“ ขอบคุณเจ้าค่ะ อีกห้าวันจะนำมาขายอีก” เหวยผิงนำขวดกระเบื้องมาห่อใส่ผ้าไว้ ก่อนจะเอ่ยลา
“ป่ะ…ไปซื้อถังหูลู่ของเจ้ากัน” หลังออกจากร้านเหวยผิงพาอี้เหวินตรงไปยังร้านขายถังหูลู่
“ขอรับ”
“ถังหูลู่ อร่อยๆ เชิญทางนี้เลยจร้า เจ้าหนูเอากี่ไม้” แม่ค้าที่เห็นสองแม่ลูกเดินเข้ามาก็เอ่ยขึ้น
“เอาหนึ่งไม้ขอรับ” อี้เหวินเอ่ยสั่งกับแม่ค้า ผลไม้เคลือบน้ำตาลดูอร่อย
“เอาสี่ไม้เจ้าค่ะ” เหวยผิงที่เห็นอี้เหวินสั่งแค่ไม้เดียวเศร้าใจไม่น้อย รู้ว่าที่บ้านคาดเเคลนเงินก็ไม่โลภสั่งแค่อยากกิน แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วนางมีเงิน หากอี้เหวินอยากกินสิบไม้นางก็จะซื้อให้กิน
“ขอบคุณขอรับท่านแม่” อี้เหวินเห็นท่านแม่สั่งสี่ไม้ก็ดีใจ ถึงแม้ตัวเขาจะพอรู้ว่าท่านแม่ได้เงินมาจากการขายปิ่นกับน้ำผึ้งของเฟยฮวา แต่ก็ต้องเก็บไว้ซื้ออาหารและไว้ซ่อมบ้าน
“ต่อไปนี้เจ้าอยากกินอะไรก็บอกแม่ ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน แม่จะจ่ายให้เจ้าเอง”
“ขอรับ”
“สี่ไม้ สิบสองอีแปะ” เหวยผิงหันไปจ่ายเงินกับแม่ค้า แล้วรับถังหูลู่มาให้อี้เหวิน
“ขอบคุณขอรับ”
เมื่อได้ของที่ต้องการอี้เหวินก็กินอย่างมีความสุข ถังหูลู่อร่อยเช่นนี้เอง ถึงว่าเด็กในหมู่บ้านชอบกินกัน
“อร่อยหรือไม่” เหวยผิงที่เห็นอี้เหวินกินไปยิ้มไปก็เอ่ยถาม
“อร่อยขอรับ ท่านกินหรือไม่” อี้เหวินยืนถังหูลู่ให้ท่านแม่
“ไม่หรอกเจ้ากินเลย” เหวยผิงเอ่ยปฏิเสธ อีกเหตุผลหนึ่งก็คือนางเคยกินตอนอยู่ร่างเดิมแล้วน้ำตาลที่เคลือบผลไม้มันติดฟัน นางเลยไม่ชอบแต่นั้นมา
เหวยผิงพาอี้เหวินเข้าไปในร้านขายเสื้อผ้า เนื่องจากเสื้อผ้าที่นางใส่ทั้งสีซีด ทั้งมีรอยปะเต็มไปหมดเสื้อผ้าก็บางจับนิดจับหน่อยก็ขาด
“พวกเจ้าเข้ามาทำไม ยี้…ออกไปพวกข้าทานอย่าเข้ามาร้านข้าให้สกปรก” ทันทีที่เหวยผิงก้าวเข้ามาในร้านก็โดนเสี่ยวเอ้อของร้านสาดคำหยาบใส่ไม่ยัง ทำให้เหวยผิงโมโหเป็นอย่างมาก ตอนแรกนางเข้าร้านนี้เพราะเห็นว่าเป็นร้านใหญ่ น่าจะมีแบบเสื้อให้เลือกหลายลาย แต่กลับไม่คิดว่าจะโดนแบบนี้
“ ไปอี้เหวินเราไปร้านอื่นกัน” เหวยผิงจูงมือออกจากร้านทันที นางรับไม่ได้กับคนที่ชอบเหยียดหยามคนแบบนี้ สาบานเลยว่านางจะไม่ซื้อเสื้อผ้าร้านนี้ตลอดชีวิต
“พวกขอทานพวกนี้คิดว่าเสื้อผ้าร้านข้าราคาถูกหรือไงถึงชอบเข้ามากัน” เสียงแสบแก้วหูของเสี่ยวเอ้อที่ดังมาก ตามหลังทำให้เหวยผิงอยากจะกลับไม่ตัดลิ้นเสียให้ขาด คนอะไรดูถูกคนอื่นได้ขนาดนี้
แต่นางก็ต้องหยุดห้ามใจไว้ ไม่ให้อี้เหวินเห็นในด้านที่ไม่ดีของนาง…
“ทำไมเขาต้องว่าพวกเราด้วยขอรับ” อี้เหวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เสี่ยวเอ้อคนนั้นว่าพวกเขาเป็นขอทาน เขาไม่ได้เป็นขอทานสักหน่อย
“ฟังแม่นะ ในโลกนี้มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ หากคนไหนดีกับเราก็ดีตอบ หากคนไหนไม่ดีกับเรา เราก็อย่าไปยุ่งกับเขา”
“แล้วทำไมเราถึงไม่ตอบกลับคนไม่ดีขอรับ ในเมื่อพวกเขาทำไม่ดีกับเรา”
“เอ่อ…บางคนก็ไม่ได้มีค่ากับเราขนาดนั้นก็อย่าไปสนใจ แต่ถ้าบางครั้งเจ้าทนไม่ไหวก็จัดการให้สุดเลย” เหวยผิงถึงกับไปไม่เป็น นั้นสิในเมื่อมันทำไม่ดีกับเราได้เราจะอยู่เฉยทำไม
หลังจากเดินออกมาจากร้านนั้น เหวยผิงก็มองหาร้านขายเสื้อผ้าร้านใหม่ ก็เจอร้านขายเสื้อผ้าซึ่งอยู่ถัดไปอีกห้าร้าน เป็นร้านที่ไม่ใหญ่มาก
“ไม่ทราบว่าแม่นางต้องการเสื้อผ้าแบบไหน” หญิงชราที่เห็นคนเข้ามาในร้านก็เอ่ยทัก
“ข้าอยากจะได้เสื้อตัวใหม่ขนาดข้ากับลูกชายข้าอย่างละสามสี่ชุดเจ้าค่ะ” เหวยผิงที่เห็นเป็นหญิงชราก็เอ่ยอย่างนอบน้อม
“ได้สิ แบบแม่นางมีราคาตั้งแต่หนึ่งร้อยอีแปะไปจนถึงห้าร้อยอีแปะ ส่วนของเจ้าหนูนั้นมีราคาตั้งแต่แปดสิบอีแปะไปจนถึงสี่ร้อยอีแปะ” หญิงชราพาทั้งสองมายังจุดที่มีชุดตัดสำเร็จรูปไว้แล้ว
“เจ้าค่ะ อี้เหวินเจ้าอยากได้แบบไหนเลือกได้เลย เดี๋ยวแม่ซื้อให้”
“ขอรับ” อี้เหวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้เสื้อผ้าใหม่
เหวยผิงเองก็เลือกดู มีตั้งแต่เนื้อผ้าหยาบไปจนถึงเนื้อผ้าอย่างดี ซึ่งก็ตามราคา นางจึงเลือกมาสามชุด เป็นผ้าธรรมดาสองชุดแล้วเนื้อผ้าอย่างดีสองชุด หันไปทางอี้เหวิน ก็เห็นว่าเลือกได้สองสามชุดแล้ว
“พอหรือยัง” เหวยผิงที่เห็นอี้เหวินเดินถือชุดเข้ามาก็เอ่ยถาม
“พอแล้วขอรับ” มือน้อยลูบเสื้ออย่างมีความสุข
เหวยผิงจึงนำเสื้อที่เลือกไว้กับของอี้เหวินไปจ่ายเงิน แต่พอดูเสื้อผ้าที่อี้เหวินเลือกแล้วมีแต่แบบธรรมดา จึงเดินไปเลือกเนื้อผ้าอย่างดีมาให้อีกสองตัว
“ท่านยาย ที่นี่มีรองเท้าขายหรือไม่เจ้าค่ะ” เหวยผิงหันไปถามหญิงชรา หากจะให้นางเย็บใส่เองคงลำบาก ซื้อนั่นแหละเป็นวิธีง่ายที่สุด
“อยู่ทางนี้ เจ้าเลือกได้เลย” หญิงชราพายมือไปทางอีกฝั่งของร้าน
เหวยผิงจึงเดินไปเลือก โดนนางเลือกมาทั้งหมดสี่คู่ ของนางสองคู่ของอี้เหวินสองคู่ หนึ่งคู่สำหรับใส่ทั่วไปอีกหนึ่งคู่สำหรับไว้ใส่มาในอำเภอ จากนั้นนางก็นำมาให้หญิงชราคิดเงิน
“ท่านยาย ท่านยังมีผ้าไว้สำหรับห่มนอนหรือไหมเจ้าคะ” เหวยผิงคิดที่จะซื้อผ้าห่มอีก เพราะผืนเดิมขาดจนแทบจะให้ความอุ่นไม่ได้แล้ว
“มีสิ เจ้าต้องการแบบใด เนื้อผ้าหยาบสามร้อยอีแปะ เนื้อผ้าธรรมดาสี่ร้อยอีแปะ”
“เอาแบบเนื้อผ้าธรรมดาสองผืนเจ้าค่ะ” ราคาถือว่าแพงไม่น้อย ราคาพอๆ กับเสื้อผ้าเลย
หญิงชราก็เข้าไปเอาผ้าห่มจากหลังร้านมาสองผืน ก่อนจะทำการคิดเงิน
“ชุดคนโตธรรมดาสองชุดสามร้อยอีแปะ เนื้อผ้าอย่างดีของสองชุดหนึ่งตำลึง ชุดเด็กธรรมดาสามชุดสามร้อยเจ็ดสิบห้า เนื้อผ้าอย่างดีสองชุดสี่ร้อยอีแปะ รองเท้าคนโตสองคู่สามร้อยห้าสิบอีแปะรองเท้าเด็กสองคู่สามร้อยอีแปะ ผ้าห่มสองผืนแปดร้อยอีแปะ ทั้งหมดสามตำลึงห้าร้อยยี่สิบห้าอีแปะ”
เหวยผิงนำเงินออกมาจ่าย ถือว่าราคาสูงไม่น้อยสำหรับชาวบ้านปกติ แต่ก็สำหรับนางแล้วถือว่าเป็นจำนวนที่นางจ่ายได้
“ท่านยาย มีห้องสำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือไม่เจ้าค่ะ” หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อย เหวยผิงก็เอ่ยถามหาห้องเปลี่ยนเสื้อ
“มี อยู่ตรงประตูนั้น” หญิงชราชี้ไปที่ประตู ซึ่งห้องแต่งตัวที่หญิงชราว่าเป็นเพียงห้องขนาดเล็กที่ใช้ผ้าขึงไว้
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เหวยผิงจึงพาอี้เหวินเจ้าไปเปลี่ยนชุด พอเปลี่ยนให้อี้เหวินแล้ว นางจึงให้อี้เหวินไปรอข้างนอกแล้วนางก็เปลี่ยนในส่วนของนาง
เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยเหวยผิงก็พาอี้เหวินออกจากร้าน เดินเข้าไปในซอกร้าน แล้วเอาเสื้อผ้าทั้งหมดเก็บเข้าไปในมิติ หากนางถือกลับทั้งหมดนี้คงเป็นที่สงสัยเกินไป นางยังต้องซื้ออาหารกลับไปอีก
“เราจะไปไหนกันต่อขอรับท่านแม่” อี้เหวินเอ่ยถามหลังจากเดินออกมาซอกร้าน
เช้าวันรุ่งขึ้น…ในตำหนักของหนิงเซียนต่างวุ่นวายตามหาหมอหลวงอย่างเร่งรีบ เมื่อพบว่าหนิงเซียนโดนทำลายร้ายตอนนี้ทั้งวังหลวงต่างอยู่ในความตื่นตระหนก เหตุใดเมื่อคืนถึงบังอาจมีผู้ลักลอบเข้ามาทำลายว่าที่ฮองเฮาได้“ฝ่าบาทหมอหลวงมาแล้วเจ้าค่ะ” เข่อซิงวิ่งมาพร้อมกับหมอหลวง เข้ามาในห้องของที่มีร่างของหนิงเซียนนอนเจ็บอยู่ที่แขนของนางนั้นยังมีเลือดซึมอยู่ตลอดหมอหลวงเข้ามาแล้วก็รีบจัดการกับแผลของหนิงเซียน “ฝ่าบาทพระองค์โปรดออกไปก่อนได้หรือไม่ ข้าต้องใช้สมาธิอย่างมากในการรักษาคุณหนูหนิงเซียน” หมอหลวงหันมาบอกจางหมิงที่ยังยืนอยู่ในห้องดู“ข้า…” ทีแรกจางหมิงมีท่าทียึกยัก แต่พอคิดว่าจะต้องรีบรักษาหนิงเซียนให้เร็วที่สุดจึงตัดสินใจออกจากห้องไปพอหมองหลวงเห็นว่าฝ่าบาทออกไปแล้วก็หันมารักษาให้กับหนิงเซียน หยิบยาขึ้นมาก่อนจะป้อนให้กับหนิงเซียน ดวงตาที่หลับอยู่ของหนิงเซียนเปิดขึ้นทันทีคว้ายาในมือของหมอหลวงก่อนจะป้อนใส่ปากของหมอหลวงอย่างรวดเร็วนางตวัดร่างขึ้นก่อนจะล็อกร่างของหมอหลวงไว้ให้กลืนยาเม็ดนั้นลงไป ด้วยความที่ร่างหมอหลวงบอบบางเกือบเท่านางทำให้หมอหลวงไม่สามารถขัดขืนได้เลยทำใจต้องกลืนยาเม็ดนั้นลงไป“เจ
“เจ้าหัวเราะอันใด” ซูเม่ยมองไปที่หนิงเซียนอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดมันจึงไม่เป็นไปตามที่นางคาดไว้“ข้าแค่เพียงชื่นชมในบทละครที่คุณหนูซูเม่ยตั้งใจเล่นเป็นอย่างมาก แต่เพียงคุณหนูบทของท่านกลับไม่เป็นจริงสักเรื่อง”“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”“ท่านยังต้องถามข้าอีกหรือ ข้าอยากจะรู้นักว่าคนที่ไปสืบเรื่องนี้มาเหตุใดจึงสืบมาได้เพียงแค่นี้ เรื่องราวที่เหตุขึ้นที่ซีฉินออกจะใหญ่โต งั้นตัวข้าหนิงเซียนจะเล่าให้ทุกคนฟังในเรื่องที่ถูกต้อง จะได้เล่าเรื่องของตระกูลข้าได้อย่างตรงไปตรงมาไม่บิดเบือน” หนิงเซียนไล่สายตาไปหาผู้คนในงานนี้ ผู้ที่เผลอสบสายตากับนางก็รีบหลบสายตาหนีทันที“เรื่องที่ตระกูลหม่าของข้าถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏนั้นเป็นความจริง แต่มันก็เป็นสิ่งที่ตระกูลข้าถูกใส่ร้ายเท่านั้น พวกบ้าหลงระเริงอยู่ในอำนาจหวาดกลัวต่อตระกูลของข้าที่ย่อมสละเลือดเนื้อเพื่อแผ่นดิน คุณหนูซูเม่ยต่อจากนี้ท่านจงตั้งใจฟังให้ดี… “หนิงเซียนจ้องเข้าไปในดวงตาของซูเม่ยที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก” ตัวข้ากองทัพทมิฬของท่านพ่อข้าและยังมีกองทัพหนันเหลียงร่วมจัดการโค่นบัลลังก์ตระกูลราชวงศ์องค์ก่อนนั้นคือสิ่งที่คุณหนูซูเม่ยขาดหายไป” หลังจาก
ภายในท้องพระโรง“ฝ่าบาทมีม้าเร็วจากซีฉินส่งสารมาว่าเหล่าคณะขุนนางของซีฉินจะมาเยี่ยมเยือนหนันเหลียงในอีกห้าวันข้างหน้าขอรับ” สิ้นสุดเสียงของนางกองทำให้เหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างถกเถียงกันกับการมาเยือนของคณะซีฉินในครั้งนี้ เพราะทั้งสองแคว้นนั้นก็นับว่าไม่ได้ปรองดองกันถึงขนาดที่ว่าจะไปมาหาสู่กันได้แต่ข้อถกเถียงก็ข้อถกเถียงเมื่อจางหมิงสั่งให้ขุนนางทุกคนเตรียมความพร้อมให้ดีในการมาเยือนของคณะซีฉินอีกห้าวันข้างหน้า“คุณหนูเจ้าคะ คณะจากซีฉินจะมาเยี่ยมเยือนที่นี่ในอีกห้าวันข้างหน้า” เหมยฮวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น“ท่านลุงจะมาที่นี่หรือ” หนิงเซียนแปลกใจเหตุใดนางถึงไม่รู้ข่าวเกี่ยวกับซีฮัน“ใช่เจ้าค่ะ ตอนนี้ฝ่าบาทสั่งให้เหล่าขุนนางเตรียมความพร้อมต่างๆ ท่านซ่งเสี่ยนเองก็เริ่มสั่งให้นางกำนัลเตรียมการสถานที่วังหลวงรอแล้วเจ้าค่ะ”หนิงเซียนพยักหน้าเข้าใจ นางก็อยากรู้ว่าที่ซีฮันมาเยือนหนันเหลียงครั้งนี้ด้วยเหตุอันใด “คงจะมีเรื่องให้ตื่นเต้นอีกแล้ว”ห้าวันผ่านไปตลอดเวลาที่ซีฉินส่งมาแล้วมาว่าจะมาเยี่ยมเยือนให้อีกห้าวันข้างหน้า คนในวังหลวงต่างมีหน้าที่จัดเตรียมสถานที่ให้พร้อม และวันนี้เป็นวันที่คณะของ
“คุณหนูเกิดเรื่องใหญ่เข้าเจ้าค่ะ” เสียงของเข่อซิงดังมาตั้งแต่หน้าตำหนัก ทำให้หนิงเซียนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องยาต้องออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น“เกิดอะไรขึ้นหรือเข่อซิง” ท่าทีของเข่อซิงดูร้อนรนไม่น้อย“ข่าวเกี่ยวกับท่านเจ้าค่ะ ตอนนี้ในเมืองต่างกล่าวถึงตัวท่านอย่างสนุกเลยเจ้าค่ะ เกี่ยวกับที่ตระกูลหม่าของท่านเป็นตระกูลแม่ทัพที่ก่อกบฏร้ายแรงสังหารชาวบ้านไม่เว้น แต่ดีที่ราชวงศ์ของตงหยางสั่งประหารได้ทัน พวกเขายังเล่นกันอีกกว่าเป็นท่านที่หนีรอดมาได้” เข่อซิงที่ออกไปซื้อของให้กับลี่หลิน นางจึงบังเอิญได้ยินเข้าหนิงเซียนได้ยินอย่างนั้นก็ไม่ได้มีท่าทีเปลี่ยนแปลงไปมากนัก” งั้นหรือเจ้าจะตกใจไม่ใย “ทำให้เข่อซิงสงสัยไม่น้อยตอนนี้ตระกูลของท่านกำลังถูกมองไม่ดีอยู่นะเจ้าคะ” แต่… “” มันไม่ใช่ความจริง เหตุใดข้าต้องเป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องพวกนั้นด้วยล่ะ“เรื่องที่กล่าวมาไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น เหตุใดจึงไม่บอกไปด้วยละว่านางคนนี้ที่เป็นคนล้มราชวงศ์ซีฉินกับมือเอง” เจ้าค่ะ “เข่อซิงพยักหน้าตอบรับ ในเมื่อหนิงเซียนไม่ดูเดือดร้อนกับข่าวที่เกิดขึ้นเลยนางก็หาได้เดือดร้อนไม่“ขบวนองค์หญิงสามเสด็จ” เสียงของใครบางคนดัง
หนิงเซียนที่ได้ฟังเรื่องราวของก็รู้สึกสงสารจางหมิงไม่น้อย เป็นถึงเชื่อราชวงศ์ใช่ว่าจะสุขสบาย ต้องคอยระวังภัยกันเอง“แล้วฝ่าบาทจะตื่นจากบรรทมเมื่อใด”“หากไม่มีดอกไม้นั้นแล้ว กว่าพิษที่อยู่ในร่างกายของจางหมิงจะหายหมด ข้าคิดว่าอย่างต่ำสี่ถึงห้าวัน”ซ่งเสี่ยนพยักหน้าอย่างโล่งใจ คิดว่าจางหมิงจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้เสียอีกเมื่อจัดการตรงนี้เสร็จรีบร้อยนางจึงลาซ่งเสี่ยนกลับตำหนักวันนี้นางคิดที่จะไปเยี่ยมพวกเสี่ยวเปาเสียหน่อย นางเดินมาถึงทางออกเห็นว่ามู่เฉินยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้านิ่งเรียบ” มีอันใดหรือมู่เฉิน “” คุณหนูท่านจะกลับตำหนักแล้วหรือขอรับ “” ใช่ ว่าแต่เกิดอันใดขึ้น “” ตอนนี้เหล่าขุนนางต่างหมายจะเข้ามาเยี่ยมฝ่าบาทขอรับ “ตอนนี้มีเหล่าขุนนางประมาณหกเจ็ดคนยืนรออยู่หน้าตำหนักของจางหมิงเพื่อหวังจะเข้ามาดูอาการ” มีทางออกอื่นหรือไม่ “หนิงเซียนเองก็ไม่อยากปะทะขุนนางพวกนั้นในตอนนี้หรอกมู่เฉินได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้า ทางลับของตำหนักของฝ่าบาทย่อมมีอยู่แล้ว” ตามข้ามาขอรับ “หนิงเซียนเดินตามมู่เฉินออกไปทางลับที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของตำหนัก” ทางเดินไปทางนี้แล้วเลี้ยวซ้าย ท่านจะไปออกหลังน้ำตกใ
ทันทีที่นางเข้ามาในห้องบรรทมของจางหมิง สิ่งที่ทำให้นางขมวดคิ้วอย่างแรกก็คือกลิ่นของกำยานนางรู้สึกว่าในกลิ่นของกำยานนี้มีบางอย่างแอบแฝงอยู่ แต่นางปล่อยผ่านมองไปที่เตียงก็เห็นร่างอันคุ้นเคยนอนแน่นิ่งอยู่กับเตียง ผิวกายซีดขาวราวกับคนตายระหว่างนั้นนางก็ยืนรอเพราะตอนนี้กำลังมีหมอหลวงคอยตรวจอาการของจางหมิงอยู่“หมอหลวงอาการของฝ่าบาทเป็นเช่นไรบ้าง” หลังจากที่หมอหวังเหว่ยตรวจเสร็จแล้วก็เข้าไปถามหมอหลวงหันมาพบว่ามีหญิงสาวผู้หญิงยื่นจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาเรียบนิ่งก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบหวังเหว่ย “อาการฝ่าบาทคล้ายคนปกติ ชีพจรเต้นมั่นคงดูเหมือนคนแข็งแรงทั่วไปแต่ที่ข้าสงสัยคือผิวที่ซีดราวกับคนตายของฝ่าบาท ข้าคงต้องขอไปปรึกษาหารือกลับหมอหลวงคนอื่นๆเสียก่อน ท่านองครักษ์หวังเหว่ยท่านโปรดวางใจ” หมองหลวงเอ่ยตอบพลางเหลือบตาไปมองหญิงสาวที่ยืมอยู่ในห้องนี้อีกคน“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านมาก คุณหนูเชิญท่านตรวจดูอาการของฝ่าบาทได้เลย” หวังเหว่ยเอ่ยขอบคุณหมอก่อนจะหันมาบอกกับหนิงเซียน“ไม่ได้ ท่านหวังเหว่ยนางเป็นใครกล้าดีอย่างไรถึงให้นางมาจับตัวฝ่าบาทท่านไม่รู้หรือว่าตอนนี้ฝ่าบาทกำลังจะประชวรอยู่” หมอหลวง