เข้าสู่ระบบ
เสียงเคาะกระทะ เสียงฟู่จากเตาแก๊สและเสียงจัดเรียงจานชามต่าง ๆ ดังอึงอลไปทั้งครัว ร้านอาหารขึ้นชื่อของเมืองปักกิ่งยามนี้กำลังวุ่นวายอยู่กับการทำอาหารให้ทันกับจำนวนออร์เดอร์ที่ลูกค้าสั่งเข้ามา เนื่องจากเป็นช่วงที่ผู้คนออกมารับประทานอาหารเย็นกันพอดีร้านแห่งนี้จึงต้องเร่งมือทำอาหารออกมาเยอะเป็นพิเศษ
ร้านนี้ขายดีแบบนี้เสมอแต่เจ้าของร้านกลับขี้เหนียวจ้างเชฟมาเพียงแค่สองคนเท่านั้นแล้วก็มีลูกมืออีกสองสามคน ซูเฟยเป็นหัวหน้าเชฟที่นี่และเธอมักจะทำงานอยู่ที่ร้านจนเลยเวลาเพราะไม่อยากให้เพื่อนที่รับงานต่อจากเธอทำงานหนักเกินไป วันนี้ก็เช่นกัน แต่เมื่อออร์เดอร์เริ่มเบาบางแล้วเพื่อนของเธอก็บอกให้เธอกลับบ้าน
"พี่ซูเฟย เหลือออร์เดอร์ไม่เยอะแล้ว เดี๋ยวฉันทำเอง พี่กลับไปพักผ่อนเถอะ" เสียงของเสี่ยวปิงเชฟอีกคนตะโกนบอกซูเฟยในขณะที่เธอกำลังจะเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร
ซูเฟยรีบหยิบวัตถุดิบเตรียบใส่ใว้ในชามเพื่อที่จะให้เสี่ยวปิงที่มารับช่วงต่อทำงานได้อย่างสะดวกก่อนจะตะโกนกลับไป "ได้ ถ้างั้นฝากเธอด้วยนะ พี่จะกลับก่อนจะรีบไปกดบัตรละครเวทีของหยางจื้อเจ๋อ"
"อะไรๆ ก็หยางจื้อเจ๋อ เป็นเพราะคลั่งหยางจื้อเจ๋อมากเกินไปหรือเปล่าพี่สาวของฉันเลยไม่ยอมมีแฟนกับเขาสักที" เสี่ยวปิงพูดแซว
"ไม่รู้สิ ฉันก็อยากมีแฟนแบบหยางจื้อเจ๋อนะแต่ก็รู้ว่าคงเป็นไปไม่ได้หรอก แต่อย่างน้อยขอให้มีบางอย่างใกล้เคียงกันสักหน่อยก็ดี" ซูเฟยตอบ
"ไปเถอะ เดี๋ยวกดบัตรไม่ทันนะ" เสี่ยวปิงพูดแล้วก้มมองกระทะผัดอาหารต่อ
"ฉันไปก่อนนะ เธอเองก็อย่ากลับดึกมากล่ะ" ซูเฟยบอกจากนั้นจึงมองดูความเรียบร้อยภายในครัวอีกครั้งแล้วค่อยเดินออกมา
ซูเฟยเป็นหญิงสาววัยทำงานอายุสามสิบหกปี เป็นหัวหน้าเชฟของร้านอาหารแห่งนี้ เธอชื่นชอบการทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ เข้าแข่งขันการทำอาหารคว้ารางวัลมาแล้วมากมาย หากจะพูดกันในวงการอาหารไม่มีใครไม่รู้จักเธอ เธอเป็นต้นตำรับของเมนูกุ้งมังกรดองบ๊วยและน้ำจิ้มสุดแซ่บที่รายการทำอาหารรายการหนึ่งถึงกับเอาเมนูนี้ไปเป็นโจทย์ให้ผู้เข้าแข่งขันทำตามเลยทีเดียว แต่ที่เธอเลือกที่จะมาทำงานในร้านอาหารที่ไม่ใหญ่นักก็เพราะว่าเธอไม่ชอบระบบเส้นสายที่วุ่นวายของภัตาคารใหญ่หรือว่าโรงแรมหรู การอยู่ร้านเล็ก ๆ ถึงแม้จะเงินเดือนน้อยแต่ก็สบายใจกว่า และที่สำคัญตอนนี้เธอทำให้ร้านเล็ก ๆ แห่งนี้เป็นที่นิยมในเมืองปักกิ่งไปแล้ว
เดิมทีเธอเป็นเด็กกำพร้า ตั้งแต่เด็กเธอก็มีชีวิตอยู่ในสถานสงเคราะห์แล้ว ตอนนั้นจำได้คร่าว ๆ ว่าตัวเองน่าจะอายุประมาณหกขวบอาศัยอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านบนชั้นห้าของตึกแห่งหนึ่ง แต่แล้วอยู่ ๆ ก็เกิดไฟไหม้ตึกนั้น พ่อกับแม่ของเธออยู่ข้างในไม่สามารถหนีออกมาได้ ไฟลุกลามอย่างรวดเร็วซูเฟยได้แต่ยืนดูเหตุการณ์และร้องไห้อย่างโศกเศร้า โชคดีที่วันนั้นเธอลงมาเล่นกับเพื่อนที่ข้างล่างตึกก็เลยรอดตายมาได้
หลังจากนั้นก็ย้ายมาอยู่ที่สถานสงเคราะห์ สถานสงเคราะห์ติดต่อญาติของเธอหลายครั้งแต่ว่าไม่มีใครสนใจที่จะมารับเธอไปดูแลเลย ทุกคนให้เหตุผลว่ายากจนไม่กำลังทรัพย์พอที่จะเลี้ยงหลานอีกคนได้ ดังนั้นซูเฟยจึงได้มีชีวิตอยู่ในสถานสงเคราะห์จนเรียนจบชั้นมัธยมปลาย
เมื่อจบชั้นมัธยมปลายแล้วก็สอบเกาเข่าได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในปักกิ่งสาขาที่เกี่ยวข้องกับด้านอาหาร ตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยก็เริ่มทำงานหาเงินและดูแลตัวเองมาตลอด ถึงแม้ว่าจะออกจากสถานสงเคราะห์มาแล้วแต่เธอก็ยังกลับไปเยี่ยมที่นั่นอยู่เป็นประจำ เอาเงินบางส่วนไปบริจาคให้เพราะคิดอยู่เสมอว่าหากไม่มีสถานสงเคราะห์ชีวิตของเธอก็คงไม่มีวันนี้
ซูเฟยมีศิลปินที่ชื่นชอบอยู่คนหนึ่ง เขาชื่อหยางจื้อเจ๋อ อายุสามสิบสองปี เข้าวงการด้วยการเดบิ๊วต์เป็นนักร้องของวง wishing star แต่ตอนนี้ได้ผันตัวมาเป็นนักแสดงเต็มตัวแล้ว เธอชื่นชอบเขามากถึงขั้นเอาเขาเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตเลยทีเดียว ดังนั้นไม่ว่าเขาจะมีผลงานอะไรซูเฟยก็จะติดตามตลอด
วันนี้เป็นวันเงินเดือนออก ซูเฟยตั้งใจจะเก็บส่วนหนึ่งไว้เพื่อซื้อบัตรละครเวทีเรื่องที่หยางจื้อเจ๋อแสดง ถึงแม้ว่าบัตรจะไม่ได้ราคาสูงมากแต่ว่าระดับความแข่งขันที่จะได้บัตรมานั้นยากเหลือเกิน เพราะยังมีแฟนคลับของหยางจื้อเจ๋ออีกมากมายที่ต้องการบัตรละครเวทีเรื่องนี้ สิ่งสำคัญก็คือต้องกดบัตรให้ได้
เวลาที่เปิดให้กดบัตรคือเที่ยงคืนของวันนี้ดังนั้นจึงมีเวลาเหลืออยู่เพราะตอนนี้ก็เพิ่งจะสามทุ่มกว่า ซูเฟยจึงแวะร้านสะดวกซื้อนิดหน่อยเพื่อซื้อของเข้าบ้าน ปกติแล้วก็จะซื้อเดือนละครั้ง ด้วยความที่เป็นผู้หญิงอยู่ตัวคนเดียวเลยไม่มีของมากเท่าไร ส่วนมากก็จะซื้อพวกอาหารแห้งกับของใช้ส่วนตัวไปเก็บไว้เท่านั้น ซื้อของเสร็จแล้วก็ไปขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้านตามปกติ
เมื่อถึงห้องสิ่งแรกที่ทำก็คือเปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ้ตขึ้นมาจากนั้นก็เข้าเว็บไซต์สำหรับซื้อตั๋วละครเวทีไว้ แล้วค่อยไปจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะมานั่งรอกดบัตร
แต่ยังไม่ทันไปอาบน้ำเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน เป็นสายเข้าจากเสี่ยวปิงนั่นเอง
("ฮัลโหลเสี่ยวปิง มีอะไรเหรอ")
("พี่ซูเฟย วันนี้ฉันไปนอนห้องพี่ได้ไหมคะ ที่ห้องน้ำไม่ไหลเลยฉันสอบถามนิติบุคคลแล้วเขาบอกว่าระบบส่งน้ำมีปัญหา")
("ได้สิ ถ้ามาถึงแล้วโทรบอกนะพี่กำลังจะอาบน้ำเหมือนกัน")
("โอเคค่ะ ฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้)
วางสายแล้วซูเฟยก็เดินเข้าห้องน้ำไป เป็นเรื่องปกติที่เสี่ยวปิงมานอนห้องของเธอบ่อย ๆ เพราะว่าทั้งสองคนสนิทกันมาก เรียกได้ว่าสนิทเป็นพี่สาวกับน้องสาวกันเลย พวกเธอทำงานที่ร้านอาหารแห่งนี้ด้วยกันมาห้าปีแล้วโดยที่ซูเฟยเป็นคนคัดเลือกเสี่ยวปิงเข้ามาเอง เสี่ยงปิงเป็นเด็กดี ขยัน ตั้งใจทำงานแล้วก็เป็นคนที่ใจดีห่วงใยผู้อื่นด้วย จึงทำให้ซูเฟยเอ็นดูเธอเป็นพิเศษ
เวลาเกือบเที่ยงคืนเสี่ยวปิงก็มา เธอไม่ได้มามือเปล่าแต่ว่ายังมีเครื่องดื่มกับขนมติดไม้ติดมือมาด้วย
"พี่ซูเฟย กินเบียร์กัน" เสี่ยวปิงบอกพลางยกถุงของที่ถืออยู่ขึ้นมาให้ซูเฟยดู
"กินเบียร์เหรอ พี่ลืมไปเลยว่าวันนี้เงินเดือนออก ปกติแล้วพวกเราต้องฉลองกันนี่น่า" ซูเฟยพูด เธอลืมเรื่องนี้ไปแล้วจริง ๆ เพราะใจของเธอมัวแต่จดจ่ออยู่กับการจะต้องกดบัตรละครเวทีให้ได้
"ว่าแต่ถึงเวลากดบัตรแล้วไม่ใช่เหรอ รอพี่กดบัตรก่อนแล้วค่อยเปิดเบียร์ก็แล้วกัน" เสี่ยวปิงบอก เธอมานั่งกินขนมรอที่โซฟาแล้วปล่อยให้ซูเฟยนั่งใจจดใจจ่ออยู่หน้าคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ้คต่อไป
"เย้! ได้แล้ว ได้โซนวีไอพีที่ด้านหน้าด้วย คราวนี้เขาจะต้องมองเห็นพี่แน่ ๆ" ซูเฟยพูดออกมาอย่างดีใจพลางทำหน้าตาตื่นเต้นไปทางเสี่ยวปิง
"ฉันดีใจกับพี่ด้วยนะ คราวนี้คงได้เห็นเขาใกล้ ๆ สักที พี่ก็อย่าลืมส่งยิ้มให้เขาด้วยล่ะ" เสี่ยวปิงบอก น้ำเสียงหยอกแซวเล็กน้อย
"เอาเถอะมากินเบียร์กัน ภารกิจสำเร็จแล้ว" ซูเฟยเดินไปในนั่งที่โซฟากับเสี่ยวปิงก่อนจะหยิบเบียร์ขวดหนึ่งมาเปิดฝาแล้วดื่มอึก ๆ กันอย่างสบายใจ
"ว่าแต่พี่ไม่คิดที่จะมีแฟนจริง ๆ เหรอ นี่ก็สามสิบหกแล้วนะ แก่แล้ว เดี๋ยวมดลูกใช้การไม่ได้ก่อน" เสี่ยงปิงพูด ถ้อยคำเหมือนจะหยอกล้อก็จริงแต่ว่าเธอกลับจริงจังมาก เพราะว่าในสังคนจีนแล้วผู้หญิงมักจะแต่งงานเร็วแค่ยี่สิบกว่าก็แต่งงานมีลูกมีครอบครัวกันแล้ว แต่พี่สาวคนนี้กลับเลยวัยมาตั้งนานถือว่าแก่แล้วเสียด้วยซ้ำ
"พูดอะไรของเธอ ผู้หญิงเราสมัยนี้ดูแลตัวเองได้กันหมดแล้ว ถ้าพี่ไม่เจอคนที่ชอบจริง ๆ พี่ก็ไม่มีแผนจะแต่งง่าย ๆ หรอก" ซูเฟยตอบ นี่คือทัศนคติของเธออย่างแท้จริง อาจจะเป็นเพราะเธอเองยืนหยัดด้วยตนเองมาตั้งแต่เด็ก สามารถต่อสู้กับความเหงาและความทุกข์มาได้โดยที่ไม่เคยพึ่งพาใคร ดังนั้นการจะมีแฟนหรือว่าไม่มีจึงไม่ใช่ปัญหา
"พี่ยึดติดกับสเป็คของตัวเองมากไปหรือเปล่า " เสี่ยงปิงพูดพร้อมถอนหายใจออกมาหนึ่งที
ซูเฟยส่งสายตาให้เสี่ยวปิงอย่างจริงจังก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่า "สำหรับพี่นะ พี่ไม่ได้คาดหวังอะไรจากการคนที่เป็นคนรักของพี่มากนักหรอก ขอเพียงแค่เข้ากันได้แล้วอยู่ด้วยกันอย่างสบายใจก็พอ แต่ว่าพี่ยังไม่เจอคนคนนั้นน่ะสิ"
"ฉันว่าพี่ไม่หามากกว่าน่ะสิ อย่างเถ้าแก่เจียงเจ้าของร้านก็มองพี่มาตั้งนานแล้ว ฉันดูออกนะ" เสี่ยวปิงพูด
ซูเฟยนิ่วหน้าพลางเปลี่ยนเรื่องคุย“พี่ว่าพวกเราเลิกพูดเรื่องนี้กันได้แล้วน่า กินเบียร์กันเถอะ"
สองสาวนั่งดื่มเบียร์ไปคุยกันไปเรื่อยจนเวลาล่วงเลยมาก็ดึกแล้ว จากนั้นจึงได้แยกย้ายกันนอน บ้านของซูเฟยมีสองห้องนอนพอดีก็เลยไม่ค่อยเบียดเสียดกันเท่าไร เธอเคยบอกให้เสี่ยวปิงย้ายมาอยู่กับเธอหลายครั้งแล้วจะได้ไม่ต้องเสียเงินเช่าห้องแต่ว่าเสี่ยงปิงเองก็เกรงใจ ถึงแม้ว่าจะสนิทกันมากก็จริงแต่ก็คิดว่าสักวันหนึ่งไม่ใครคนดีคนหนึ่งก็ต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง จะอยู่ตัวติดกันแบบนี้ตลอดไปคงไม่ได้หรอก
ตอนพิเศษ 3 เจ้าก้อนแป้งอีกสามก้อน เมื่อฟางหนิงฮวาตรวจพบว่าตนเองตั้งครรภ์อีกครั้ง เซียวป๋อเหวินถึงกับยิ้มไม่หุบตลอดทั้งวัน เขาหวังไว้อย่างแรงกล้าว่าครั้งนี้จะได้ลูกสาวสักคน คนที่มีใบหน้าอ่อนหวานเหมือนภรรยา เดินเตาะแตะมาตบไหล่เขาเรียก “ท่านพ่อ” เสียงใสเหมือนระฆังเงิน ความฝันนั้นทำให้เขาเพ้อไปไกลถึงขั้นนั่งวางแผนจะสร้างบ้านหลังเล็ก ๆ สีชมพูไว้ข้างจวน แยกจากเรือนใหญ่ให้ลูกสาวอยู่โดยเฉพาะแต่แล้ววันคลอดก็มาถึง ท่ามกลางความตื่นเต้นของทั้งบ้าน เสียงเด็กร้องแหลมสูงดังลั่นห้องคลอดไม่ใช่เพียงหนึ่ง แต่ถึงสองเสียงติดกัน แม่เฒ่าหลิวที่ทำหน้าที่เป็นหมอตำแยถึงกับตะโกนลั่นด้วยความประหลาดใจ“ท่านแม่ทัพ ฮูหยินคลอดบุตรชายฝาแฝดเจ้าค่ะ”เซียวป๋อเหวินที่ยืนรอฟังอยู่นอกห้องถึงกับยืนนิ่งไปพักหนึ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน ทั้งดีใจและผิดหวังในเวลาเดียวกัน เขาได้ยินเสียงเด็กร้องสองคน ใจหนึ่งก็ปลื้มใจที่ได้ลูกชา
ตอนพิเศษ 2 แขกผู้มาเยือน เซียวป๋อเหวินควบม้ามุ่งหน้าไปยังวังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าห้องเต้ ส่วนรถม้านั้นเคลื่อนตัวเข้ามายังประตูหน้าของจวนตระกูลเซียว จวนที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้แม่ทัพเซียวป๋อเหวินเป็นกรณีพิเศษเพื่อเป็นเกียรติในความชอบ ความกล้าหาญและความซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินฟางหนิงฮวาอุ้มเซียวจ้านลงจากรถม้า สายตากวาดมองจวนหลังใหญ่เบื้องหน้า ตัวอาคารโอ่อ่า แฝงกลิ่นอายของตระกูลขุนนางชั้นสูง ผนังปูนสีขาวสลับไม้สักแดงสนิท ประตูใหญ่ตั้งตระหง่าน เสาหินแกะสลักลวดลายมังกรรายเรียงอย่างสง่างามทว่าทันทีที่สายตาของนางเหลือบไปทางหน้าประตูจวนนางก็ต้องขมวดคิ้วทันทีหญิงสาวผู้หนึ่งในชุดผ้าไหมสีม่วงอ่อนยืนรออยู่หน้าจวน ใบหน้างามสง่าแลดูอ่อนวัย เรือนผมดำขลับถูกรวบไว้เรียบร้อยด้วยปิ่นทองรูปผีเสื้อ ชุดแต่งกายบ่งบอกถึงฐานะไม่ธรรมดา นางยืนสงบตรงนั้นราวกับกำลังเฝ้ารอใครสักคนมาเนิ่นนานเมื่อหญิงสาวเห็นฟางหนิงฮวาและเด็กน้อยเดินเข้ามา นางก็ยิ้มบางแล้ว
ตอนพิเศษ 1 เดินทางกลับเมืองหลวง ยามเช้าตรู่ของฤดูใบไม้ผลิ อากาศเย็นสบายท่ามกลางหมอกจาง ๆ ที่ลอยอยู่เหนือพื้นดิน เซียวป๋อเหวิน ฟางหนิงฮวา และเซียวจ้านน้อย บุตรชายวัยห้าขวบของพวกเขา กำลังออกเดินทางกลับเมืองหลวงอย่างช้า ๆ ด้วยรถม้าที่มีธงเครื่องหมายตระกูลกองทัพรักษาดินแดนเหนือประดับอยู่ข้างตัวรถหลังจากได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ให้พักผ่อนสักระยะ ก่อนจะกลับไปรับตำแหน่งในราชสำนัก เซียวป๋อเหวินจึงตัดสินใจพาภรรยาและบุตรชายเดินทางอย่างไม่รีบร้อน แวะพักตามเมืองต่าง ๆ เพื่อให้ลูกชายได้เรียนรู้โลกกว้างและให้ตนเองได้พักใจจากความวุ่นวายที่ผ่านมารถม้ามาถึงเมืองซีเป่ย เมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำอวิ๋นเผิง ทิวทัศน์โดยรอบงดงามด้วยภูเขาสีเขียวที่ทอดยาวกับแม่น้ำใสสะอาด เซียวป๋อเหวินเคยมาเยือนเมืองนี้เมื่อครั้งที่เขาวางแผนรบกับพวกเฮยจั้ง เห็นว่าทิวทัศน์ที่นี่เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจยิ่งนักเลยชวนภรรยากับบุตรชายพักค้างคืนกันสักคืนสองคืน“หน
บทที่ 55 ข่าวดีอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงของอาวุธทกระทบกันที่เกิดจาการซ้อมรบในค่าย นายทหารส่งสารผู้หนึ่งขี่ม้าวิ่งเข้ามาในค่ายด้วยความเร็วสูงก่อนที่จะหยุดลงที่หน้ากระโจมบัญชาการของท่านแม่ทัพ เซียวจ้านวัยห้าขวบเห็นม้าวิ่งมาจนฝุ่นตลบก็ตื่นเต้นดีใจ คิดว่าต้องมีเรื่องน่าตื่นเต้นอย่างเช่นข้าศึกบุกมาอย่างแน่นอน เมื่อทหารส่งสารผู้นั้นขออนุญาตเข้ามาในกระโจมเขาก็มองจดหมายในมือของนายทหารผู้นั้นไม่วางตา “มีคำสั่งจากวังหลวงขอรับท่านแม่ทัพ” นายทหารผู้นั้นยื่นจดหมายในมือให้กับเซียวป๋อเหวิน เซียวป๋อเหวินรับจดหมายนั่นมาก่อนจะเปิดดู เขากวาดสายตาอย่างรวดเร็วอ่านจดหมายนั้น เมื่ออ่านจบก็ถึงกับยิ้มขึ้นมา “มีอะไรหรือเจ้าคะท่านพี่ เป็นเรื่องดีใช่หรือไม่” ฟางหนิงฮวาถาม&nbs
บทที่ 54 แม่ทัพน้อย หลายเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฟางหนิงฮวาผู้เคยสง่างามบัดนี้มีท้องนูนโต เดินเหินลำบาก แม้จะพยายามรักษาท่าทีให้สงบงดงามเหมือนเดิมแต่ทุกย่างก้าวกลับเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าเซียวป๋อเหวินที่ครั้งหนึ่งเคยคร่ำเคร่งอยู่ในสนามรบ บัดนี้กลับเปลี่ยนบทบาทมาเป็นสามีผู้เฝ้าดูแลภรรยาไม่ห่าง สายตาเขาอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่อนุญาตให้นางทำอะไรหนักเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ยื่นมือไปหยิบน้ำชาเองเขายังรีบเข้ามาช่วย“เหนื่อยหรือไม่” เขามักจะถามทุกครั้งที่เห็นนางลูบท้องเบา ๆฟางหนิงฮวาเพียงยิ้มจาง ๆ พลางตอบเสียงเบา “ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ เพียงแต่หิวบ่อยไปหน่อย”“หิวหรือ ข้าจะไปสั่งให้แม่ครัวต้มโจ๊กให้เดี๋ยวนี้” ไม่รอคำตอบเขาก็ลุกขึ้นแล้วออกไปทันทีฟางหนิงฮวามองตามแผ่นหลังกว้างนั้นอย่างซาบซึ้ง หัวใจอบอุ่นทุกครั้งที่เห็นเขาเป็นห่วงตนถึงเพียงนี้วันเวลาผ่านไปจนกร
บทที่ 53 คืนเข้าหอที่รอคอย หลังจากที่ดื่มกับเหล่าทหารพอหอมปากหอมคอแล้วเซียวป๋อเหวินก็กลับเข้ามาที่จวน เพราะสิ่งที่เขารอคอยอยู่ตรงหน้านั้นสำคัญยิ่งกว่าการการดื่มฉลองเป็นไหน ๆ เจ้าสาวของเขายังคงนั่งรออยู่ในห้องหอ รอให้เข้าไปเปิดผ้าคลุมหน้าและครองรักชื่นมื่นกันภายใต้ห้องหอที่มีเพียงแต่พวกเขาสองคน เซียวป๋อเหวินกระโดดลงจากหลังม้าแล้วมุ่งตรงไปยังห้องหอทันที เขาจินตนาการถึงใบหน้าที่งดงามของหญิงสาวอันเป็นที่แล้วก็อดไม่ไหวที่จะเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงห้องหอโดยเร็ว เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามทีก่อนที่ชายหนุ่มจะเปิดประตูเข้ามา เข้าก้าวเท้าเข้ามาอย่างแผ่วเบาก่อนที่จะปิดประตูลงอย่างแผ่วเขาเช่นกัน “รอนานหรือไม่” เขาเอ่อยถาม &ldquo







