“เจ้าค่ะ ข้าจะไม่ทำให้คุณหนูผิดหวัง” เหมยฮวาตอบรับคำ ตัวนางเองก็จะช่วยหนิงเซียนให้เต็มที่เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับนายหญิงของนาง
“มีเพียงเท่านี้แหละ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” หนิงเซียนเอ่ยลาเหมยฮวา แต่โดนเหมยฮวาเรียกเอาไว้
“เดี๋ยวเจ้าค่ะคุณหนู ให้หม่าเถียวไปส่งเถอะเจ้าค่ะ “เหมยฮวาผายมือไปทางชายชุดดำที่ยืนอยู่ข้างๆ นาง นางกลัวว่าหนิงเซียนจะได้รับอันตรายระหว่างทาง
” ท่านไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้าเอาตัวรอดได้ “หนิงเซียนมองไปที่ชายชุดดำครั้งเมื่อตอนเข้ามาก่อนจะหันมาบอกกับเหมยฮวา แล้วกระโดดข้ามกำแพงออกไป
” ตามนางไป อย่าให้นางได้รู้ตัว “เหมยฮวาหันมาเอ่ยกับหม่าเถียวที่อยู่ข้างๆ
” ขอรับ “
เหมยฮวารอจนหม่าเถียวแอบตามหนิงเซียนไปแล้วนางก็ถอนหายใจออกมา พร้อมมองไปบนฟ้าที่มืดสนิท
คุณหนูเหมือนนายหญิงเลยนะเจ้าคะ…
ตั้งแต่อยู่กับนายหญิงมา นางก็รู้ว่านายหญิงเป็นคนฉลาด ไม่ยอมให้ใครมารังแก พอนางหญิงแต่งเข้าตระกูลหม่านางก็ดูเรียบร้อยขึ้นราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ทั้งยังให้หม่าเถียวแอบตามคุณหนูตั้งแต่เล็กจนโต ต่อจากนี้ข้าจะคอยดูแลคุณหนูต่อจากท่านเองเจ้าค่ะ…
หลังจากที่หนิงเซียนออกมาจากหอโคมแดง นางก็เดินดูผู้คนในยามค่ำคืนรู้สึกว่าเป็นค่ำคืนที่ เปล่าเปลี่ยวหัวใจเป็นที่สุด เกือบหนึ่งชั่วยามที่หนิงเซียนเดินอยู่ในตัวเมืองก่อนจะกลับบ้าน
สามวันผ่านไป…
อาการของซีฮันดีขึ้นอย่างยิ่งเนื่องจากมีหนิงเซียนคอยดูอยู่ตลอดและวันนี้เป็นวันที่พวกนางจะเดินทางไปยังหุบเขาวิญญาณ ซึ่งซีฮันได้บอกกับนางว่าการจะไปที่หุบเขาวิญญาณต้องใช้เวลาประมาณสองวันจากที่นี่
ยามซื่อเป็นเวลาที่ทั้งสามตกลงออกเดินทาง โดยทั้งสามจะนั่งรถม้าไป ของจำเป็นที่หนิงเซียนเอาไปเป็นส่วนใหญ่เป็นพวกสมุนไพรต่างของนางที่ได้เก็บรวบรวมไว้ ส่วนของใช้ไม่ได้เอาไปมากเพราะซีฮันบอกว่าที่หุบเขาวิญญาณมีอยู่แล้ว
เส้นทางที่ซีฮันพาไปเป็นเส้นทางลัดที่น้อยคนจะใช้ เนื่องจากซีฮันกลัวว่ากลุ่มคนพวกนั้นจะจับพิรุธได้ อีกทั้งตัวเขาคนเดียวไม่สามารถปกป้องหนิงเซียนและลี่หลินได้อย่างแน่นอน
“แม่นมท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดผู้คนจึงเรียกว่าหุบเขาวิญญาณกันหรือเจ้าคะ” หนิงเซียนที่สงสัยมานานได้เอ่ยถามลี่หลิน
“เอ่อ…เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้เช่นกันเจ้าคะ” ลี่หลินส่ายหน้าให้กับหนิงเซียน เพราะตัวนางได้ยินเพียงว่าหุบเขาวิญญาณเต็มไปด้วยความน่ากลัว ยามค่ำคืนมีเสียงวีดร้องคล้ายกับคน
“หุบเขาวิญญาณเป็นสถานที่อันตรายที่สุดในแคว้นซีฮันขอรับ เป็นสถานที่เต็มไปด้วยพืชที่มีพิษ ทั้งในยามค่ำคืนจะได้ยินเสียงคนร้องโหยหวนดังมาจากด้านล่างของหุบเหวขอรับ…” เป็นซีฮันที่เอ่ยเล่าความเป็นมาของหุบเขาวิญญาณให้หนิงเซียนฟัง
“แล้วท่านพ่อเข้าไปพบสถานที่อย่างนั้นได้อย่างไรหรือเจ้าคะ” หนิงเซียนเอ่ยถาม หากเป็นสถานที่อันตรายที่ผู้คนหวาดกลัวและเต็มไปด้วยพิษแล้วท่านพ่อจัดการพวกมันอย่างไร
“เดิมทีที่ตรงนั้นเป็นท่านปู่ของท่านที่พบมันเข้า ท่านปู่ของท่านเป็นคนค้นพบวิธีกำจัดพืชที่มีพิษพวกนั้น นายท่านเลยคิดจะทำตรงนั้นเป็นฐานลับขอรับ ส่วนเสียงที่ผู้คนได้ยินกันนั้นเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านซอกหินจนทำให้เกิดเสียงคล้ายกับคนร้องเท่านั้นขอรับ”
“……” ท่านพ่อของนางถือว่าเก่งไม่น้อยที่ใช้ข้อได้เปรียบตรงนี้ จากเสียงนั้นจะทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาใกล้หุบเขาวิญญาณ
หลังจากบทสนทนานี้จบลง ต่างฝ่ายก็ตกอยู่ในความเงียบมีเพียงเสียงเท้าม้าเวลาเดินกับเสียงล้อรถม้าเท่านั้น
ตลอดเวลาเกือบสองวันที่หนิงเซียนและลี่หลินอยู่ในรถม้า จะมีบางครั้งที่ซีฮันจอดแวะพักเพื่อให้หนิงเซียนและลี่หลินออกมาเดินเล่นเพื่อยืดเส้นยืดสาย
จนในที่สุดเริ่มเห็นภูเขาตั้งสูงตระหง่านเป็นแนวยาวไปจนสุดลูกหูลูกตา ก่อนที่รถม้าของหนิงเซียนจะมาจอดลงตรงเชิงเขา
“ถึงแล้วหรือเจ้าคะ” หนิงเซียนเห็นว่ารถม้าได้จอดลงจึงเอ่ยถาม
“ยังขอรับ ต้องเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณหนึ่งลี้ขอรับ” ซีฮันเอ่ยบอก
หนิงเซียนได้ยินอย่างนั้นก็ลงมาจากรถม้าพร้อมกับเอาของลงจากรถม้า ซึ่งซีฮันได้เอารถม้าไปจอดแอบที่ซอกหินห่างจากตรงนี้ประมาณครึ่งลี้ ก่อนจะกลับมาพร้อมกับม้า
“ทางที่เราจะไปรถม้าไม่สามารถเอาเข้าไปได้ขอรับ” ซีฮันเอ่ยบอกแล้วขนของขึ้นหลังจากม้า หลังจากเรียบร้อยแล้วซีฮันก็เดินนำทางเข้าไป
“แม่นมท่านไหวหรือเปล่า ขึ้นไปนั่งบนม้าหรือไม่เจ้าคะ” เดินมาได้สักพักหนิงเซียนหันมาถามลี่หลินที่เดินอยู่ข้างๆ ด้วยความเป็นห่วง อายุของลี่หลินก็มากแล้ว
“ไม่เป็นอันใดเจ้าคะ แค่นี้ข้ายังไหว” ลี่หลินเอ่ยบอกตัวนางนั้นแข็งแรงเป็นอย่างดี
“ก็ได้เจ้าคะ ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนนะเจ้าคะ”
“เจ้าค่ะคุณหนู” ลี่หลินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม นางดีใจที่หนิงเซียนดูสดใสขึ้นมาไม่น้อย ไม่มีแววตาเศร้าโศกให้นางได้เห็น
เกือบครึ่งชั่วยามในที่สุดพวกนางก็มาถึงหุบเขาวิญญาณจนได้ ภาพที่ได้เห็นมันต่างจากที่นางคิดไว้อย่างมาก ภาพบ้านเรือนนับร้อยหลังคาเรือนตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ เรียกได้ว่าเป็นเมืองหนึ่งได้เลย มีทั้งเด็กน้อยตัวเล็กๆ ไปจนถึงคนชรา ดูพวกเขาใช้ชีวิตมีความสุข
เหมือนกับพวกเขาสังเกตการณ์มาของหนิงเซียน พวกเขาต่างมองด้วยความสงสัย ก่อนจะมีเหล่าชายหนุ่มร่างใหญ่เดินเข้ามาหาพวกนาง
“กองทัพทมิฬยินดีต้อนรับกลับมาของคุณหนูขอรับ” เป็นชายคนหนึ่งที่เอ่ยขึ้นก่อนจะคำนับให้กับหนิงเซียน ส่วนชายหนุ่มคนอื่นๆ ก็ทำตาม จนตอนนี้มีผู้คนเกือบร้อยคนมาล้อมรอบพวกหนิงเซียนไว้
“ท่านพี่ซีฮัน คุณหนู… “เป็นชายหนุ่มร่างใหญ่ มีรอยแผลเป็นที่แขนขวาซ้ายเดินเข้ามาหาซีฮันแล้วเอ่ยทักทาย
” เป็นอย่างไรบ้าง “ซีฮันเอ่ยถามชายตรงหน้า
” ตอนนี้คนของกองทัพทมิฬเริ่มทยอยกลับมาหมดแล้วขอรับ “เฟยหยางเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
” อืม…คุณหนูนี่เฟยหยางเป็นนายกองของกองทัพทมิฬ “ซีฮันเอ่ยแนะนำเฟยหยางให้หนิงเซียนได้รู้จัก
” คำนับคุณหนูขอรับ “
” ไม่ต้องพิธีมากขนาดนั้น คนกันเองทั้งนั้น “หนิงเซียนเอ่ยบอกเมื่อเห็นเฟยหยางคำนับอย่างจริงจัง
” ขอรับ “
” เจ้ามีอันใดก็ทำเถอะ เดี๋ยวข้าพาคุณหนูไปพักผ่อนก่อน “ซีฮันเอ่ยบอกกับเฟยหยาง หลังจากเดินทางมานานคงต้องพักผ่อนเอาแรงเสียก่อน
” ขอรับ เอาละพวกเจ้าแยกย้ายกันได้แล้ว “เฟยหยางตอบรับ แล้วหันไปสั่งคนที่มารวมตัวให้แยกย้าย
” คุณหนูเชิญทางนี้ขอรับ “เฟยหยางผายมือไปทางด้านขวา หนิงเซียนและลี่หลินหันมองตามมือเห็นว่ารถม้าจอดรอพวกนางอยู่
” ต้องขึ้นรถม้าด้วยหรือ “หนิงเซียนเอ่ยถาม
” ขอรับ เรือนของท่านอยู่บนเนินเขาต้องนั่งรถม้าขึ้นไปขอรับ “หนิงเซียนได้ยินก็พยักหน้าเข้าใจแล้วเดินขึ้นรถม้าพร้อมกับลี่หลิน
ตลอดทางหนิงเซียนมองออกไปนอกรถม้าทำให้ได้เห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่ ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวของเหล่าทหารกองทัพทมิฬที่ท่านพ่อได้ช่วยพวกเขาเอาไว้ ก็จะพามาอยู่ที่หุบเขานี้
เช้าวันรุ่งขึ้น…ในตำหนักของหนิงเซียนต่างวุ่นวายตามหาหมอหลวงอย่างเร่งรีบ เมื่อพบว่าหนิงเซียนโดนทำลายร้ายตอนนี้ทั้งวังหลวงต่างอยู่ในความตื่นตระหนก เหตุใดเมื่อคืนถึงบังอาจมีผู้ลักลอบเข้ามาทำลายว่าที่ฮองเฮาได้“ฝ่าบาทหมอหลวงมาแล้วเจ้าค่ะ” เข่อซิงวิ่งมาพร้อมกับหมอหลวง เข้ามาในห้องของที่มีร่างของหนิงเซียนนอนเจ็บอยู่ที่แขนของนางนั้นยังมีเลือดซึมอยู่ตลอดหมอหลวงเข้ามาแล้วก็รีบจัดการกับแผลของหนิงเซียน “ฝ่าบาทพระองค์โปรดออกไปก่อนได้หรือไม่ ข้าต้องใช้สมาธิอย่างมากในการรักษาคุณหนูหนิงเซียน” หมอหลวงหันมาบอกจางหมิงที่ยังยืนอยู่ในห้องดู“ข้า…” ทีแรกจางหมิงมีท่าทียึกยัก แต่พอคิดว่าจะต้องรีบรักษาหนิงเซียนให้เร็วที่สุดจึงตัดสินใจออกจากห้องไปพอหมองหลวงเห็นว่าฝ่าบาทออกไปแล้วก็หันมารักษาให้กับหนิงเซียน หยิบยาขึ้นมาก่อนจะป้อนให้กับหนิงเซียน ดวงตาที่หลับอยู่ของหนิงเซียนเปิดขึ้นทันทีคว้ายาในมือของหมอหลวงก่อนจะป้อนใส่ปากของหมอหลวงอย่างรวดเร็วนางตวัดร่างขึ้นก่อนจะล็อกร่างของหมอหลวงไว้ให้กลืนยาเม็ดนั้นลงไป ด้วยความที่ร่างหมอหลวงบอบบางเกือบเท่านางทำให้หมอหลวงไม่สามารถขัดขืนได้เลยทำใจต้องกลืนยาเม็ดนั้นลงไป“เจ
“เจ้าหัวเราะอันใด” ซูเม่ยมองไปที่หนิงเซียนอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดมันจึงไม่เป็นไปตามที่นางคาดไว้“ข้าแค่เพียงชื่นชมในบทละครที่คุณหนูซูเม่ยตั้งใจเล่นเป็นอย่างมาก แต่เพียงคุณหนูบทของท่านกลับไม่เป็นจริงสักเรื่อง”“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”“ท่านยังต้องถามข้าอีกหรือ ข้าอยากจะรู้นักว่าคนที่ไปสืบเรื่องนี้มาเหตุใดจึงสืบมาได้เพียงแค่นี้ เรื่องราวที่เหตุขึ้นที่ซีฉินออกจะใหญ่โต งั้นตัวข้าหนิงเซียนจะเล่าให้ทุกคนฟังในเรื่องที่ถูกต้อง จะได้เล่าเรื่องของตระกูลข้าได้อย่างตรงไปตรงมาไม่บิดเบือน” หนิงเซียนไล่สายตาไปหาผู้คนในงานนี้ ผู้ที่เผลอสบสายตากับนางก็รีบหลบสายตาหนีทันที“เรื่องที่ตระกูลหม่าของข้าถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏนั้นเป็นความจริง แต่มันก็เป็นสิ่งที่ตระกูลข้าถูกใส่ร้ายเท่านั้น พวกบ้าหลงระเริงอยู่ในอำนาจหวาดกลัวต่อตระกูลของข้าที่ย่อมสละเลือดเนื้อเพื่อแผ่นดิน คุณหนูซูเม่ยต่อจากนี้ท่านจงตั้งใจฟังให้ดี… “หนิงเซียนจ้องเข้าไปในดวงตาของซูเม่ยที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก” ตัวข้ากองทัพทมิฬของท่านพ่อข้าและยังมีกองทัพหนันเหลียงร่วมจัดการโค่นบัลลังก์ตระกูลราชวงศ์องค์ก่อนนั้นคือสิ่งที่คุณหนูซูเม่ยขาดหายไป” หลังจาก
ภายในท้องพระโรง“ฝ่าบาทมีม้าเร็วจากซีฉินส่งสารมาว่าเหล่าคณะขุนนางของซีฉินจะมาเยี่ยมเยือนหนันเหลียงในอีกห้าวันข้างหน้าขอรับ” สิ้นสุดเสียงของนางกองทำให้เหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างถกเถียงกันกับการมาเยือนของคณะซีฉินในครั้งนี้ เพราะทั้งสองแคว้นนั้นก็นับว่าไม่ได้ปรองดองกันถึงขนาดที่ว่าจะไปมาหาสู่กันได้แต่ข้อถกเถียงก็ข้อถกเถียงเมื่อจางหมิงสั่งให้ขุนนางทุกคนเตรียมความพร้อมให้ดีในการมาเยือนของคณะซีฉินอีกห้าวันข้างหน้า“คุณหนูเจ้าคะ คณะจากซีฉินจะมาเยี่ยมเยือนที่นี่ในอีกห้าวันข้างหน้า” เหมยฮวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น“ท่านลุงจะมาที่นี่หรือ” หนิงเซียนแปลกใจเหตุใดนางถึงไม่รู้ข่าวเกี่ยวกับซีฮัน“ใช่เจ้าค่ะ ตอนนี้ฝ่าบาทสั่งให้เหล่าขุนนางเตรียมความพร้อมต่างๆ ท่านซ่งเสี่ยนเองก็เริ่มสั่งให้นางกำนัลเตรียมการสถานที่วังหลวงรอแล้วเจ้าค่ะ”หนิงเซียนพยักหน้าเข้าใจ นางก็อยากรู้ว่าที่ซีฮันมาเยือนหนันเหลียงครั้งนี้ด้วยเหตุอันใด “คงจะมีเรื่องให้ตื่นเต้นอีกแล้ว”ห้าวันผ่านไปตลอดเวลาที่ซีฉินส่งมาแล้วมาว่าจะมาเยี่ยมเยือนให้อีกห้าวันข้างหน้า คนในวังหลวงต่างมีหน้าที่จัดเตรียมสถานที่ให้พร้อม และวันนี้เป็นวันที่คณะของ
“คุณหนูเกิดเรื่องใหญ่เข้าเจ้าค่ะ” เสียงของเข่อซิงดังมาตั้งแต่หน้าตำหนัก ทำให้หนิงเซียนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องยาต้องออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น“เกิดอะไรขึ้นหรือเข่อซิง” ท่าทีของเข่อซิงดูร้อนรนไม่น้อย“ข่าวเกี่ยวกับท่านเจ้าค่ะ ตอนนี้ในเมืองต่างกล่าวถึงตัวท่านอย่างสนุกเลยเจ้าค่ะ เกี่ยวกับที่ตระกูลหม่าของท่านเป็นตระกูลแม่ทัพที่ก่อกบฏร้ายแรงสังหารชาวบ้านไม่เว้น แต่ดีที่ราชวงศ์ของตงหยางสั่งประหารได้ทัน พวกเขายังเล่นกันอีกกว่าเป็นท่านที่หนีรอดมาได้” เข่อซิงที่ออกไปซื้อของให้กับลี่หลิน นางจึงบังเอิญได้ยินเข้าหนิงเซียนได้ยินอย่างนั้นก็ไม่ได้มีท่าทีเปลี่ยนแปลงไปมากนัก” งั้นหรือเจ้าจะตกใจไม่ใย “ทำให้เข่อซิงสงสัยไม่น้อยตอนนี้ตระกูลของท่านกำลังถูกมองไม่ดีอยู่นะเจ้าคะ” แต่… “” มันไม่ใช่ความจริง เหตุใดข้าต้องเป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องพวกนั้นด้วยล่ะ“เรื่องที่กล่าวมาไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น เหตุใดจึงไม่บอกไปด้วยละว่านางคนนี้ที่เป็นคนล้มราชวงศ์ซีฉินกับมือเอง” เจ้าค่ะ “เข่อซิงพยักหน้าตอบรับ ในเมื่อหนิงเซียนไม่ดูเดือดร้อนกับข่าวที่เกิดขึ้นเลยนางก็หาได้เดือดร้อนไม่“ขบวนองค์หญิงสามเสด็จ” เสียงของใครบางคนดัง
หนิงเซียนที่ได้ฟังเรื่องราวของก็รู้สึกสงสารจางหมิงไม่น้อย เป็นถึงเชื่อราชวงศ์ใช่ว่าจะสุขสบาย ต้องคอยระวังภัยกันเอง“แล้วฝ่าบาทจะตื่นจากบรรทมเมื่อใด”“หากไม่มีดอกไม้นั้นแล้ว กว่าพิษที่อยู่ในร่างกายของจางหมิงจะหายหมด ข้าคิดว่าอย่างต่ำสี่ถึงห้าวัน”ซ่งเสี่ยนพยักหน้าอย่างโล่งใจ คิดว่าจางหมิงจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้เสียอีกเมื่อจัดการตรงนี้เสร็จรีบร้อยนางจึงลาซ่งเสี่ยนกลับตำหนักวันนี้นางคิดที่จะไปเยี่ยมพวกเสี่ยวเปาเสียหน่อย นางเดินมาถึงทางออกเห็นว่ามู่เฉินยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้านิ่งเรียบ” มีอันใดหรือมู่เฉิน “” คุณหนูท่านจะกลับตำหนักแล้วหรือขอรับ “” ใช่ ว่าแต่เกิดอันใดขึ้น “” ตอนนี้เหล่าขุนนางต่างหมายจะเข้ามาเยี่ยมฝ่าบาทขอรับ “ตอนนี้มีเหล่าขุนนางประมาณหกเจ็ดคนยืนรออยู่หน้าตำหนักของจางหมิงเพื่อหวังจะเข้ามาดูอาการ” มีทางออกอื่นหรือไม่ “หนิงเซียนเองก็ไม่อยากปะทะขุนนางพวกนั้นในตอนนี้หรอกมู่เฉินได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้า ทางลับของตำหนักของฝ่าบาทย่อมมีอยู่แล้ว” ตามข้ามาขอรับ “หนิงเซียนเดินตามมู่เฉินออกไปทางลับที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของตำหนัก” ทางเดินไปทางนี้แล้วเลี้ยวซ้าย ท่านจะไปออกหลังน้ำตกใ
ทันทีที่นางเข้ามาในห้องบรรทมของจางหมิง สิ่งที่ทำให้นางขมวดคิ้วอย่างแรกก็คือกลิ่นของกำยานนางรู้สึกว่าในกลิ่นของกำยานนี้มีบางอย่างแอบแฝงอยู่ แต่นางปล่อยผ่านมองไปที่เตียงก็เห็นร่างอันคุ้นเคยนอนแน่นิ่งอยู่กับเตียง ผิวกายซีดขาวราวกับคนตายระหว่างนั้นนางก็ยืนรอเพราะตอนนี้กำลังมีหมอหลวงคอยตรวจอาการของจางหมิงอยู่“หมอหลวงอาการของฝ่าบาทเป็นเช่นไรบ้าง” หลังจากที่หมอหวังเหว่ยตรวจเสร็จแล้วก็เข้าไปถามหมอหลวงหันมาพบว่ามีหญิงสาวผู้หญิงยื่นจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาเรียบนิ่งก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบหวังเหว่ย “อาการฝ่าบาทคล้ายคนปกติ ชีพจรเต้นมั่นคงดูเหมือนคนแข็งแรงทั่วไปแต่ที่ข้าสงสัยคือผิวที่ซีดราวกับคนตายของฝ่าบาท ข้าคงต้องขอไปปรึกษาหารือกลับหมอหลวงคนอื่นๆเสียก่อน ท่านองครักษ์หวังเหว่ยท่านโปรดวางใจ” หมองหลวงเอ่ยตอบพลางเหลือบตาไปมองหญิงสาวที่ยืมอยู่ในห้องนี้อีกคน“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านมาก คุณหนูเชิญท่านตรวจดูอาการของฝ่าบาทได้เลย” หวังเหว่ยเอ่ยขอบคุณหมอก่อนจะหันมาบอกกับหนิงเซียน“ไม่ได้ ท่านหวังเหว่ยนางเป็นใครกล้าดีอย่างไรถึงให้นางมาจับตัวฝ่าบาทท่านไม่รู้หรือว่าตอนนี้ฝ่าบาทกำลังจะประชวรอยู่” หมอหลวง