งที่เด็ก ๆ ได้ยินเสียงคำรามจากป่าไผ่ ยายของเสี่ยวหงก็มักเล่าให้ฟังว่า “อย่าลืมไว้ใจความดี แม้มองไม่เห็น แต่มันจะคอยคุ้มครองเจ้าเสมอ เหมือนเสือทองที่สิงอยู่ในใจของทุกคน” เมื่อเสวี่ยหลานเล่านิทานจบ ทุกคนก็โล่งใจ ผู้ที่เสวี่ยหลานเรียกว่าพ่อยืนจับผ้าอยู่ด้านหลังจึงได้ยินเรื่องที่นางเล่าให้ฟัง และบทสรุปว่าอย่าลืมไว้ใจความดีแม้มองไม่เห็น การที่เด็กน้อยเสวี่ยหลานเล่าเรื่องนี้ก็เพราะว่านางมีจิตใจที่บริสุทธิ์ มีเรื่องบางเรื่องที่เขาต้องสอนนางเสียใหม่ชายคนนั้นได้แต่คิดสายลมยามค่ำคืนเย็นเยียบจนแทงทะลุผิวกายหญิงสาวพิงผนังหินในถ้ำลึก มือกุมหน้าอกแน่น ใบหน้าเปื้อนเหงื่อและฝุ่น นางหอบหายใจแรงราวกับเพิ่งหนีตายมาไกลหลายลี้ นางมองซ้ายมองขวาด้วยความหวาดกลัว ถ้ำนี้ดีหน่อยที่มีคบเพลิงอยู่สามสี่อัน นางจุดคบเพลิงขึ้นเพียงอันเดียวก็เพียงพอให้แสงสว่างแล้ว เพราะเป็นตอนกลางคืนและถ้ำเองก็มืด คบเพลิงอันเดียวก็ส่งแสงสว่างเพียงพอ เสียงน้ำหยดจากเพดานถ้ำดังเป็นจังหวะช้า ๆ ผสมกับเสียงหัวใจเต้นที่ดังชัดในอกความเหนื่อยล้าเข้ามาปะปน นางหลับตา สูดลมหายใจลึกเพื่อข่มความสั่นแต่ยิ่งพยายามสงบเท่าไร เสียงนั้นกลับยิ่งชัดขึ้น... “เลือดของข้า... ไหลเวียนในตัวเจ้าแล้ว”หญิงสาวสะดุ้งเฮือก ลืมตาขึ้นกวาดมองรอบถ้ำไม่มีใคร ไม่มีเงาของผู้คน มีเพียงเปลวไฟจากคบเพลิงที่นางจุดไว้สะท้อนอยู่บนผนังหินซึ่งไร้คนอื่นๆ เปลวเพลิงเองก็นิ่งเงียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน“ใคร... ใครอยู่ที่นั่น!”เธอตะโกนถาม เสียงสะท้อนกลับมาเพียงคำพูดของตนเอง"ใคร...ใครอยู่ที่นั่น!"สักพักใหญ่ๆก็มีเสียงอีกเสียงที่ไม่ใช่เสียงสะท้อนของนาง“ข้า... คือเจ้า”“และเจ้าคือผู้สืบตราแห่งอสรพิษขาว”เสียงนั้นดังขึ้นในหัวชัดเจ
เสียงฝีเท้าในค่ำคืนยังตามหลอกหลอนในห้วงฝันของเด็กสาว ลมกลางดึกพัดผ่านผนังไม้ กรีดเสียงคล้ายมีดเฉือนใจของนาง วันนั้น...แสงเพลิงส่องลอดประตู เสียงโลหะกระทบกันก้องกังวาน นางเองได้แต่ยืนตัวสั่น มองเงาของพ่อที่ยกดาบขึ้นปะทะกับคนชุดดำในความมืด“หนีไป...!”เป็นเสียงสุดท้ายที่พ่อพูดกับนางและพลักนางให้ออกจากบ้านหลังนั้น ก่อนที่เงานั้นจะกลืนร่างท่านหายไปในม่านควัน นางวิ่งไปในความมืด หัวใจเต้นรัวดั่งจะระเบิด เสียงดาบยังดังไล่หลัง เหมือนเตือนให้จำว่าข้ายังมีชีวิตได้เพราะใคร หลายคืนแล้วที่นางไม่อาจหลับสนิท ทุกครั้งที่ปิดตา เขายังเห็นแผ่นหลังของพ่อยืนอยู่ท่ามกลางเพลิง แผ่นหลังที่สั่นไหวด้วยลม แต่ไม่เคยสั่นด้วยความกลัว นางอยากกลับไปกอดพ่ออีกครั้ง อยากบอกว่าตัวเขาจะไม่หนีอีกต่อไป นางจะเติบโต...ให้คู่ควรกับเลือดที่พ่อทิ้งไว้ในคืนนั้น ครั้นนางจะหยุดพักก็เหมือนว่ามีคนกำลังวิ่งตามพอมองออกไปก็ไร้วี่แววของผู้คน นางได้แต่คิดอยู่ในใจ ในเมื่อนางหนีมาหลายวันหลายคืนแล้ว ทำไมเสียงนั้นยังตามหลอกหลอนนางอยู่ ถามว่านางน่าจะคิดไปเองว่ายังมีคนวิ่งไล่ตามอยู่ตลอดเวลา ลมหนาวยามค่ำยังคงพัดผ่าน เด็กสาวเงยหน้ามองฟ้า เห็นดวง
ลมราตรีพัดกรรโชกผ่านป่าไผ่ เสียงใบไผ่เสียดสีกันราวกับเสียงคร่ำครวญจากวิญญาณเร้นลับภายในเรือนเล็กกลางหมู่บ้าน ไป๋เสวี่ยหลานเด็กสาวนั่งเย็บเสื้อผ้าใต้แสงตะเกียงน้ำมัน แสงอุ่นส่องขับดวงหน้านวลที่ยังไร้เดียงสา ดวงตาคู่นั้นยังเต็มไปด้วยความฝันเรียบง่าย ใช้ชีวิตอยู่กับบิดาเงียบสงบไปวัน ๆ พรุ่งนี้เช้าทั้งสองจะออกเดินทางไปขายผ้าที่ถิ่นใหม่แล้ว ไป๋เสวี่ยหลานเย็บผ้าตัวนี้เสร็จก็จะเขานอน แต่คืนนี้ที่ควรจะสงบสุข กลับแปรเปลี่ยนเป็นฝันร้ายที่ยากลืมเลือน "ตึง! ตึง! ตึง!เสียงของประตูไม้ที่ถูกถีบแตกดังสะท้านไปทั่วเรือน ก่อนที่เงาดำหลายสายจะทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็วบิดาของไป๋เสวี่ยหลาน นามว่าไป๋อหมิงพ่อค้าเร่ที่ทุกทุกคนพูดถึง พุ่งออกมาขวางด้วยดวงตาเด็ดเดี่ยว เขาเพียงทันคว้าดาบเก่า ๆ ขึ้นมาในมือ“หลานเอ๋อร์ถอยไปอยู่หลังข้า!” เสียงเขาก้องดังก้องไปทั้งห้องเพลี้ยง! เพลี้ยง! เพลี้ยง!เสียงดาบปะทะกับอาวุธของผู้บุกรุก เสียงโลหะเสียดสีกันจนเกิดประกายไฟในความมืด ไป๋เสวี่ยหลานตัวสั่นงันงกเมื่อเห็นโลหิตสาดกระเซ็นออกมาจากแขนของบิดา หัวใจของนางนั้นเต้นดววตาของนางก็เริ่มพร่ามัวเหมือนมีอะไรมาบังสายตาให้มันมัวลงไป
เมื่อชายวัยกลางคนจัดของเสร็จวันพรุ่งนี้รุ่งเช้าเขาก็จะพาลูกออกเดินทาง เขาจึงเข้าไปดูลูกน้อย เมื่อเข้าไปแล้วก็เห็นว่าลูกยังไม่นอนกำลังเย็บผ้าที่เสียหายอยู่ ผู้เป็นพ่อนั่งลงตรงหน้าของลูก แสงตะเกียงสั่นไหวในห้องเล็ก พ่อจ้องมองดวงตาของบุตรสาวที่ยังใสซื่อ เขายกมืออันหยาบกร้านจากงานหนักลูบศีรษะเธอแผ่วเบา น้ำเสียงต่ำช้าแต่หนักแน่นเอ่ยว่า“ลูกเอ๋ยจำไว้นะ...อย่าบ่ายเบี่ยงกับคนแปลกหน้า”เด็กสาวขมวดคิ้ว น้ำเสียงสั่นถามเบา “ทำไมเจ้าคะ พวกเขาไม่ใช่คนดีหรือ?”พ่อถอนหายใจยาว แววตาเต็มไปด้วยความอาทรปนเศร้าลึก “เพราะโลกนี้...ไม่ได้มีที่สำหรับความอ่อนแอ บางครา การปฏิเสธเพียงเล็กน้อยอาจเปลี่ยนเป็นหอกที่หันกลับมาทิ่มแทงเจ้าเอง”เงียบงันครู่หนึ่ง ก่อนที่พ่อจะจับไหล่ลูกแน่น “หากเจ้าจำเป็นต้องยอม ก็ยอมอย่างฉลาด หากต้องเอ่ยถ้อยคำ ก็เอ่ยด้วยใจเย็น อย่าเผยความกลัวออกมาเด็ดขาด”คำสอนนั้นแทรกซึมในใจเด็กสาว ไม่ใช่เพียงคำเตือนเรื่องคนแปลกหน้า แต่คือการบอกนัยว่าทางข้างหน้ามีเพียงความโหดร้ายรออยู่ ผู้เป็นลูกพยักหน้าให้กับพ่องึกๆ พ่อสบสายตาลูกยิ้มให้เล็กน้อย เด็กผู้นี้แต่ก่อนมีนิสัยที่ร่าเริงแต่มาวันนี้เกิดเรื่องแ
เมื่อเด็กน้อยทุกคนกลับไปแล้วเด็กน้อยเสวี่ยหลานก็ไปช่วยพ่อจัดผ้าอีก พ่อจึงก็หยิบกล่องไม้เล็ก ๆ ออกมา เปิดเผยวัตถุที่เสวี่ยหลานเห็นเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิตสร้อยหยกรูปงูขาว เด็กน้อยมองด้วยความอยากรู้นางมองและจดจำลักษณะของมัน หยกนั้นขาวสะอาดจนแทบเรืองแสง ลวดลายสลักเป็นเกล็ดเรียงละเอียด เมื่อแสงแดดส่องต้องกลับสะท้อนเป็นประกายเย็นเยียบอย่างประหลาด เด็กน้อยทำตาลุกวาวเมื่อเห็นแสงสะท้อนอย่างประหลาดนั้นมากระทบตาตัวเอง นางมองเลยไปจนเห็นพ่อ ที่มองหยกอยู่นานก่อนจะยื่นให้เสวี่ยหลาน เด็กน้อยสะดุ้งเล็กน้อยไม่ใช่ว่าหนังจ้องมองขนาดนั้นจนพ่อรู้ว่านางแอบจดจำรายละเอียดแล้วหรือนางจึงไม่กล้ายื่นมือเข้าไปจับ“รับเอาไปสิ มันเป็นของเจ้า จำไว้นะ หลานเอ๋ย ของสิ่งนี้อย่าให้ใครเห็น ” น้ำเสียงเขาเต็มไปด้วยความจริงจังผิดจากทุกวัน ทำให้ผู้ฟังที่ไม่เคยกินเกิดความรู้สึกในใจว่าเหมือนกำลังจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง“ของสิ่งนี้ คือของที่แม่เจ้าทิ้งไว้ให้ จงเก็บรักษามันให้ดี มันอาจนำพาเคราะห์ร้ายมา แต่ก็อาจเป็นสิ่งเดียวที่จะคุ้มครองเจ้าได้”เสวี่ยหลานชะงัก ดวงตาสั่นไหว นางไม่ค่อยได้ถามถึงมารดา เพราะทุกครั้งที่ถาม พ่อมักเลี่ยงเสีย
แสงอรุณแรกของฤดูปลายวสันต์สาดลงมาบนตลาดเล็ก ๆ ริมทางการค้า หมอกเช้าลอยเอื่อยเหนือหลังคามุงฟาง กลิ่นควันไฟจากเตาถ่านผสมกับกลิ่นใบชาที่เพิ่งคั่ว เสียงเจื้อยแจ้วของเด็ก ๆ วิ่งไล่กันในตรอก เสียงเอะอะโวยวายของคนที่เดินผ่านตอนเด็กน้อยวิ่งไล่กันจนจะชนเขา เด็กน้อยหันมาทำหน้าล้อเลียนแล้ววิ่งหนีไป ทำให้เช้าวันนี้ดูเหมือนเช้าที่ผ่านมา อบอุ่น เงียบง่าย และไม่สำคัญต่อผู้ใดในยุทธภพที่แสนโหดร้าย ไป๋เสวี่ยหลานเด็กน้อยวางกาน้ำชาดินเผาลงบนโต๊ะไม้เตี้ย เสียงน้ำร้อนเดือดพล่านดัง ปุดปุด ขณะเธอค่อย ๆ รินลงถ้วยดินเผาสีน้ำตาล เสียงกระทบกันเบา ๆ คล้ายระฆังเล็ก สาวน้อยยิ้มบางให้ชายชราที่นั่งรออยู่พลางยื่นถ้วยไป “เชิญเจ้าค่ะ ลุงหลี่ วันนี้ชารสเข้มหน่อยนะ ดืมให้อร่อยเจ้าค่ะ”เด็กน้อยกล่าวขึ้น ชายชราหัวเราะแห้ง ๆ พลางยื่นเหรียญทองแดงสองสามอันใส่มือเธอ และสูดดมชาที่หอมกรุ่นก่อนที่จิบเล็กน้อย พอริ้มรสแล้วรู้สึกว่าไม่ร้อนมากก็กระดกใส่ปากทันที“เสวี่ยหลาน เด็กน้อยเอ๋ย หากมีลูกสาวเช่นเจ้าอยู่บ้าน ข้าคงไม่เหงาอย่างนี้ ”ชายชรากล่าวขึ้น เด็กน้อยหัวเราะเบา ยกชายผ้าพันแขนปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก พลางหันไปเรียกพ่อค้าเร่ผู้ห







