บทที่ 50
การตัดสินใจของจางต้วน
ในวันเดียวนั้นเอง ก่อนจะถึงเวลากินข้าวเย็น จางต้วนถามตงตงกับเม่ยเม่ยว่าอยากหนังสือหรือไม่
ตงตงคิดว่าพ่อจะบังคับให้ไปสถานศึกษาของอาจารย์เหิง เด็กชายไม่อยากถูกเพื่อนล้อเรื่องที่พ่อแม่หย่ากัน หนำซ้ำแม่ยังมีคดีติดตัว เลยโวยวายใส่พ่อเสียยกใหญ่ ทั้งยังลงไปนอนดิ้นบนพื้นอย่างเอาแต่ใจ
ส่วนเม่ยเม่ยก้มหน้า ทำหน้าลังเล นางอยากเรียนหนังสือ แต่กลัวเพื่อนในห้องเรียนจะรังแกเหมือนที่ผ่านมา
จางต้วนเข้าใจความรู้สึกของลูกๆ แต่ก่อนอื่น ขอจัดการเจ้าดื้อสักทีเถอะ!
ชายหนุ่มสูดหายใจลึกอย่างเหลืออด ใช้กำปั้นเขกกระโหลกเจ้าลูกชายตัวแสบไปทีหนึ่ง
โป้ก!
“โอ้ย ข้าเจ็บนะ” ตงตงหยุดดีดดิ้นบนพื้น ยกสองมือขึ้นกุมหัวตัวเอง
จางต้วนส่ายหน้าอย่างเอือมระอา เขาไม่ได้เขกหัวเจ้าเด็กดื้อแรงเลยสักนิด แค่ทำให้เงียบเท่านั้นเอง
“ท่านพ่อ เรื่องเรียน ข้า…ข้าน่ะ” เม่ยเม่ยเป็นคนไม่ค่อยกล้าแสดงออก พอเป็นเรื่องที่ไม่กล้าตัดสินใจ นางจะพูดเสียงเบา จากนั้นก็เงียบไปเฉยๆ
จางต้วนลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกสาว “ไม่เป็นไร พ่อไม่ได้บังคับอะไรพวกเจ้า ถ้าไม่อยากกลับไปที่สถานศึกษาของอาจารย์เหิง ก็ไม่ต้องไป แต่ที่พ่อถามคือ พวกเจ้าอยากไปเรียนกับบ้านลู่หรือไม่”
ดวงตาเชื่องซึมของเม่ยเม่ยแวววาวขึ้นมาทันที หลังได้ยินคำว่าบ้านลู่
“เรียนกับน้องสาวเป่าเอ๋อร์หรือ?”
เม่ยเม่ยคงชอบเป่าเอ๋อร์ไม่น้อย ถึงได้เปลี่ยนสีหน้าเป็นสดใส จางต้วนคิดแล้วพยักหน้า
“ห๊ะ!? จะให้ข้าไปเรียนกับคนพวกนั้นหรือ ไม่เอา ม่ายอาว”
ตงตงโวยวาย ตอนที่ทำท่าจะลงไปดิ้นกระแด๋วบนพื้นอีกรอบ จางต้วนก็ยกกำปั้นขึ้นข่มขู่ เด็กชายจึงยืนหลังตรงแน่วเหมือนกับทหารเกณฑ์
จางต้วนส่ายหน้าแล้วย้ำกับลูกทั้งสองอีกครั้ง ที่ที่จะไปเรียนไม่ใช่สถานศึกษาของอาจารย์เหิง แต่เป็นบ้านลู่
เม่ยเม่ยฟังจบก็ทำหน้าคาดหวัง
แม้เด็กหญิงไม่กล้าบอกความต้องการของตนเองออกมา แค่เห็นสีหน้า จางต้วนก็เดาความคิดของลูกสาวออก
นางอยากไปเจอเป่าเอ๋อร์นั่นเอง
จากนั้น จางต้วนก็ตวัดสายตามองตงตง ก่อนจะถาม “แล้วเจ้าล่ะ จะเอายังไง”
แม้ปากถามความสมัครใจของลูกชาย แต่กลับชูกำปั้นไว้รอแล้ว
ตงตงรีบพยักหน้าหงึกหงัก “ข้าจะเรียนขอรับ!”
วันต่อมา จางต้วนจูงมือเม่ยเม่ยมายังสวนของลู่ซินฟางเพื่อสอบถามรายละเอียดการเรียนกับเหนียงซิ่น
เหนียงซิ่นอธิบายบอกว่า ตอนนี้อาจารย์ที่สอนหนังสือเด็กๆ มีแค่คนสองคน หลางไป๋กับชิงเหลียน คนหนึ่งสอนวิชาอ่านเขียน อีกคนสอนวิชานับเลข ล้วนเป็นวิชาพื้นฐาน ดังนั้นจึงเรียนกันแค่อาทิตย์ละ 2 วัน
สำหรับจางต้วแค่นี้นับว่าดีมากแล้ว เด็กๆ มีความรู้ติดตัว ไม่เสียเปรียบคนอื่นก็พอ
อีกอย่างหนึ่ง พอได้พูดคุยกับคนของลู่ซินฟาง ถึงพบว่าพวกเขาล้วนเป็นมิตรกันทุกคน
ราวๆ 1 สัปดาห์หลังจากนั้น
จางต้วนนั่งรถเทียมวัว พาตงตงกับเม่ยเม่ยเข้ามาในตัวเมืองเล่ออัน พอเดินมาถึงหน้าคฤหาสน์ตระกูลลู่ ทั้งสามคนแหงนหน้ามองประตูบานใหญ่ด้วยสายตาตะลึง
สำหรับเด็กทั้งสองไม่ได้คิดอะไรมาก นอกจากคิดว่า ‘บ้านหลังใหญ่จัง’ แต่จางต้วนนั้น ทั้งทึ่งและนับถือลู่ซินฟาง นางเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียว กลับสร้างเนื้อสร้างตัวมาไกลขนาดนี้ น่ายกย่องเสียจริง
จางต้วนเคาะประตูหน้า รออยู่สักพัก ชายหนุ่มหน้าดี แต่งตัวสะอาดสะอ้าน รูปร่างสูงโปร่งก็ออกมาเปิดประตูให้
จางต้วนจำได้แม่น ชายคนนี้ชื่อหลางไป๋ เคยเจอกันที่ศาลาว่าการครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มคนนี้ไม่เพียงเป็นผู้ดูแลร้านซินหลินแทนลู่ซินฟาง ยังสอนวิชาอ่านเขียน วันนี้หลางไป๋อยู่ที่คฤหาสน์ หมายความว่าเด็กๆ จะได้เรียนวิชาอ่านเขียนนั่นเอง
จางต้วนก้มศีรษะทักทายหลางไป๋อย่างมีมารยาท
เม่ยเม่ยเห็นคนเป็นพ่อทำเช่นนั้น นางจึงก้มศีรษะเคารพชายหนุ่มเช่นกัน
ทว่า เจ้าลิงน้อยตัวแสบตงตงแกล้มเมินหลางไป๋ ประสานมือไว้บนท้ายทอย ผินหน้ามองทางอื่น ทำท่าผิวปากแบบไม่มีเสียง
จางต้วนเห็นแบบนี้ก็กุมขมับ ก่อนสั่งลูกชายด้วยการจับศีรษะของเขาให้หันกลับมา แล้วบอกให้เคารพอาจารย์
เหตุนี้เอง ตงตงตัวแสบจึงยอมโค้งตัวคำนับให้กับหลางไป๋
“ท่านจางต้วนเชิญข้างในขอรับ” หลางไป๋เชิญทั้งสามเข้ามาในคฤหาสน์
“เอ่อ เรียกข้าว่าจางต้วนเฉยๆ ก็ได้ อีกอย่าง ข้าพูดแบบทางการไม่เก่ง ต้องขออภัยท่านอาจารย์หลางไป๋ล่วงหน้าด้วย”
หลางไป๋ทำหน้าครุ่นคิด เพียงครู่ สีหน้าเรียบเฉยค่อยเปลี่ยนเป็นผ่อนคลาย “ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็เรียกข้าว่าหลางไป๋เฉยๆ เถอะ พวกเราอายุห่างกันไม่มาก ทำตัวตามสบายกันดีกว่า ยังไงก็คนกันเอง”
จางต้วนยิ้มแล้วพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ในจังหวะนั้น เสียงเล็กสดใสของเด็กหญิงตะโกนเรียกเม่ยเม่ย พอหันมองก็เห็นว่าเป็นเป่าเอ๋อร์ตัวน้อยที่วิ่งตรงมาทางนี้ ข้างหลังของนางคือพี่เลี้ยงนามว่าชุน
“พี่เม่ยเม่ยมาแล้ว!”
เม่ยเม่ยเห็นเป่าเอ๋อร์ก็ยิ้มโดยพลัน “เป่าเอ๋อร์”
เด็กหญิงทั้งสองจับมือยิ้มแย้มให้กันด้วยความสนิทสนม เป่าเอ๋อร์เงยหน้ามองชุน บอกอย่างตื่นเต้นว่า “พี่สาวชุน ข้าอยากพาพี่เม่ยเม่ยไปดูผักที่ปลูกได้หรือไม่”
ชุนพยักหน้ายิ้ม “กว่าจะถึงเวลาเรียนยังพอมีเวลาอยู่ เช่นนั้นไปกัน”
“เย่!”
เป่าเอ๋อร์ชูสองมือเหนือศีรษะ ก่อนจูงมือเม่ยเม่ยมาดูต้นผักของนางที่อยู่ในสวนใกล้ๆ กับลานกว้างของคฤหาสน์
อย่างที่รู้ เป่าเอ๋อร์ชอบกินและชอบทำสวน นอกจากสวนผักที่อยู่หลังร้านซินหลินแล้ว นางยังอ้อนวอนขอมารดาปลูกผักที่คฤหาสน์ด้วย ตอนแรกลู่ซินฟางไม่เห็นด้วย เพราะกลัวว่านางจะดูแลสวนผักไม่ทั่วถึง ต่อมา สยงจวินบอกว่าจะทำกระถางให้ สามารถย้ายไปไหนก็ได้ เหนียงซิ่นยังเสนอความคิดอีกว่า ถ้าเป่าเอ๋อร์คนเดียวดูแลไม่ไหว ทำไมไม่เพิ่มวิชาเกษตรในการเรียนการสอนเล่า เด็กๆ ทุกคนจะได้ช่วยกันดูแล
ด้วยเหตุนี้เอง ลู่ซินฟางจึงยอมให้เป่าเอ๋อร์ปลูกผักที่นางชอบในคฤหาสน์
“ผักของเจ้างามจัง เป่าเอ๋อร์”
“กระถางนี้คือแครอท ตรงนี้คือกุ้ยช่าย อันนี้กระหล่ำปลี แล้วก็พริกหวาน” นิ้วเล็กป้อมชี้แต่ละกระถางพร้อมส่งเสียงใสแจ๋ว
“เจ้าปลูกเยอะแยะเลย เก่งจัง” เม่ยเม่ยชื่บอกอย่างภูมิใจ
“อย่างนั้นหรือ กระถางของเจ้าก็สวยมากด้วย กระถางนี้มีขายที่ไหนหรือ ข้าอยากได้บ้าง”
กระถางที่เป่าเอ๋อร์ใช้ ทำจากไม้กระดานที่นำมาตีเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า สยงจวินเป็นคนทำกระถางพวกนี้ พอวางเรียงกันจะดูเป็นระเบียบร้อยกว่าปลูกลงดิน ทั้งยังขนย้ายได้ด้วย แต่ละกระถางจะมีป้ายชื่อผักแต่ละชนิดเขียนแล้วปักเอาไว้ เป่าเอ๋อร์ยังอ่านหนังสือไม่ออก นางใช้ความจำถึงบอกชื่อผักแต่ละชนิดถูก
“ลุงจวินเป็นคนทำกระถางนี้ ถ้าพี่เม่ยเม่ยชอบ เป่าเอ๋อร์จะยกให้”
“เอ๊ะ มะ…ไม่ต้องหรอก”
“ถ้าคุณหนูเป่าเอ๋อร์บอกอย่างนั้น คุณหนูเม่ยเม่ยรับไว้เถอะขอรับ” หลางไป๋บอก
“แค่ให้มาเรียนด้วย พวกเราก็เกรงใจจะแย่แล้ว ยังจะให้กระถางราคาแพงนั้นอีก ข้าคงรับไม่ไหว” จางต้วนบอกอย่างเกรงใจ
“ไม่ใช่ของดีหรือราคาแพงอะไรหรอก ไม้ก็หาจากภูเขาท้ายหมู่บ้าน อีกอย่าง พวกเราดีใจที่คุณหนูเป่าเอ๋อร์มีเพื่อนวัยไล่เลี่ยกัน” พอพูดถึงตรงนี้ หลางไป๋ย่อตัวนั่งยองๆ ตรงหน้าเม่ยเม่ย “คุณหนูเม่ยเม่ย จากนี้ก็ฝากคุณหนูเป่าเอ๋อร์ด้วยนะ”
แม้ไม่แน่ใจว่าใครต้องดูแลใครกันแน่ กระนั้น เม่ยเม่ยก็พยักหน้าเบาๆ “จะ…เจ้าค่ะ”
“เป็นเด็กดีจริงๆ” หลางไป๋เอ่ยชม ก่อนตัดบทปุบปับ “เอาละ ใกล้ถึงเวลาเรียนแล้ว ไปห้องเรียนกันดีกว่า”
เป่าเอ๋อร์ได้ยินถ้าถึงเวลาเรียนแล้วก็ทำไหล่ห่อเหี่ยวทันที
เห็นความน่ารักของสหายตัวน้อย เม่ยเม่ยก็ปิดปากหัวเราะ “เจ้าไม่ชอบเรียนหรือ”
ศีรษะเล็กๆ ของเป่าเอ๋อร์ขยับขึ้นลงอย่างซื่อตรง “ข้าไม่ชอบตัวหนังสือกับตัวเลข เห็นแล้วปวดหัวทันทีเลย”
เม่ยเม่ยจับมือเป่าเอ๋อร์แล้วบอก “ไม่เป็นไรนะ เรามาค่อยๆ เรียนไปด้วยกัน”
“ก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้น ช่วงบ่ายข้าจะมารับ ฝากด้วยนะขอรับ” จางต้วนพูดพร้อมกับก้มศีรษะให้กับหลางไป๋และชุน
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พวกเราจะดูแลเด็กๆ ให้เอง” ชุนยืดอกตอบรับ
พอจางต้วนออกจากคฤหาสน์ตระกูลลู่ไปแล้ว ชุนพาเด็กทั้งสามมาที่ห้องเรียน ในห้องมีโต๊ะเรียงเป็นแถว แถวละสามโต๊ะ แต่ละโต๊ะยังมีหนังสือเรียน สมุด พู่กันและจานฝนหมึกวางตรงมุมโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ
บทที่ 94ตอบรับคำเชิญของกงเยียนซู พอถึงเวลาที่ต้องกลับ เป่าเอ๋อร์ร้องไห้งอแง เฉิงเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า เด็กทั้งสองกอดเอวลู่ซินฟาง บอกว่าอยากอยู่ที่แดนสวรรค์ต่อ ลู่ซินฟางต้องสัญญาว่าจะพามาเที่ยวอีก พวกเขาถึงยอมฟังแต่โดยดี ได้เที่ยวเล่นกันทั้งวัน พอกลับมาถึงคฤหาสน์ อาบน้ำและกินมื้อค่ำจนอิ่ม เด็กทั้งสองก็หลับปุ๋ยในทันที วันถัดมา หลางไป๋เดินทางมาที่โรงเตี๊ยมตระกูลกง แจ้งเรื่องที่ลู่ซินฟางตอบรับคำเชิญกินมื้อเย็น ทั้งยังบอกจำนวนคนที่จะมา หลักๆ คือลู่ซินฟางกับเจ้าแฝด หลางไป๋และซินหลิน ส่วนชุนกับคนอื่นๆ ไม่ได้มาด้วย พวกเขาให้เหตุผลว่าวางตัวไม่ถูกหากต้องร่วมโต๊ะกับคนสูงศักดิ์ ยามพลบค่ำ ทุกคนเตรียมตัวเสร็จแล้วก็นั่งรถม้ามายังคฤหาสน์ตระกูลกงตามเวลานัดหมาย กงเยียนซูออกมายืนรอหน้าคฤหาสน์ด้วยตัวเอง หลางไป๋ประสานมือโค้งศีรษะให้กับกงเยียนซู จากนั้นหลุบตามองพวกเด็กๆ เจ้าแฝดทั้งสอง รวมถึงซินหลินที่เห็นอย่างนั้น ก็ประสานมือบนหน้าอกแล้วโค้งศีรษะลง ทำแบบเดียวกันกับหลางไป๋ กงเยียนซูมองเด็กทั้งสามด้วยสา
บทที่ 93เที่ยวชมฟาร์ม กินขนมอิ่มกันแล้ว หลินก็ถามเด็กน้อยทั้งสองว่า “พวกเจ้าอยากไปชมฟาร์มกันไหม?” “ไปขอรับ/เจ้าค่ะ” เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ตอบแบบไม่ต้องคิด เด็กน้อยคิดเหมือนว่า ฟาร์มในแดนสวรรค์กว้างขวางขนาดนี้ ต้องมีพืชผักที่ไม่เคยเห็นอีกเยอะแยะแน่ๆ ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น พอช่วยกันเก็บโต๊ะเสร็จเรียบร้อย ทั้งสี่คนก็เดินมาที่ฟาร์มฟาร์มในมิติมีขนาดกว้างใหญ่กว่าฟาร์มตระกูลลู่ที่อยู่ในหมู่บ้านกว่างซูหลายเท่า เด็กทั้งสองยืนมองสวนผักผลไม้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ “ท่านแม่ ผักผลไม้พวกนี้ใช่ที่ท่านเอาออกไปวางขายในร้านหรือไม่” เฉิงเอ๋อร์เป็นเด็กฉลาด เห็นผักผลไม้ปุบก็เข้าใจทันที ว่าเป็นสินค้าที่มารดาเอาออกไปวางขายในร้าน “เจ้าเข้าใจถูกแล้ว ผักผลไม้ในแดนสวรรค์ แม่แบ่งออกไปขายข้างนอก เพราะพืชในที่แห่งนี้เติบโตเร็วกว่าข้างนอกหลายเท่า” “เป็นแบบนี้เอง” ตอนนั้นเอง สัตว์อสูรในร่างจำแลงมนุษย์ที่กำลังทำสวนหันมาเห็นลู่ซินฟางกับภูตประจำมิติพอดี พวกเขาต่างโบกมือทักทาย “ท่
บทที่ 92พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งหลัง) ใต้ร่มไม้ใหญ่ใกล้กับสวนดอกไม้ข้างบ้านทรงตะวันตกจะมีโต๊ะกลมสีขาวหนึ่งชุด ไม่ไกลจากสวนดอกไม้ มองไปก็จะเห็นฟาร์มอันกว้างขวาง หลังจากตัดสินใจว่าจะนั่งเล่นกันที่ใต้ร่มไม้ เด็กน้อยทั้งสองก็ปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สีขาว เตะขาเล่นในขณะที่รอคอยขนมอร่อยๆ สักครู่หนึ่ง ชุนก็ยกเค้กสตอเบอรี่กับนมอุ่นๆ มาวางบนโต๊ะ ส่วนถาดที่อยู่ในมือของลู่ซินฟางคือชากุหลาบกลิ่นหอมกลมกล่อมกับคุกกี้เนยสด “ท่านแม่ ข้าไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนเลย” เฉิงเอ๋อร์บอกด้วยสีหน้าตื่นเต้น ดวงตากลมโตเปล่งประกายขณะกวาดตามองขนมบนโต๊ะ “น่ากินทุกอย่างเลย ขะ…ข้ากินได้หรือไม่” เป่าเอ๋อร์พูดจบก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “กินกันตามสบายเลยนะจ๊ะ” ลู่ซินฟางบอกพลางลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกน้อยทั้งสอง เจ้าแฝดตัวน้อย รวมถึงภูตน้อยหลิน หยิบส้อมขึ้นมาตักเค้กสตอเบอรี่ส่งเข้าปาก ทันทีที่ได้กินของหวานแสนอร่อย รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าของทั้งสามคน แก้มขาวแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู ทำเอาลู่ซินฟางกับชุนถึงกับยิ้มตาม “อร
บทที่ 91พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งแรก) พอก้าวข้ามประตูมิติ โลกอันงดงามก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน ทุ่งข้าวสีทอง สวนผักผลไม้ ป่าไพรอันสีเขียวขจี และไหนจะธารน้ำอันสดชื่น ดวงตาใสแป๋วของเด็กน้อยทั้งสองเบิกโตด้วยความตื่นเต้น ขณะที่มองไปรอบๆ “แดนสวรรค์สวยจังเลย!” “อื้อ สวยมากๆ” “ยังมีสถานที่ที่สวยกว่านี้อีกนะ” ลู่ซินฟางบอกลูกๆ “อยากเห็นจังเลย ท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์ตื่นเต้นมาก รีบร้องบอกท่านแม่ “ข้าก็ด้วย!” เป่าเอ๋อร์พยักหน้ารัวๆ ระหว่างที่เด็กน้อยทั้งสองกำลังตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมอันงดงามที่อยู่ตรงหน้า เสียงเล็กน่ารักพลันดังขึ้น “งั้นข้าจะเป็นคนนำเที่ยวให้เอง ฮิๆๆ” สิ้นเสียงนั้น ภูตน้อยหลินก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ปีกน้อยขยับไปมาพร้อมกับละอองที่มีเปล่งประกายสีทองวิบวับ เจ้าแฝดเบิกตาโตพร้อมกับร้อง “ว้าว” “พวกเขาคือเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์สินะ”หลังบินวนรอบๆ เด็กน้อยทั้งสอง หลินก็กลับมานั่งบนไหล่ของลู่ซินฟาง หญิงสาวยิ้มแล้วพยักหน้าให้ก
บทที่ 90พาเจ้าแฝดไปต่างมิติ “ท่านจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่ขอรับ” ทันทีที่ลู่ซินฟางเปิดประตูเดินออกจากห้องทำงาน เสียงทุ้มของหลางไป๋ก็ดังขึ้น หญิงสาวหันมอง เห็นหมาป่าหนุ่มยืนกอดอกอยู่ข้างประตู เฮ้อ… ลู่ซินฟางถอนหายใจด้วยรู้สึกคิดไม่ตก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าในชาติก่อนไม่เคยสับสนกับเรื่องแบบนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่” คำพูดของหญิงสาวทำเอาหมาป่าหนุ่มกระดกยิ้มตรงมุมปากอย่างขบขัน “ใครจะคิดว่านายหญิงที่คอยชี้นำเหล่าสัตว์อสูรจะเผชิญกับความสับสนเสียเอง” “ก็ข้าไม่เคยคิดนี่น่า คนที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งแบบกงเยียนซูจะมาสนใจหญิงหม้ายลูกติด” “นายหญิงขอรับ อย่างที่ท่านกงบอกนั่นละ การจะชอบใครสักคนทำไมต้องมีเหตุผล สำคัญกว่าฐานะ นายหญิงคิดเช่นไรกับเขาต่างหาก” ลู่ซินฟางคิดตาม ก็รู้สึกว่าหลางไป๋พูดถูก ปัญหาไม่ใช่เรื่องฐานะ สำคัญที่สุดคือลู่ซินฟางคิดกับกงเยียนซูอย่างไร? อย่างไรก็ตาม ลู่ซินฟางหรี่ดวงตาด้วยความสงสัยขณะจ้องมองหมาป่าหนุ่ม “เมื่อก่
บทที่ 89ถูกสารภาพรักครั้งแรก หมายความว่ายังไง เขาไม่ได้โกหก เขาที่ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า ‘ชอบ’ นาง บอกว่าไม่ได้โกหก ลู่ซินฟางนั่งตัวแข็งทื่อ อึ้งจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะ ต่อมา หัวใจของนางก็เต้นอย่างรุนแรง ใบหน้าร้อนผ่าวและแดงระเรื่อ ในโลกก่อนและโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่ซินฟางถูกชายหนุ่มสารภาพว่าชอบ นางจึงสับสนและรับมือกับอารมณ์ในตอนนี้ไม่ถูก ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาคู่สวยกะพริบมองชายหนุ่มอยู่หลายครั้ง กงเยียนซูเลิกคิ้วมองตอบลู่ซินฟาง ดวงตาของเขาแฝงด้วยความสงสัย ว่ากันตามจริง ลู่ซินฟางไม่ใช่สาวน้อยวัยแรกแย้ม ทำไมท่าทางเขินอายนั้นถึงทำให้รู้สึกราวกับว่านางเพิ่งถูกสารภาพรักครั้งแรก “ท่านไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่หรือไม่” หลังจากเงียบอยู่สักพัก ในที่สุดลู่ซินฟางก็เอ่ยออกมา “ข้าไม่ได้เข้าใจผิด คิดมาดีแล้วถึงได้มาหาเจ้าวันนี้” “ถึงท่านจะพูดแบบนั้น แต่ข้ากลับนึกไม่อออก เหตุใดท่านถึงชอบข้า ทั้งฐานะของข้ากับท่านก็แตกต่างกันมาก” “จ