เสียงพูดของเธอเหมือนฟ้าผ่ากลางใจผู้เป็นแม่ทันที ใบหน้าของแม่เธอซีดเผือดในเสี้ยววินาที น้ำตาไหลพรากลงมาอย่างไม่อาจห้าม มือที่จับแขนมินตราไว้สั่นระริกอย่างน่าสงสาร
"ไม่จริง... มินตรา... ลูกพูดอะไรของลูก..." เสียงสะอื้นหลุดออกมาจากลำคอที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดเกินจะกล่าว มินตราโผเข้าไปกอดแม่แน่น ก้อนสะอื้นจุกแน่นอยู่กลางอก ความสิ้นหวัง ความเจ็บปวด และความผิดบาป ถาโถมเข้ามาไม่หยุด ชั้นหกของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง บรรยากาศเงียบสงัดจนได้ยินเพียงเสียงเครื่องช่วยหายใจที่ส่งเสียงสม่ำเสมอ ราวกับนับถอยหลังชีวิตของคนบนเตียงคนไข้ มินตรานั่งนิ่งอยู่ข้างเตียง...นั่งนิ่งราวกับรูปปั้น ดวงตาแดงก่ำจับจ้องไปยังร่างไร้สติของพิมพ์นารา หญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นดั่งเงาคู่ขนาน แต่ในท้ายที่สุด กลับกลายเป็นผู้ทำลายโลกของเธอจนไม่เหลือชิ้นดี ความหลังที่เต็มไปด้วยบาดแผลฝังลึกไหลย้อนเข้ามาอีกครั้ง ความเจ็บปวดเก่าๆ ที่ไม่มีวันเลือนหาย ถึงอย่างนั้น... แม้จะเคยถูกหักหลังอย่างไร้ความปรานี มินตราก็ทำได้เพียงนั่งเฝ้ามองเงียบๆ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเอื้อนเอ่ยถึงความเจ็บปวดของตัวเอง ตอนนี้ พิมพ์นารานอนแน่นิ่งอยู่ใต้แสงไฟสลัวๆ ท่ามกลางสายระโยงระยางของเครื่องมือแพทย์ที่พันธนาการร่างกายเล็กบางนั้นไว้ ราวกับโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น "พี่มินทร์... ได้โปรดเถอะ รับสายมินที..." มินตราพึมพำอย่างสิ้นหวัง นิ้วเรียวกดโทรออกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วเธอก็ไม่อาจนับได้ แต่ปลายสายยังคงมีเพียงความเงียบเย็นเยียบ เหมือนเธอกำลังกู่ร้องอยู่ในความว่างเปล่า "พี่จะทิ้งมินไว้แบบนี้ไม่ได้นะ..." น้ำเสียงของหญิงสาวแตกพร่า ลมหายใจเริ่มติดขัด ความหวาดกลัวเกาะกุมหัวใจเธอจนแทบหมดเรี่ยวแรง ราวกับเสียงแห่งความสิ้นหวังถูกส่งถึงสรวงสวรรค์ ทันใดนั้น โทรศัพท์ในมือก็สั่นขึ้นเบาๆ มินตรารีบกดรับสายอย่างรวดเร็ว ราวกับกำลังไขว่คว้าความหวังสุดท้ายในชีวิต "พี่มินทร์! พี่อยู่ที่ไหน?" เธอเอ่ยเสียงสั่น ปลายสายเงียบไปอึดใจ ก่อนที่เสียงทุ้มแผ่วเบาของพี่ชายจะดังขึ้นมา "มิน ฟังพี่ดีๆ นะ พี่กำลังจะหนีไปต่างประเทศ จะโดนจับไม่ได้เด็ดขาด เธอก็รู้ว่าธีรัชมันเป็นคนยังไง" "อะไรนะ?! พี่จะไปไหนไม่ได้! พี่ต้องกลับมารับผิดชอบพิมพ์ก่อน!" "พี่ไม่มีทางเลือก พี่จะติดคุกไม่ได้นะ มินตรา พี่ทำไม่ได้จริงๆ..." "แล้วมินล่ะ?! พี่คิดว่ามินควรทำยังไง พี่จะทิ้งมินให้เผชิญหน้ากับนรกนี่คนเดียวเหรอ?!" เสียงเธอขาดห้วง น้ำตาร่วงเผาะลงบนตักไม่หยุด "พี่ขอโทษ... แต่พี่ช่วยอะไรมินไม่ได้จริงๆ" "พี่กำลังจะทิ้งมินใช่ไหม?" เสียงเธอสั่นระริก ความเจ็บปวดเกาะกินหัวใจเหมือนสนิมที่กัดเซาะเหล็กจนผุพัง "พี่ไม่ได้อยากทำแบบนี้... แต่มิน... พี่ขอร้อง อย่าให้เรื่องนี้มันเลวร้ายไปกว่านี้เลย ได้โปรดเถอะ..." คำขอร้องของพี่ชายไม่ต่างอะไรกับมีดที่กรีดลึกลงไปในหัวใจของเธอ มินตราหลับตาลงแน่น พยายามกั้นเสียงสะอื้นที่แทบระเบิดออกมา เธอเหลือบตามองไปยังพิมพ์นาราที่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงหน้า มินตราที่ไม่รู้อะไรเลย แต่ต้องรับเคราะห์จากความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เธอคิดถึงธีรัชทันที... ภาพของชายหนุ่มผู้เย็นชาปรากฏขึ้นในหัวใจ เขาจะต้องเกลียดเธอ เขาจะต้องเหยียบย่ำเธอด้วยความเกลียดชังไม่เหลือชิ้นดี เมื่อเขารู้ว่าเธอคือ "น้องสาวของคนที่ทำลายทุกอย่างของเขา" "พี่มินทร์..." น้ำเสียงเธอเหมือนคนกำลังจะขาดใจ "ถ้าพี่ไป... แล้วมินล่ะ... มินต้องเผชิญหน้ากับทุกอย่างแทนพี่เหรอ?" มีเพียงความเงียบอันแสนโหดร้ายตอบกลับมา ก่อนที่สัญญาณจะถูกตัดไป... ปลายนิ้วของมินตรายังคงกำโทรศัพท์แน่น สายตาเหม่อลอยเลื่อนลอยไปยังเบื้องหน้า เธอถูกทิ้งแล้ว ถูกทิ้งไว้คนเดียวเช้าวันนี้ เมืองเล็กๆ ยังสงบนิ่งเหมือนทุกวันแสงแดดอ่อนสาดลอดผ่านหน้าต่างบ้าน เสียงนกร้องเบาๆ คล้ายจะกล่อมโลกให้สงบ แต่ภายในหัวใจของมินตรากลับไม่มีสิ่งใดสงบเลยวันนี้...ธีรัชจะกลับกรุงเทพฯ มันควรเป็นเรื่องดีใช่ไหม?ผู้ชายที่เคยทำให้เธอเสียใจ กำลังจะจากไปจากชีวิตเธออีกครั้งเขาจะกลับไปสู่อีกโลกหนึ่ง โลกของอำนาจ เงินตรา และผู้คนที่อยู่สูงเกินเอื้อมโลกที่ไม่มีที่สำหรับเธอ หรือธีโอแต่ทำไม... หัวใจของเธอกลับปวดหนึบเหมือนถูกบีบคั้นอย่างหนัก?ธีรัชยืนอยู่หน้าบ้าน รอเธอรถคันหรูของเขาจอดนิ่งอยู่ริมทาง แสงสะท้อนจากฝากระโปรงราวกับมันเองก็ลังเล เขามองเธอสายตานั้นไม่ใช่สายตาของคนที่กำลังจะเดินจากไป แต่มันคือสายตาของคนที่ยังรอคอยโอกาสครั้งที่สองจากเธออยู่“พี่กำลังจะไปแล้วนะ”เสียงของธีรัชแผ่วเบา แต่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย“แต่ก่อนจะไป พี่มีเรื่องอยากบอกมินอีกครั้ง”“ไม่ต้องพูดหรอกค่ะ”“แต่พี่อยากพูด”ธีรัชมองไปที่ดวงตาของมินตราอย่างแน่วแน่ เหมือนจะใช้ดวงตาพูดแทนหัวใจ“พี่ขอโทษ”คำเพียงคำเดียว แต่ทำให้หัวใจของมินตราสั่นไหวอีกครั้ง“พี่ขอโทษสำหรับทุกอย่างที่พี่เคยทำ พี่ทำให้มินเสียใจ พ
เสียงหัวเราะของเด็กชายดังก้องไปทั่วถนนหน้าบ้าน แววตาเปล่งประกายของธีโอบ่งบอกถึงความสุขล้นหัวใจ เขาวิ่งไปรอบสนามหญ้าด้วยท่าทางทะเล้น กางแขนสองข้างออกเหมือนเครื่องบินเล็ก ๆ พร้อมส่งเสียง “วู้ววว” อย่างร่าเริง“ลูก! อย่าวิ่งเร็วนะ เดี๋ยวล้ม!”มินตราตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย ส่วนธีรัชที่ยืนเคียงข้าง ทำเพียงหัวเราะเบา ๆ แล้วหันไปแกล้งแหย่เธออย่างอารมณ์ดี “เด็กผู้ชายก็ต้องซนแบบนี้แหละ ไม่ต้องห่วงนักหรอก”มินตราเหลือบมองเขา ริมฝีปากเม้มแน่นในความไม่เห็นด้วย ก่อนที่เธอจะทันได้เอ่ยสิ่งใดออกมา ทุกอย่างก็พลิกผันในพริบตาเสียงหัวเราะของธีโอยังไม่ทันจางหาย ร่างเล็กกลับวิ่งพรวดออกจากสนามหญ้า ล้ำเข้าไปยังถนนหน้าบ้านโดยไม่รู้ตัวแล้วในเสี้ยววินาทีนั้น...เสียงเครื่องยนต์คำรามแว่วมา รถยนต์สีดำพุ่งออกจากหัวมุมถนนด้วยความเร็ว“ธีโอ!!”เสียงของมินตราแหลมสูง สะท้านออกมาจากความตกใจและความกลัวสุดขั้วหัวใจเธอรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน ขาแข็งทื่อ ไม่อาจขยับได้แม้แต่นิ้วเดียว ส่วนธีรัชที่ได้สติกลับพุ่งตัวออกไปทันทีโดยไม่ลังเลแม้เสี้ยววินาทีร่างสูงของเขาโอบลูกชายเข้ามากอดแน่น แล้วหมุนตัวล้มกลิ้งออก
เช้าวันใหม่เริ่มต้น แต่หัวใจของมินตรายังหนักอึ้งไม่ต่างจากคืนที่ผ่านมาเธอเดินไปที่ประตูบ้านอย่างลังเล เพราะรู้ดีว่าใครกำลังยืนรออยู่ข้างนอก และเมื่อเธอเปิดประตูออก สิ่งแรกที่เห็นคือชายร่างสูงในเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ธรรมดาธีรัชเขายืนอยู่ตรงนั้น เหมือนเมื่อวาน เหมือนวันก่อน และอีกหลายวันก่อนหน้านั้นในมือของเขาเต็มไปด้วยถุงของเล่นหลากสี มินตราขมวดคิ้ว ความรู้สึกในใจเธอสับสนปนเปกันไปหมด“อะไร?”น้ำเสียงเธอเย็นชา ใจจริงแล้วเธอไม่ต้องการให้เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของลูกแม้แต่นิดเดียว“ของเล่นให้ลูกเรา”ไม่รอคำตอบ ธีรัชเดินผ่านเธอเข้าไปในบ้านสายตาเขาหยุดลงที่เด็กชายตัวเล็ก ๆ ซึ่งกำลังมองเขาด้วยดวงตาใสซื่อธีโอ...ลูกชายของเขาและมินตราเด็กชายลังเลเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้าหาเขา“อันนี้ของธีโอเหรอครับ?”ธีรัชย่อตัวลงให้ระดับสายตาเท่ากัน แล้วยื่นของเล่นให้“ใช่ ของธีโอทั้งหมดเลย”ธีโอมองหน้าเขานิ่ง ๆ เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างแล้วจู่ ๆ ก็ยิ้มกว้างออกมา ก่อนจะคว้าของเล่นมากอดไว้แน่นธีรัชรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเติมเต็มในหัวใจเขาไม่ได้คิดจะใช้ของเล่นซื้อใจลูก ไม่ได้อยากแสดงตัวว่า
"พี่ธีรัช!?"เสียงของมินตราดังก้องท่ามกลางความเงียบสงบ ร่างของหญิงสาวยืนนิ่ง ดวงตาเบิกกว้าง หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาจากอกห้าปีเต็มที่เธอหายไปจากชีวิตเขา ห้าปีที่เธอพยายามลืม ทุกอย่าง และวันนี้ โชคชะตาก็พาเธอกลับมายืนอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้งธีรัชยืนนิ่ง ร่างสูงสง่าภายใต้แสงแดดอ่อน ดวงตาคมจ้องมองเธอและเด็กชายที่ยืนอยู่ข้างกายอย่างไม่ละสายตา ใบหน้าเขาแข็งทื่อ แต่ในแววตานั้นกลับสั่นไหวไม่ใช่แค่ตกใจ แต่ลึกไปกว่านั้น มันมีทั้งความสับสน คำถาม ความเจ็บปวด และ...ความโหยหา"กลับไปกับพี่" เขาพูดขึ้น เสียงของเขาไม่ได้เข้มแข็งเหมือนเคย มันเต็มไปด้วยความเว้าวอนมินตรากระชับมือที่จับลูกแน่นขึ้น เธอส่ายหน้าทันที“ฉันไม่กลับ”ธีรัชขมวดคิ้ว “ทำไม?”“เพราะมินไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องกลับไป!”“มิน...”เขามองเด็กชายตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างเธอ ธีโอหันมามองแม่แล้วซุกตัวแน่น ใบหน้าเล็กๆ ซบลงที่ท้องของเธอ มินตราก้มลงลูบศีรษะลูกเบาๆ“อย่าทำแบบนี้เลยค่ะ พี่ธีรัช มินใช้เวลาห้าปีเต็มๆ เพื่อสร้างชีวิตใหม่ที่ไม่มีพี่ พี่ไม่รู้หรอกว่าทุกวันมันยากแค่ไหน มินไม่มีใครเลย มีแค่ธีโอ...”เสียงของเธอสั่น แต่ก็ไม่ยอมให้หยดน้ำ
เมืองเล็กริมทะเลชื่อ “บ้านหินทราย” กำลังกลายเป็นเป้าหมายของการลงทุนครั้งใหม่ โครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์จากบริษัทใหญ่ในเมืองหลวงกำลังจะปักหมุดที่นื่เนื่องจากกำลังได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวสายธรรมชาติและเป็นเมืองเป้าหมายของโปรเจกต์ล่าสุดจากบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ “Akarin Media Group” และซีอีโอคือเขา “ธีรัช”หลังจากที่บริษัทสื่อดิจิทัลของเขาขยายโปรเจกต์ใหม่ร่วมกับกรมการท่องเที่ยว เมืองเล็กๆ แห่งนี้จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของแคมเปญ ‘เสน่ห์เมืองริมฝั่งฟ้า’ ที่เขาเป็นหัวเรือใหญ่ในการวางคอนเซปต์ทั้งหมดเขาเป็นบอสใหญ่ เป็นคนเลือกทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่มีสิ่งเดียวที่เขาไม่ได้เลือก... คือความรู้สึกในอก ที่เริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เขาก้าวเท้าเข้าสู่เมืองนี้ ความรู้สึกแปลกๆ เหมือนมีลางสังหรณ์ว่าสิ่งที่เขาฝังกลบไว้นานเกือบห้าปีกำลังจะเวียนกลับมาอีกครั้งหนึ่งเขาเดินริมถนนเลียบชายฝั่ง สวมเสื้อเชิ้ตพับแขน กับกางเกงแสล็คสีเข้ม ดูไม่เป็นทางการเท่าไรนักสำหรับบอสใหญ่ของบริษัทที่มีเครือข่ายสื่อครอบคลุมทั้งรายการโทรทัศน์ออนไลน์ แมกกาซีนท่องเที่ยว และช่องสารคดีระดับประเทศ"ที่นี่มีศักยภาพดี…เหมาะแก่การถ่
เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครจำเธอได้มินตราใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เงียบๆ มาเกือบห้าปีแล้วมันไม่ใช่ที่ที่เธอเคยฝันว่าจะมาอยู่ ไม่ได้อบอุ่นเหมือนบ้านที่เคยรู้จัก แต่ที่นี่… ไม่มีใครถามว่าเธอเป็นใคร ไม่มีใครพูดถึงชื่อเขาให้ได้ยิน ไม่มีคนของเขามากวยใจ และนั่นก็มากพอแล้วทุกวันของมินตราเริ่มต้นในร้านเบเกอรี่เล็กๆ ข้างสถานีรถไฟ เธอทำขนม ชงกาแฟ ล้างถาด เตรียมของขายในตอนเช้า และปิดร้านตอนบ่าย แม้เงินที่ได้มาจะไม่มาก แต่เธอไม่เคยบ่นเพราะอย่างน้อย เธอไม่ต้องก้มหน้าให้ใครมาด่าว่าหรือรังแกอีกมินตราไม่ได้มีบ้านสวยงามเช่นอดีต ไม่มีเสื้อผ้าแพงๆใส่ ไม่มีโต๊ะอาหารยาวเหยียดหรือโคมไฟระย้า เธอมีแค่ห้องเช่าเล็กๆ ที่พอวางเตียงหนึ่งตัว โต๊ะตัวเล็ก และตู้เสื้อผ้าเก่าๆ หนึ่งใบ แต่ทุกอย่างในนั้นกลับสะอาด เรียบร้อย และยังดูปลอดภัยสิ่งเดียวที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเธอในตอนนี้คือเสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นในยามเช้าหรือหลังเลิกงาน“แม่ครับ~”มินตราหันกลับไป เด็กชายตัวเล็กกำลังวิ่งเข้ามาหาเด็กวัยสี่ขวบผิวขาวจัด ผมยุ่งเล็กน้อยจากการนอนกลางวัน ดวงตากลมโต เหมือนใครบางคนในอดีต ที่เธอไม่อยากพูดถึงอีก“ครับ ธ