บทที่5
ข้อแลกเปลี่ยน
“ระวัง!”
ซ่งเจียซินร้องห้ามรีบโน้มตัวมาดึงผ้าปิดแขนของหลี่จื่อรั่วเอาไว้เหมือนเดิม
“จื่อรั่วถูกข้าวต้มลวก ฉันกำลังจะพาเขาไปโรงพยาบาล ไม่ได้จะพาไปปล่อย!”
พูดพลางจ้องมองดวงตาของเด็กชายตรงหน้า หลี่จื่อหมิงเมื่อรู้ว่าตนเองเข้าใจมารดาเลี้ยงผิด ในใจก็รู้สึกผิดเล็กน้อย แต่เขาเข้าใจผิดแล้วอย่างไร หากไม่ใช่เพราะเธอเคยพูดเองกับปากว่าจะเอาพวกเขาไปปล่อยทิ้ง วันนี้เขาจะคิดเช่นนี้ได้ยังไง
“ไม่จริง เธอไม่มีทางพาจื่อรั่วไปโรงพยาบาล จื่อหมิงนายอย่าไปเชื่อเธอนะ”
หลี่จื่อชิงที่ถูกจูหลินอิงจับเอาไว้ร้องบอกพร้อมกับดิ้นรนต่อต้านการจับตัว เขาไม่มีทางเชื่อว่าหญิงใจร้ายคนนี้จะพาแฝดผู้น้องของเขาไปโรงพยาบาล เธอไม่ใช่แม่ที่แท้จริงของพวกเขาจะมาใส่ใจพวกเขาได้ยังไง
“จะไปโรงพยาบาลต้องมีเอกสารแสดงตัว คุณเอามาหรือยัง”
“จื่อหมิง นายเชื่อเธอหรือ”
“จื่อรั่วบาดเจ็บ ยังไงก็ต้องไปโรงพยาบาล จื่อชิงนายไปเอาสมุดประจำตัวของเขามา”
ซ่งเจียซินมองเด็กชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกตกใจเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชื่นชม ส่งสายตาให้จูหลินอิงปล่อยคน
“จื่อหมิงนายนี่รอบคอบจริงๆ อิงอิงเธอไปกับจื่อชิงเอาสมุดประจำตัวของจื่อรั่วมา”
“ไม่รู้จักเตรียมพร้อม”
“เอ๋... นี่ฉันชมนายนะทำไมถึงได้...”
“นอกจากเอกสารแสดงตัวแล้ว การรักษายังต้องใช้เงิน คุณเอากระเป๋าเงินมาแล้วใช่ไหม”
ซ่งเจียซินยิ้มแห้ง เมื่อครู่เธอรีบพาหลี่จื่อรั่วขึ้นรถมาด้วยความห่วงใย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสมุดประจำตัวของหลี่จื่อรั่วหรือเงินก็ล้วนไม่ได้หยิบจิดตัวมาเลยสักอย่าง
“สะเพร่า!”
เสียงบ่นเบาๆ ของเด็กชายทำให้ซ่งเจียซินร้อนผ่าวไปทั้งหน้า ทว่าไม่ทันได้พูดตำหนิถึงนิสัยไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ของเขา เด็กชายข้างกายก็ยื่นมือที่ไม่บาดเจ็บมาจับมือเธอเอาไว้ พร้อมส่งเสียงอ้อน
“แม่ หากต้องทำให้คุณเสียเงินอย่างนั้นผมไม่ไปโรงพยาบาลแล้ว แผลนี่ทายาไม่กี่วันก็คงหาย”
หลี่จื่อรั่วแม้จะอายุยังน้อย แต่ก็จดจำคำพูดของคนเป็นพ่อได้ขึ้นใจว่าตอนนี้ที่บ้านของพวกเขาไม่ได้ร่ำรวยเหมือนเมื่อก่อน จะใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไม่ได้
“ไม่ได้!”
หลี่จื่อหมิงพูดแย้งเสียงหนัก เมื่อครู่เขาเห็นบาดแผลของหลี่จื่อรั่วแล้ว แม้จะไม่เข้าใจหลักการรักษา แต่แผลขนาดใหญ่แบบนี้แค่ทายาคงไม่พอ
“จื่อหมิง ฉันไม่เป็นไร ปกติพวกเราเป็นแผลก็แค่ทายาไม่ใช่เหรอ”
“แต่...”
หลี่จื่อหมิงเม้มริมฝีปากกำหมัดแน่น พวกเขาสามคนแม้เกิดวันเวลาเดียวกัน แต่ตัวเขาที่ถูกยกให้เป็นพี่ใหญ่ย่อมสมควรปกป้องน้องทั้งสอง
“เสวี่ยชิงหยวน ถ้าคุณยอมจ่ายค่ารักษาให้จื่อรั่ว ผมจะ... “
ซ่งเจียซินเดิมทีก็คิดจะรับผิดชอบค่ายาให้หลี่จื่อรั่วอยู่แล้ว แต่เมื่อได้ยินว่าหลี่จื่อหมิงมีข้อเสนอแลกเปลี่ยนดวงตากลมก็เปล่งประกายเจ้าเล่ห์
“จะอะไร...”
“จะยอมเชื่อฟังคุณ”
“ได้ตกลง!”
แม้จะเพิ่งเห็นหน้าและทำความรู้จักกัน แต่ซ่งเจียซินก็สัมผัสได้ว่าหลี่จื่อหมิงมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของพวกเขาทั้งสามคนมากที่สุด ขอเพียงสามารถทำให้เขายอมรับเธอได้ การทำลายกำแพงใจคนที่เหลือก็ไม่ยากแล้ว
........................................
ซ่งเจียซิน นั่งอยู่กับเด็กชายทั้งสองและจูหลินอิง สายตามองไปที่ประตูห้องฉุกเฉินเบื้องหน้าด้วยความอดทน บาดแผลน้ำร้อนลวกของหลี่จื่อรั่วนั้นเธอรู้ดีว่าไม่อันตรายถึงชีวิต แต่เพราะมีขนาดใหญ่มากกว่าครึ่งแขนสิ่งที่เธอกังวลก็คืออาการติดเชื้อแทรกซ้อน ซึ่งไม่รู้ว่าหากเป็นเช่นนั้นช่วงยุคที่ทุกอย่างกำพัฒนาในตอนนี้จะสามารถรักษาเขาได้หรือไม่
“โอว้... ดูสินั่นใครกัน”
เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น หากแต่ซ่งเจียซินไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจ จนกระทั่งเจ้าของเสียงเดินมาหยุดที่เบื้องหน้าของเธอ
ไม่ไปหาเรื่อง เรื่องกลับมาหา คำนี้ช่างเหมาะสมกับเธอในเวลานี้นัก
แม้ว่าในครั้งแรกซ่งเจียซินจะจำไม่ได้ว่า เสวี่ยชิงหยวนผู้เป็นเจ้าของร่างเดิมรู้จักผู้หญิงตรงหน้าหรือไม่ แต่สายตาและท่าทางที่อีกฝ่ายจ้องมองมาก็ทำให้คาดเดาได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเสวี่ยชิงหยวนและผู้หญิงคนนี้ต้องไม่ดีอย่างแน่นอน
พลันวีรกรรมในอดีตของเสวี่ยชิงหยวนผุดขึ้นมาในความคิด ซ่งเจียซินหน้าร้อนผ่าว เมื่อค่อยๆ จำได้ว่าผู้หญิงตรงหน้านี้ก็คือ สิงฉู่หรัน เพื่อนสนิทร่วมชั้นเรียนของเสวี่ยชิงหยวน
ในช่วงสามเดือนก่อนที่เสวี่ยชิงหยวนจะแต่งงานกับหลี่อี้โจว เฉินเซียวกับเสวี่ยชิงหยวนบังเอิญได้รู้จักกันผ่านการแนะนำของ
สิงฉู่หรัน ก่อนที่เฉินเซียวจะแสดงชัดเจนว่าสนใจและต้องการคบหากับเสวี่ยชิงหยวนอย่างออกนอกหน้า โดยที่เบื้องหลังแอบไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสิงฉู่หรัน“เป็นเธอที่ไม่มีความสามารถ ผู้ชายคนเดียวก็เอาไม่อยู่ อีกอย่างเขามาชอบฉันเอง จะโทษฉันได้ยังไง”
“เสวี่ยชิงหยวน เธอมันเพื่อนทรยศ รู้ทั้งรู้ว่าคุณเฉินกับฉันเป็นอะไรกันยังมายั่วยวนเขา”
“ยั่วยวน! ก็แค่เจ้าของสตูดิโอถ่ายรูปธรรมดาๆ คนอย่างนั้นน่ะไม่อยู่ในสายตาของฉันเลยสักนิด แต่มาคิดๆ ดูหน้าตาเขาก็ไม่เลว อืม... งั้นฉันขอยืมมาควงเล่นสักเดือนสองเดือนก็แล้วกันนะ”
เสวี่ยชิงหยวน! เหตุใดเธอจึงเอาแต่สร้างปัญหาไปทั่วแบบนี้นะ ซ่งเจียซินก่นด่าเจ้าของร่างเดิมในใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วตนเองก็จำไม่ได้ แต่เรื่องในอดีตที่อีกฝ่ายทำ ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ในตอนนี้มันก็คือเรื่องที่เธอทำ และต้องรับผิดชอบ
“เรื่องในอดีตเป็นฉันที่ผิดต่อเธอเองขอโทษด้วย”
ในเมื่อผิดก็แค่ต้องรู้จักขอโทษและสำนึก ซ่งเจียซินไม่ใช่คนปากหนักไร้เหตุผลเรื่องแค่นี้จึงไม่ละอายที่จะทำ เพียงแต่เธอยินดีทำเรื่องที่สมควรทำแล้วแต่คนตรงหน้ากลับไม่ยินยอมปล่อยผ่าน
“ขอโทษอย่างนั้นเหรอ เสวี่ยชิงหยวน! เธอคิดจะเสแสร้งให้ใครดู”
ซ่งเจียซินถอนหายใจอย่างระอาใจ ในเมื่อขอโทษไปแล้วอีกฝ่ายไม่คิดยอมรับก็ช่างเถอะ ตอนนี้สิ่งสำคัญก็คืออาการบาดเจ็บของหลี่จื่อรั่ว
“เสวี่ยชิงหยวน! นี่เธอจงใจยั่วโมโหฉันใช่ไหม”
สิงฉู่หรันเดินเข้ามาจับแขนของเสวี่ยชิงหยวนกระชากขึ้นตัวลอยลุกขึ้นยืนตามแรงของตนเอง หากแต่อีกฝ่ายไม่ได้กรีดร้องโวยวายเช่นทุกครั้ง กลับขมวดคิ้วเรียวจ้องมองมือของเธอ พร้อมกับบอกเตือนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ปล่อยฉัน!”
“เหอะ... ทำไม ไม่โวยวายกรีดร้องคิดรักษาภาพลักษณ์ของแม่เลี้ยงแสนดีต่อหน้าไอ้เด็กเหลือขอพวกนี้เหรอ”
“พวกเราไม่ใช่เด็กเหลือขอนะ!”
หลี่จื่อชิงลุกขึ้นตะโกนตอบพร้อมกับเข้ามาผลักสิงฉู่หรัน แต่แรงน้อยๆ ของเขาไม่กระทบกระเทือนหญิงสาวเลยสักนิด ยังถูก
สิงฉู่หรันผลักกลับจนล้มลงไปกองบนพื้น หลี่จื่อหมิงรีบเข้ามาประคองแฝดผู้น้อง ตวัดสายตาแข็งกร้าวมองคนลงมือด้วยความไม่พอใจ“ทำไมไม่พอใจอย่างนั้นเหรอ เหอะ! เด็กถูกทิ้งอย่างพวกนายจะทำอะไรฉันได้”
“พวกเขาทำไม่ได้ แต่ฉันทำได้!”
........................................
ซ่งเจียซินมองดูบัตรเชิญที่ตงซางยื่นให้แล้วขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย“สมาคมฟู่หลันอย่างนั้นหรือ ทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”“เป็นสมาคมที่ตระกูลฟู่ก่อตั้งขึ้นครับ เห็นว่าก่อตั้งมาเพียงสามปีก็ได้รับความนิยมจากผู้คนจำนวนมาก มีทุนสนับสนุนหมุนเวียนปีละหลายล้านหยวนเลยทีเดียว”ทุนสนับสนุนหมุนเวียนปีละหลายล้านหยวน จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ที่จะมีคนบริจาคเงินสนับสนุนด้วยงบประมาณที่สูงถึงเพียงนั้น เว้นแต่ว่ากิจการสมาคมนี้เบื้องหลังจะไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อผลประโยชน์ทางการกุศลเพียงอย่างเดียว ทว่าตระกูลฟู่นี้ทำไมจึงรู้สึกคุ้นหูนัก“ตระกูลฟู่... ทำไมฉันถึงได้คุ้นหูจัง”“อาจเป็นเพราะนายท่านตระกูลฟู่ ก็คือบิดาบุญธรรมของคุณเจียงครับ”“บิดาบุญธรรมของเจียงชิงชุน?”“ครับ ตระกูล เป็นผู้ประกอบกิจการรายใหญ่ของประเทศ ผลิตอุปกรณ์และยาทางการแพทย์ครับ”“กิจการของตระกูลเสวี่ยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลฟู่ดังนั้นงานเลี้ยงนี้คงไม่เหมาะสมที่จะไป”ในเมื่อไม่มีเหตุผลทางธุรกิจ และไม่มีความจำเป็นในความสัมพันธ์ส่วนตัวซ่งเจียซินก็คิดว่าเธอไม่ควรสอดมือเข้าไปในพื้นที่ที่ไม่น่าไว้วางใจนี้ มือเรียวจึงวางบัตรเชิญ
ซ่งเจียซินแทบจะสำลักข้าวต้มเมื่อหลี่โจวอี้แจ้งข่าวว่าตนเองทำเรื่องย้ายกลับเข้าเมืองได้สำเร็จแล้ว และนับจากวันนี้ไปเขาจะอยู่ที่บ้านทุกวัน“คุณหลี่ เมื่อครู่คุณบอกว่ายังไงนะคะ”“ผมบอกว่าตอนนี้ผมทำเรื่องย้ายมาสังกัดในเมืองได้แล้ว ต่อไปก็สามารถอยู่กับลูกและคุณได้ทุกวัน”อยู่ได้ทุกวัน เพียงแค่คิดซ่งเจียซินก็รู้สึกว่าเส้นเลือดที่ขมับปูดโปนขึ้นมา สบดวงตาคมที่จ้องมองแล้วยิ้มแห้ง ทว่ายังไม่ทันพูดอะไรเสียงรถคันหนึ่งก็ขับมาจอดที่หน้าประตูรั้ว“คุณไป๋ชิงหลันมาพบคุณหลี่ค่ะ”หูหลันอิงเข้ามารายงานด้วยท่าทางสงบนิ่งหากแต่หางตาลอบมองผู้เป็นนายสาวด้วยความห่วงใย ซ่งเจียซินตวัดสายตามองชายหนุ่มหัวโต๊ะแล้วถอนหายใจยาว ช่างเป็นบุรุษมากเสน่ห์จริงๆ“อย่างนั้นคุณก็คุยกับเพื่อนสนิทไปก่อนก็แล้วกันนะคะ วันนี้ฉันจะไปส่งเด็กๆ เอง”พูดจบซ่งเจียซินก็ลุกขึ้น ไม่ต้องเอ่ยชวนเด็กชายทั้งสามก็ลุกขึ้นลงจากเก้าอี้ตามมารดาเลี้ยงในทันที“พ่อใจร้าย”หลี่จื่อรั่วพูดเสียงน้อยใจก่อนเดินออกไป ตามด้วยพี่ชายทั้งสองสีหน้าและแววตาชัดเจนว่าไม่พอใจคนเป็นพ่อเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน“เดี๋ยวก่อน ผมไม่ได้...”“โจวอี้...”หลี่โจวอี้พูดไม่ทันจบประโย
ข่าวเรื่องลูกค้าระดับแบล๊กโกล์ดคลาสของร้านเพชรเสวี่ยจะได้เลือกชมตัวอย่างแบบร่างเครื่องเพชรของนักออกแบบอันลู่ซือก่อนผู้อื่นทำให้บรรดาสมาชิกผู้ถือบัตรต่างพากันเข้าซื้อสินค้าในร้านเพชรเสวี่ยเพื่อเพิ่มระดับบัตรสมาชิกของตัวเอง เพียงระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์สร้างรายได้ให้กับร้านเสวี่ยมากกว่าสามล้านหยวน ทำลายยอดสถิติหลายปีที่ผ่านมาของเสวี่ยกรุ๊ปจนบรรดาผู้ถือหุ้นทั้งหลายต่างพากันตกใจและเมื่อถึงกำหนดส่งบัตรเชิญจำนวนลูกค้าผู้ถือบัตรสมาชิกระดับแบล๊กโกล์ดคลาสจากสิบกว่าคนก็เพิ่มยอดเป็นสามสิบคน คิดคำนวณดูแล้วเพียงแค่กลุ่มลูกค้านี้ก็สร้างรายได้ให้ร้านเสวี่ยถึงสามล้านหยวนแล้ว“ไฉ่หงทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม”“เรียบร้อยดีค่ะ”ซ่งเจียซินที่มาตรวจสอบความเรียบร้อยของการจัดงานสอบถามกวนไฉ่หง โดยวันนี้เธอได้มอบหมายให้ตงซางเข้าไปต้อนรับสมาชิกและดูแลความเรียบร้อยด้านใน แต่หากมีเรื่องผิดพลาดหรือปัญหาใดๆ เกิดขึ้นตัวเธอก็จะรอจัดการอยู่ที่ด้านนอก“ยอดการสั่งจองเป็นอย่างไรบ้าง”“แบบร่างทั้งหกสิบแบบที่จะผลิตในปีนี้ถูกสั่งจองไว้ทั้งหมดแล้วค่ะ”“ดี!”และเพราะแบบร่างทั้งหกสิบแบบที่อันลู่ซือออกแบบไว้ก็ถูกสั่งจองไปจนหมด ทำให้ที
หลังจากงานเลิก ซ่งเจียซินก็พาเด็กชายทั้งสามแยกตัวออกจากงาน อาจเพราะเป็นเวลาที่ดึกมากแล้วดังนั้นขึ้นรถมาได้ไม่นานทั้งสามคนก็เอนหลับ ดวงตากลมมองศีรษะเล็กของหลี่จื่อรั่ว และ หลี่จื่อชิงที่นอนซบอยู่บนตักนุ่ม ขณะที่หลี่จื่อหมิงนั่งนิ่งแผ่นหลังตรงราวกับยังมีสติครบ เพียงแต่ดวงตาที่ปิดสนิทกับลมหายใจที่สม่ำเสมอก็ทำให้ซ่งเจียซินรับรู้ได้ว่าเขาเองก็หลับแล้วเช่นกัน“คุณชายทั้งสามยังเด็ก ออกงานครั้งแรกมีปัญหาอะไรไหมคะ”“ไม่มี”เมื่อตอบจูหลินอิงไปแล้วซ่งเจียซินก็อดคิดถึงภาพสามคุณหนูที่ถูกเด็กชายทั้งสามลงมือไม่ได้“ถึงมีฉันก็จะปกป้องพวกเขาเอง”“คุณหนูดีกับคุณชายน้อยทั้งสามคนขนาดนี้ คุณหลี่ก็ยังคิดมอบใบหย่าคุณอีก ช่างเป็นบุรุษที่ใจร้ายจริงๆ”ในรถพลันเงียบลงในทันทีจูหลินอิงที่รู้ว่าตนเองพูดเรื่องที่ไม่สมควรออกมาก็รีบกล่าวขอโทษแล้วหันกลับไปนั่งนิ่งไม่พูดอะไรอีกซ่งเจียซินปวดหนึบในใจ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่แต่เธอรู้สึกรักและผูกพันจนไม่อยากจากเด็กชายทั้งสามไปเลย ดวงตากลมเสมองไปนอกหน้าต่างเพื่อขับไล่ความรู้สึกในอก จึงไม่เห็นมือเล็กของหลี่จื่อหมิงที่กำแน่นเข้าหากันบิดาของเขาคิดจะมอบใบหย่าให้มารดาเลี้ยงอย่า
“ชิงหยวน เป็นอย่างไรบ้าง”อวี้ซูซินเห็นลูกสาวของตนเองเดินกลับออกมาก็เอ่ยถามด้วยสีหน้ากังวล เช่นเดียวกับเสวี่ยตงฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ“ลูกไม่ต้องห่วง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพ่อจะสนับสนุนลูกเอง”“ขอบคุณค่ะ”เพราะยังไม่แน่ใจว่าสิงฉู่หรันจะช่วยเหลือจากใจจริงหรือไม่ ซ่งเจียซินจึงทำได้เพียงหมุนตัวไปทางเวทีด้านหน้า พลันแสงไฟในงานก็ดับลง เหลือเพียงแสงที่สาดขึ้นบนเวทีซ่งเจียซินจดจ้องบนลานเดินที่บรรดานางแบบกำลังทยอยเดินออกมา บนตัวของพวกเธอแต่ละคนต่างสวมเครื่องเพชรหรูหรา โดยมีพิธีการชายหญิงคอยอธิบายถึงคุณสมบัติต่างๆ ของผลงานแต่ละชิ้น“และในลำดับต่อไปเป็นเครื่องเพชรจากร้านเสวี่ยครับ”สิ้นเสียงของพิธีกรสิงฉู่หรันในชุดสีดำวาวก็เดินออกมายังเบื้องหน้าเวที ด้วยรูปลักษณ์และใบหน้าที่โดดเด่น อีกทั้งท่วงท่าสง่างาม แน่นอนว่าเธอย่อมเป็นจุดสนใจของผู้คนในทันทีที่ปรากฏตัว“นั้นคุณสิงฉู่หรัน ดาราดังไม่ใช่หรือ”“ได้ยินว่าเธอไม่รับงานเดินแบบนี่นา ไม่คิดเลยว่าร้านเสวี่ยจะสามารถเชิญเธอมาเดินแบบให้ได้”เสียงผู้คนดังขึ้น เสวี่ยชิงหยวนจ้องมองไปบนเวทีด้วยหัวใจที่สั่นระรัว สองมือข้างลำตัวกำแน่นด้วยความกังวล ก่อนจะสัมผัสได้ถึง
“คุณหนูเสวี่ยครับเกิดเรื่องแล้ว”“เรื่องอะไร”“นางแบบที่จะสวมชุดเครื่องเพชรของร้านเราขึ้นเวทีเป็นลมหมดสติไปกะทันหันครับ”ซ่งเจียซินขมวดคิ้วเรียวแน่น ในแววตามีความกังวลและสงสัยเกิดขึ้นทันทีที่ฟังคำรายงานของตงซางจบ เพียงแต่ตอนนี้สิ่งสำคัญไม่ใช่การหาสาเหตุการเกิดปัญหา แต่คือการหาวิธีแก้ไขปัญหา“คุณแม่คะ ฉันฝากเด็กๆ ไว้สักครู่นะคะ”“ได้!แม่จะดูแลพวกเขาเอง ลูกไปจัดการธุระเถอะ”“แม่ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะดูแลน้องๆ เอง”หลังจากได้รับคำตกลงจากมารดา และคำมั่นจากหลี่จื่อหมิงซ่งเจียซินก็วางใจเร่งเดินไปที่ห้องด้านหลังเวทีในทันที“คุณเสวี่ย พวกเราจะทำยังไงดี”อันลู่ซื่อถามด้วยความร้อนใจ บรรยากาศในห้องแต่งตัวเวลานี้เต็มไปด้วยความตึงเครียด แม้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นเหตุสุดวิสัย และทางสมาคมหมิงหลันไม่ได้ตำหนิพวกเธอร้านเสวี่ย แต่สำหรับซ่งเจียซินแล้วนี่กลับเป็นการขาดทุนมหาศาลหากไม่ได้ขึ้นเวทีเครื่องเพชรของเธอก็จะไม่ได้ถูกนำเสนอ ชื่อร้านเสวี่ยก็จะไม่มีการประกาศ เช่นนี้แล้วทุกอย่างที่ลงแรงไปก็เท่ากับศูนย์เปล่า“นางแบบเป็นยังไงบ้าง พาไปโรงพยาบาลหรือยัง”“เรียบร้อยแล้วครับ”ในสถานการณ์เช่นนี้ซ่งเจียซินไม่ไ