ยามไฮ่[1] แล้ว ท้องถนนเงียบสงัด ทางเดินว่างเปล่าไร้เงาผู้สัญจร ชาวบ้านร้านตลาดปิดร้านกันเงียบเชียบ มีเพียงแสงไฟจากโคมสีแดงที่แขวนไว้หน้าร้านส่องให้แสงสว่าง
ทว่า ท่ามกลางความเงียบงันนั้น กลับมีเสียงเอะอะดังมาจากร้านยาของหมอหวงที่อยู่สุดปลายถนนใหญ่
"ท่านหมอ! ได้โปรดเถอะ!! คนของข้าจะไม่รอดแล้ว!! ท่านหมอ!!"
ร่างเปียกโชกของเฉี่ยวเหมยยืนตากฝนที่กำลังโปรยปรายลงมาไม่หยุด มือยังคบทุบอยู่ที่ประตูร้านหมออย่างไม่ยอมแพ้
"ข้าอยากไปอยู่หรอกนะ แต่ว่า..." หมอชราเอ่ยเสียงสั่น กิตติศัพท์ความน่าสะพรึงของจวนผีสิงนั่นดังกระฉ่อน ถ้าเกิดไปเจอผีสาวในจวนนั้นล่ะก็ หัวใจเขาคงได้หัวใจหยุดเต้นแน่นอน
เฉี่ยวเหมยคุกเข่าลงอ้อนวอน มือก็ทุบประตู้ไม้ที่กั้นเขากับท่านหมอหวงไม่หยุด
"ท่านหมอ ได้โปรด ท่านจะเรียกค่ารักษาเท่าใดก็ได้ ข้ามีเงินนะท่านหมอ!"
หมอหวงชะโงกหน้าผ่านซี่ลูกกรงไม้ เมื่อเห็นสารรูปเฉี่ยวเหมยก็สั่นหัว...ไหนว่ามีเงิน ร่มสักคัน ผ้าคลุมสักผืนก็ไม่มี...
"กลับไปเถอะ พ่อหนุ่ม ข้าไปไม่ได้จริงๆ"
"ข้ากราบล่ะท่านหมอ ท่านช่วยคิดดูอีกทีเถอะนะ" ชายหนุ่มยอมละทิ้งศักดิ์ศรี ถึงขนาดยอมกราบกราน โขกศีรษะให้ท่านหมอ แต่ทุกอย่างก็ยังเงียบกริบ จนสุดท้ายเฉี่ยวเหมยก็หมดความอดทน
เอาวะ...
"ท่านหมอ ข้าขอโทษที่โกหกท่าน ได้โปรดเมตตาช่วยเหลือฮูหยินของข้าด้วยเถอะ!
'ขออภัยด้วยนะขอรับ นายท่าน เอาไว้ท่านหายดี จะลงโทษข้าเยี่ยงไรก็สุดแต่ใจท่านเถอะ' เฉี่ยวเหมยโอดครวญอยู่ในใจ ก่อนเอ่ยต่อ "ฮูหยินข้าถูกคนชั่วทำร้าย ทำให้โดนพิษบาดเจ็บสาหัส ถ้าท่านไม่รักษานางต้องตายแน่นอน"
ขอล่ะ...ขอให้สำเร็จเถอะ ถ้ายังไม่สำเร็จอีก ข้าจะอ้างว่าท่านมีเด็กอยู่ในท้องแล้วนะ!
"..." ไม่มีเสียงตอบรับจากท่านหมอตามคาด...เอาวะ เวลาไม่คอยท่า...
"ฮ...ฮูหยินข้ากำลังตั้งครรภ์อยู่ ถ้าเกิดรักษาไม่ทันการณ์ อาจกลายเป็นหนึ่งศพสองชีวิตนะขอรับ" ว่าไปก็ทำเสียงคร่ำครวญอย่างน่าสงสารไป
ท่านหมอหวงเริ่มทำสีหน้าอ่านยาก ลำบากใจเสียเหลือเกิน ทันใดก็มีเสียงหวานสดใสดังแทรกขึ้นมา
"ท่านหมอหวงจะใจร้ายใจดำถึงขนาดไหนก็ไม่น่าดูดายหญิงตั้งครรภ์ที่ถูกพิษเช่นนี้ได้หรือเจ้าคะ?"
"ถ้าเจ้ารู้ว่าข้าต้องไปรักษานางที่ไหน เจ้าจะไม่พูดแบบนี้แน่ นังหนู"
"จะเป็นสถานที่ไหนมันสำคัญด้วยหรือท่านหมอ" หมิงเสวี่ยบุ้ยปาก ร้านยาร้านนี้อยู่ระหว่างทางกลับโรงเตี๊ยมของนางพอดี เมื่อครู่ได้เห็นท่าทางอ้อนวอนของชายหนุ่มก็อดทอดถอนใจ ยื่นมือเข้าช่วยเหลือไม่ได้ ยิ่งพอได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นหญิงมีครรภ์ ไม่ว่าต้องทำเช่นไร นางก็จะช่วยให้ถึงที่สุด
"คนไข้กำลังจะตาย ผู้เป็นหมอยังเกี่ยงงอนสถานที่รักษาได้อีกหรือ?"
"แต่ที่นั่นคือจวนผีสิงที่เขาร่ำลือกันนะ!" หมอชราเอ่ย "ขนาดกลางวันแสกๆยังไม่มีใครกล้าเดินผ่าน แล้วให้ไปกลางคืนเช่นนี้"
หมิงเสวี่ยหยุดคิดไปหนึ่งอึดใจ
"เจ้าน่ะ" นางเรียกเฉี่ยวเหมย "อยู่บ้านร้างนั่นใช่ไหม"
เฉี่ยวเหมยกลอกตาไปมาแล้วพยักหน้า
"ที่นั่นมีผีรึ?"
"ไม่มี"
"นั่นปะไร โลกนี้มีผีที่ไหนกัน" หมิงเสวี่ยตำหนิท่านหมอ "ท่านเองก็อย่าเอาแต่กลัวเลยเจ้าค่ะ ท่านรีบไปเถอะ ชักช้าจะไม่ทันการณ์
"นังหนูนี่ปากกล้านัก ถ้าไม่กลัวก็ไปด้วยกันซะเลยสิ!" หมอหวงกลับขึ้นเสียงใส่
"ขออภัยด้วยนะเจ้าคะ แต่ข้าก็ต้องรีบกลับเช่นกัน" นางยิ้มเมื่อนึกถึงหงเช่อที่รอนางอยู่ที่โรงเตี๊ยม "ข้าต้องขอตัวก่อน"
"เหอะ ทำเป็นพูดดี..." หมอชราแค่นเสียงออกมาราวกับฝากไปกับลม
หมิงเสวี่ยชะงักเท้า เริ่มมีโทสะที่หมอคนนี้เล่นตัวนัก
"ท่านว่าอะไรนะ!" นางหันไปยืนเท้าเอวจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาเริ่มไม่เป็นมิตร
"ทำเป็นพูดดี เจ้าเองก็กลัวใช่ไหมเล่า?
"ข้าเนี่ยนะกลัว ข้ายังมีพ่อมีพี่ชายต้องดูแลอยู่ที่บ้าน ไม่อย่างนั้นมีหรือจะไม่ไปด้วย ว่าแต่ท่านเถอะ เห็นคนลำบากยังไม่ช่วย แต่เอ..ข้าก็ลืมไปว่า หมอคิดคดอย่างท่าน อย่างไรก็ไม่มีดีอยู่แล้ว!" นางหันไปทางเฉี่ยวเหมย "พี่ชาย ท่านไปหาหมอคนอื่นเถอะ หมอคนนี้ขี้โกง เลี้ยงไข้ตลอด ชอบลดปริมาณยาสมุนไพรที่ใส่ คนป่วยจะได้หายช้า มาหาเขาได้เรื่อยๆ!"
"นะ...นังหนูนี่ พูดอะไรน่ะ!!? ข้าเคยทำแบบนั้นไหนกัน!?"
[1] 3 ทุ่ม - 5 ทุ่ม
"ท่านบอกว่าข้าเป็นคนของท่าน ท่านจะปกป้องข้า ท่านยังไม่ลืมใช่หรือไม่?!" หมิงเสวี่ยดึงเสื้อเขาจากด้านหลังไว้แน่น"ข้าไม่ลืม และไม่มีวันลืมว่าข้าได้ให้สัญญากับเจ้าไว้" เขาค่อยหมุนตัว หันหลังไปเผชิญหน้านางมืออุ่นเชยคางนางขึ้นจนเห็นดวงตานั้นเจิ่งด้วยน้ำตา หัวใจปวดแปลบจนเกินทน"ข้าปกป้องร่างกายของเจ้าได้ แต่ข้าไม่อาจปกป้องหัวใจ หากเจ้าไม่ยินยอม..." นิ้วอุ่นค่อยๆ ปาดน้ำตาออกจากเรือนหน้านาง "...เจ้าเข้าใจหรือไม่?"นางพยักหน้า ก้อนสะอื้นจุกอยู่ในลำคอจนพูดไม่ออกทั้งซาบซึ้งในความห่วงใยลึกซึ้งของเขา แต่นางยังไม่กล้าเปิดใจให้ใคร ความทรงจำในคืนนั้นยังคงตามหลอกหลอนนางอยู่"เจ้ายังรักเขาใช่หรือไม่" เสียงทุ้มห้าวนั้นแฝงไปด้วยความเจ็บร้าวจนหมิงเสวี่ยรู้สึกได้"ข้าไม่รู้" นางว่า สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับนางเป็นความรักหรือเป็นเพียงความผูกพัน...มันบิดพันกันเป็นเกลียวดั่งฟั่นเชือกจนแยกไม่ออก"ข้ารู้แต่...ข้ารักคนที่ทำร้ายข้าไม่ได้..."ร่างสูงค่อยๆ ยกมือปัดปอยผมของนาง "เช่นนั้นก็ไปพบเขาเถอะ ไปดูให้แน่ใจว่าหัวใจเจ้ายังมีเขาอยู่หรือไม่""แต่ข้า...กลัว" นางใช้มือที่เย็นเฉียบจับมือเขาแน่นเพื่อยืนยันคำพูดนั้
"เสร็จแล้ว!" หมิงเสวี่ยชูกระดาษที่เขียนเสร็จขึ้นสูงอย่างนึกชื่นชม "นายท่าน ข้าเขียนเสร็จแล้ว!"นางยิ้มแล้วหันไปมองจิ้งเหอ เขาหลับไปแล้วโดยที่หนังสือวางอยู่ข้างๆ"หลับแล้วรึ?" หมิงเสวี่ยเปรย นางวางกระดาษบนโต๊ะแล้วเดินไปที่เตียงเล็กที่อีกฝ่ายนอนอยู่ เอานิ้วจิ้มจมูกจะตื่นไหมนะ?นิ้วเรียวแตะที่ปลายจมูกของเขาเบาๆ หัวใจเต้นระรัวที่ตัวเองหาญกล้าทำอะไรแบบนี้เมื่อก่อนนางกลัวเขาจะตาย ทั้งเจ้าเล่ห์ ชอบกลั่นแกล้งนาง บางครั้งก็ดูโหดเหี้ยมเย็นชา...แต่ตอนนี้เขากลับเป็นผู้ชายอ่อนโยนและมีเสน่ห์ชวนให้หลงไหลอย่างประหลาด...อ้ะ...นี่นางกำลังคิดว่าเจ้าจิ้งจอกนี่น่าหลงใหลหรือนี่?แก้มปรางพลันร้อนวูบวาบ ความรู้สึกนี้...มันอะไรกันนะ?ตอนอยู่กับหงเช่อ ไม่เห็นจะรู้สึกแบบนี้เลย"จิ้มจมูกข้าเล่น...สนุกมากหรือไม่?" เขาเอ่ยทั้งที้ยังหลับตา ก่อนพลิกกายหันมามองที่เด็กสาวมือซน"สนุกเจ้าค่ะ" นางยิ้มทะเล้น "ตั้งใจว่าหากท่านยังไม่ตื่น คราวนี้จะเอาพู่กันวาดหน้าเลยเจ้าค่ะ""ก่อนจะวาดหน้าใคร ดูหน้าตัวเองก่อนดีหรือไม่?" เขาชี้ไปที่คันฉ่องทองเหลืองที่วางอยู่บนโต๊ะมอมแมมอย่างกับลูกแมว!หมิงเสวี่ยยกสองจับหน้าจับตาและยกมือตั
"อ้อ อย่างนั้นรึ" เขานั่งเอามือเท้าโต๊ะมองนางอย่างสบายใจที่ได้แกล้ง ใบหน้ายังเรียบเฉย แต่ประกายตานั้นไม่ธรรมดาเลย"เจ้าอยากเป็นคนตีข้าล่ะสิ หากจะตีก้นข้ายอมให้เจ้าตีก็ได้นะ"เสวี่ยหมิงแยกเขี้ยวใส่เขา แค่คิดก็อยากจะอาเจียนแล้ว!!! ใครจะอยากตีก้นคนผีทะเลเช่นนี้กันเล่า!?เห็นสีหน้าปฏิเสธเช่นนั้น ไป๋จิ้งเหอก็ลุกขึ้นยืนทำท่าดุขึ้นมา"ถ้าเช่นนั้นก็เขียนใหม่ ถ้ายังเขียนแบบขอไปทีแบบนี้อีก ข้าจะทำให้เจ้านั่งไม่ได้ไปหลายวันทีเดียว" มือใหญ่ตบลงบนกระดาษเสียงดังหมิงเสวี่ยบุ้ยปากงอน แต่ก็กลับมาตั้งสติ ไม่ทำเป็นเล่นอีกแล้วด้วยความพยายามของนาง ในที่สุดนางก็ทำได้ แม้ว่ากว่าจะเขียนได้สวยงามตามที่เขาต้องการก็หมดกระดาษไปหลายใบ นางปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก แค่จุดจุดเดียว นางยังใช้เวลาครึ่งชั่วยาม!! กว่าจะคัดทั้งหมดนี่จบ วันนี้นางคงไม่ต้องทำอันใดแล้ว"พักดื่มน้ำชาสักหน่อยไหม?" ถึงแม้ได้แค่จุดๆ เดียว แต่เห็นแก่ความอุตสาหะ เขาจะอนุโลมให้นางได้พักแล้วกัน"ไม่เจ้าค่ะ ข้าขอตัวต่อไปเลยเจ้าค่ะ" แม้จะยากลำบาก แต่นางก็รู้สึกสนุก นางมองว่าหากยอมลำบากในวันนี้ ยอมอดทนเขียนจนกลายเป็นความเคยชินแล้วล่ะก็ สักวันนางจะเขียนหน
"เจ้าเฉลียวฉลาดปานนี้ ถ้าเช่นนั้นเราก็เริ่มกันเลยเถอะ"หรือว่าเมื่อครู่แค่เริ่มต้น?เขา...เขาจะจับนางกินแล้วใช่ไหม?!ไป๋จิ้งเหอหรี่ตามองปากเล็กๆ ที่อ้าราวกับปลาทอง แล้วดีดหน้าผากนางเบาๆ คราหนึ่ง "คิดเองเออเองอีกแล้ว""ก็คำพูดท่านชวนให้คิด" เด็กสาวลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ "เชื่อสิ ถ้าใครมาได้ยินก็คิดเหมือนข้าทั้งนั้น""คิดว่าอย่างไร?" เขาเอียงหูมาใกล้ราวกับจะให้นางกระซิบบอกสิ่งที่นางคิดเมื่อครู่"คิด...คิดว่า" สวรรค์ เขามาอยู่ใกล้แบบนี้ นางเขินจนหูอื้อตาลายหมดแล้ว"ช่างเถอะ...ข้าหมายถึงเริ่มเรียนต่างหาก" ไป๋จิ้งเหอลุกไปยืนรอข้างเตียง "เจ้าพร้อมหรือไม่?""หืม? เรียน?" นางพยายามรวบรวมสติกลับมา เขาหมายถึงเรื่องเรียน เรื่องเรียน... "เจ้าค่ะ ข้าพร้อมทุกเมื่อ""เปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย แล้วไปพบข้าที่ห้องหนังสือ เราจะเริ่มจากการคัดอักษร""เจ้าค่ะ!" นางลุกจากเตียงมาคารวะเขาอีกครั้ง "กรุณารอสักครู่นะเจ้าคะ"เขาเดินออกไป นางรีบวิ่งไปปิดประตูและเลือกเสื้อผ้ามาเปลี่ยนอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้หมิงเสวี่ยใช้เวลาไม่นานนักในการแต่งตัว นางกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ห้องหนังสืออย่างไม่ต้องการให้เขาเสียเวลา ไปถึงก
"ท่านอย่าเสียใจเลย ความรักเป็นเรื่องที่ฝืนไม่ได้" นางเอ่ยขึ้นอย่างให้กำลังใจ "แล้วท่านไม่คิดจะมองใครใหม่หรือ?" ระดับเขาน่าจะมีคนมาให้ดูตัวหัวกระไดไม่แห้ง"มี แต่ข้ายังไม่ต้องใจใคร""ไม่ต้องห่วง นายท่านเป็นคนหน้าตาหล่อเหลา ชาติตระกูลรึก็ดี ฐานะก็มั่งคั่งรับรองว่าท่านจะต้องเจอหญิงสาวที่เหมาะสมกับท่านแน่นอนเจ้าค่ะ" นางอวยพรให้เขาอย่างจริงใจ นางเชื่อว่าเขาจะต้องมีคู่ครองที่ดี ดีขนาดที่ทำให้คนที่ทิ้งเขาไปต้องนึกเสียดายที่ทำเช่นนั้นเลยทีเดียวไป๋จิ้งเหอกลับแค่นหัวเราะ "ตระกูลที่ถูกสาปแช่งเช่นตระกูลไป๋ ไม่มีคนอยากยุ่งเกี่ยวด้วยนักหรอก""เอ๋? สาปแช่ง?" นางเลิกคิ้วแต่เมื่อนึกถึงว่าเขาอยู่ในแวดวงการค้า การไปขัดแข้งขัดขาตัดโอกาสใครคงมีไม่น้อย...จะโดนสาปแช่งก็ไม่แปลกนัก.."เป็นเรื่องสมัยที่บิดาข้าเพิ่งทำการค้า แม้จะไม่ได้ตั้งใจแต่ผลของมันช่างใหญ่หลวง ทำให้อีกตระกูลหนึ่งล่มสลาย"เขาเล่า "ตอนนั้นผู้คนต่างสาปแช่งตระกูลไป๋ ว่าเป็นผู้เหยียบซากศพผู้อื่นเพื่อขึ้นสู่จุดสูงสุด""...จะหาว่าข้าโหดร้ายก็ได้นะ แต่มันเป็นเรื่องธรรมดาของการทำการค้า" หมิงเสวี่ยมองอย่างตรงไปตรงมา "ข้าไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดคิดว่าเร
"ข้าไม่ได้หึงท่าน!" นางมันบ้า! เมื่อไหร่ไอ้อาการคิดไปเองนี้จะแก้หายเสียที ฮือ...น่าอับอายจนอยากจะเอาหน้าซุกดินแล้ว!"เสวี่ยเอ๋อร์นี่ปากแข็งนัก" จื่อหนี่รีบวิ่งมาจับมือของทั้งสองประสานกัน "ตอนอยู่ในครัว นางกลัวว่านายท่านรู้เรื่องข้ากับเฉี่ยวหลางเข้าแล้วจะเสียใจ นางร้อนใจมากเลยนะเจ้าคะ""จ....เจ้า" น่าตีนัก เป็นน้องเป็นนุ่งจะตีให้ก้นลาย!"ข้าเพียงไม่อยากเห็นผู้ใดถูกสวมเขาเท่านั้น!" พูดไปแล้วนางก็ได้รีบยกมือปิดปาก นางหันหลังให้ทุกคนในที่นั้นแล้วตีปากตัวเองไม่หยุดปากพล่อยนัก!...พูดแบบนั้นมันต่างอะไรกับการบอกว่าเป็นห่วงเขากันเล่า?!ยิ่งเห็นสายตาหยอกเย้ของคนทั้งสาม ยิ่งทำเอาอีกฝ่ายหน้าแดง ทั้งยังรู้สึกโกรธจนหูอื้อตาลาย"ข...ข้าไม่คุยด้วยแล้ว!" นางกระทืบเท้าเป็นเด็กๆ แล้ววิ่งกลับไปยังห้องนอนทันที"จื่อหนี่หัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ "พี่สะใภ้ข้าช่างน่ารักอะไรอย่างนี้""หนี่เอ๋อร์ก็น่ารักเหมือนกัน" เฉี่ยวเหมยเชยคางเด็กสาวขึ้นอย่างหลงใหล"นายท่านรีบไปโอ๋ว่าที่ฮูหยินน้อยเถอะขอรับ นางโมโหใหญ่แล้ว""เห็นว่าตนเองนำข้าไปหนึ่งก้าวก็สั่งสอนข้าแล้วรึ?" สายตาเยียบเย็นของจิ้งเหอมองเฉี่ยวเหมยอย่างเสียดแทง