บทที่ 49
มอบโอกาส (ครึ่งหลัง)
“จริงๆ แล้ว นอกจากมาเยี่ยมพวกเจ้าพ่อลูก ข้ามาเรื่องของตงตงด้วย”
เมื่อจางต้วนเงยหน้าขึ้น ลู่ซินฟางก็พูดเข้าประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม
“ขอไม่ปิดบังเจ้าแล้วกัน ตงตงไม่มีเพื่อนตั้งแต่ข้าหย่ากับแม่ของเขา สถานศึกษาก็ไม่ยอมไป เห็นบอกว่าอายเพราะเพื่อนล้อ เขาก็เลยเอาแต่วิ่งวุ่นไปทั่ว แทนที่จะมาช่วยข้าทำงานสักหน่อย เฮ้อ” จางต้วนบ่นยาว และถอนหายใจตอนท้าย
“อย่างนี้เอง” ลู่ซินฟางพึมพำพร้อมกับครุ่นคิด
เพราะบ้านเจียงมีที่นามากที่สุดในหมู่บ้านกว่างซู ตงตงเลยกล้าทำตัวกร่าง และกลายเป็นหัวโจกของพวกเด็กๆ ในหมู่บ้าน
แต่พอชีวิตพลิกผัน บ้านเจียงติดหนี้ สูญสิ้นที่นาทั้งหมด ทั้งยังกลายเป็นลูกจ้างของลู่ซินฟาง ตงตงเลยถูกเพื่อนๆ ล้อจนไม่กล้าไปเรียน
“แล้วเม่ยเม่ยล่ะ นางมีปัญหาอะไรหรือไม่ ถูกรังแกหรือถูกล้อหรือเปล่า” ลู่ซินฟางถามต่อ
“อย่างที่เจ้าเห็น นางขี้อาย ไม่ค่อยเล่าอะไรให้ฟัง นางไม่ได้ไปเรียนเหมือนกัน ข้าเดาว่าคงถูกล้อเหมือนกัน แต่ว่า นางก็ไม่เคยสร้างปัญหาอะไรให้ข้าเลย คอยช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ และตามข้านั่นแหละ”
“เป็นเด็กดีจริงๆ”
ถึงอย่างนั้น ก็น่าเป็นห่วง
เพราะเป็นเด็กไม่พูดนี่แหละ ถ้าถูกรังแกขึ้นมาก็ไม่มีใครรู้เลย
“จางต้วน ถ้าหากไม่ติดขัดอะไร อยากให้เด็กๆ ไปเรียนที่บ้านข้าหรือไม่”
แม้เด็กผู้หญิงไม่จำเป็นต้องมีความรู้ติดตัว เพราะโตขึ้นก็ต้องออกเรือน แต่สำหรับลู่ซินฟางที่มาจากโลกที่พัฒนาแล้ว การมีวิชาความรู้ตัวนั้นสำคัญมาก
จางต้วนได้ยินอย่างนั้นก็เบิกตากว้าง รีบถามว่า “ให้ลูกๆ ข้าไปเรียนที่บ้านเจ้าได้จริงหรือ”
“รังเกียจหรือ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่” จางต้วนรีบปฏิเสธอย่างจริงจัง “เจ้าต้องจ้างอาจารย์มาสอนถึงบ้าน ไหนจะต้องซื้อโต๊ะเพิ่ม หนังสือ และยังพู่กัน น้ำหมึกอีก ข้าเกรงว่าจะลำบากเจ้า”
“ข้ายังไม่คิดว่าลำบาก เจ้าก็อย่าคิดเช่นนั้นเลย”
“แต่…”
“จ้างอาจารย์มาสอนอะไร ตอนนี้เด็กๆ เรียนรู้เรื่องพื้นฐานจากคนของข้า ว่าไปแล้ว เจ้าพูดถูก ข้าควรหาอาจารย์ดีๆ มาสอนพวกเด็กๆ สินะ”
“ห๊ะ?”
“เอาน่า ถ้าเจ้าลำบากใจ ก็หาเงินเยอะๆ มาทุ่มให้กับการเรียนของลูกๆ ก็พอ ถ้าพวกเขาได้ดิบได้ดีเมื่อไรจะได้ช่วยส่งเสริมลูกข้าด้วย นอกจากเสียจากว่า…” นางเว้นช่วงไปเล็กน้อย แล้วค่อยพูดต่อ “ที่เจ้าไม่ยอมส่งให้พวกเขามาเรียน เพราะยังโกรธแค้นที่ข้าทำให้บ้านเจ้าแตกขาดกัน”
“ไม่ใช่เลย” จางต้วนรีบปฏิเสธอีกครั้ง “อย่างน้อยพวกเจ้าก็ไม่พูดจาซ้ำเติมหรือดูถูกพวกข้าเหมือนบ้านอื่น อีกอย่าง เจียงลิ่วเป็นฝ่ายผิด…ผิดซ้ำๆ ผิดเกินเยียวยา ฝ่ายที่ไม่ควรได้รับการอภัยคือทางนี้ต่างหาก”
ว่าจบ จางต้วนก็ก้มศีรษะให้ลู่ซินฟาง
นางมองเขานิ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “จางต้วน ที่ข้าพูดไปไม่ใช่ความสงสาร แต่การเรียนรู้ของเด็กสำคัญมาก ข้าอยากให้เจ้าส่งลูกมาเรียนกับพวกเฉิงเอ๋อร์ ส่วนรายละเอียด เจ้าไปถามกับเหนียงซิ่นได้เลย นางมาที่สวนทุกวัน”
“ให้โอกาสข้าเช่นนี้ดีแล้วจริงหรือ”
“แล้วทำไมเจ้าถึงว่าเป็นเรื่องไม่ดีกันล่ะ” นางพูดยิ้มๆ “แล้วก็ ข้าไม่ได้ให้โอกาสเจ้าเสียหน่อย ลองมองดูพวกเด็กๆ ให้ดีสิ”
พอลู่ซินฟางพูดจบ จางต้วนก็หันหลับมามองเด็กๆ ที่นั่งใต้ร่มไม้
พวกเด็กๆ นั่งกินซาลาเปาด้วยกัน พูดคุยกัน และยังหัวเราะด้วยกัน
“ต้นมะม่วงตรงนั้นข้าเป็นคนปลูก” เม่ยเม่ยบอก
“จริงหรือ เก่งจัง”
เม่ยเม่ยหน้าแดงเมื่อได้รับคำชม
“แต่…แต่ว่า ต้นยังเล็กอยู่”
“พี่เม่ยเม่ยชอบปลูกผักหรือไม่” จู่ๆ เป่าเอ๋อร์ก็ถาม
“ชอบสิ”
“ข้าก็ชอบ พี่เม่ยเม่ยมาปลูกผักกับข้านะ”
“เจ้าก็ชอบหรือ”
“ชอบมากเลย”
“ไม่ใช่หรอก เป่าเอ๋อร์ชอบกินมากกว่า” เฉิงเอ๋อรฺ์แย้ง
เป่าเอ๋อร์ทำแก้มป่อง
เม่ยเม่ยปิดปากหัวเราะคิกๆ
“สรุปคือ เรามาปลูกผักด้วยกันนะ” เป่าเอ๋อร์สรุป
“อืม” เม่ยเม่ยรับปาก
จากนั้น เจ้าตัวน้อยทั้งสามก็พากันยิ้มแย้มสดใสให้กัน
จางต้วนมองเม่ยเม่ยที่กำลังแย้มยิ้มกับเพื่อนๆ ด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ขณะเดียวกันก็ซาบซึ้งจนทำเอาขอบตาร้อนผ่าว
“นางยิ้มเช่นนั้นเป็นด้วยหรือ”
เม่ยเม่ยไม่ค่อยยิ้ม ไม่ว่าแม่ของนางจะอยู่ที่นี่ด้วยหรือไม่ เด็กหญิงมักจะก้มหน้าและทำตัวเชื่อฟังเสมอ แต่ว่า ตอนนี้นางกลับยิ้มและพูดกับเป่าเอ๋อร์ด้วยสีหน้าสดใส
“ก่อนมาที่นี่ เด็กๆ บอกว่าไม่ลืมเรื่องที่เจียงลิ่วทำไว้” ลู่ซินฟางเปิดประเด็น
จางต้วนหันกลับมามองหญิงสาว
นางกล่าวต่อ “...แต่เด็กๆ กลับเลือกที่จะให้อภัย แล้วบอกว่าพวกเขาคิดแค่เรื่องปัจจุบัน คำพูดแบบนั้น ทำข้าอึ้งเลยทีเดียว”
“ข้าเข้าใจสิ่งที่เจ้าพูดแล้ว ขอบใจมากซินฟาง ถึงจะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ สำหรับเจ้า แต่สำหรับข้ากับลูกๆ มันคือโอกาสที่ยิ่งใหญ่”
เหมือนกับบ้านเจียง หากคนที่ซื้อที่ดินบ้านเจียงไม่ใช่ลู่ซินฟาง ป่านนี้ครอบครัวตระกูลเจียงคงถูกไล่ออกจากที่ดิน คนแก่และเด็กต้องระหกระเหินไปอยู่ข้างถนน
ลู่ซินฟางไม่เพียงใจดียอมซื้อที่ดินบ้านเจียง ยังให้พวกเขาอาศัยอยู่ที่เดิม ทำไร่ทำนาเหมือนเดิม เพียงแต่แค่เปลี่ยนมือเจ้าของเท่านั้นเอง
จางต้วนคิดแล้วก็สรุปได้ “ข้าจะให้พวกเขาไปเรียนกับพวกเฉิงเอ๋อร์ จากนี้ขอรบกวนเจ้าด้วย ซินฟาง”
ลู่ซินฟางยิ้มแล้วตอบ “ได้สิ”
บทที่ 94ตอบรับคำเชิญของกงเยียนซู พอถึงเวลาที่ต้องกลับ เป่าเอ๋อร์ร้องไห้งอแง เฉิงเอ๋อร์น้ำตาคลอเบ้า เด็กทั้งสองกอดเอวลู่ซินฟาง บอกว่าอยากอยู่ที่แดนสวรรค์ต่อ ลู่ซินฟางต้องสัญญาว่าจะพามาเที่ยวอีก พวกเขาถึงยอมฟังแต่โดยดี ได้เที่ยวเล่นกันทั้งวัน พอกลับมาถึงคฤหาสน์ อาบน้ำและกินมื้อค่ำจนอิ่ม เด็กทั้งสองก็หลับปุ๋ยในทันที วันถัดมา หลางไป๋เดินทางมาที่โรงเตี๊ยมตระกูลกง แจ้งเรื่องที่ลู่ซินฟางตอบรับคำเชิญกินมื้อเย็น ทั้งยังบอกจำนวนคนที่จะมา หลักๆ คือลู่ซินฟางกับเจ้าแฝด หลางไป๋และซินหลิน ส่วนชุนกับคนอื่นๆ ไม่ได้มาด้วย พวกเขาให้เหตุผลว่าวางตัวไม่ถูกหากต้องร่วมโต๊ะกับคนสูงศักดิ์ ยามพลบค่ำ ทุกคนเตรียมตัวเสร็จแล้วก็นั่งรถม้ามายังคฤหาสน์ตระกูลกงตามเวลานัดหมาย กงเยียนซูออกมายืนรอหน้าคฤหาสน์ด้วยตัวเอง หลางไป๋ประสานมือโค้งศีรษะให้กับกงเยียนซู จากนั้นหลุบตามองพวกเด็กๆ เจ้าแฝดทั้งสอง รวมถึงซินหลินที่เห็นอย่างนั้น ก็ประสานมือบนหน้าอกแล้วโค้งศีรษะลง ทำแบบเดียวกันกับหลางไป๋ กงเยียนซูมองเด็กทั้งสามด้วยสา
บทที่ 93เที่ยวชมฟาร์ม กินขนมอิ่มกันแล้ว หลินก็ถามเด็กน้อยทั้งสองว่า “พวกเจ้าอยากไปชมฟาร์มกันไหม?” “ไปขอรับ/เจ้าค่ะ” เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ตอบแบบไม่ต้องคิด เด็กน้อยคิดเหมือนว่า ฟาร์มในแดนสวรรค์กว้างขวางขนาดนี้ ต้องมีพืชผักที่ไม่เคยเห็นอีกเยอะแยะแน่ๆ ยิ่งคิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น พอช่วยกันเก็บโต๊ะเสร็จเรียบร้อย ทั้งสี่คนก็เดินมาที่ฟาร์มฟาร์มในมิติมีขนาดกว้างใหญ่กว่าฟาร์มตระกูลลู่ที่อยู่ในหมู่บ้านกว่างซูหลายเท่า เด็กทั้งสองยืนมองสวนผักผลไม้ด้วยความตื่นตาตื่นใจ “ท่านแม่ ผักผลไม้พวกนี้ใช่ที่ท่านเอาออกไปวางขายในร้านหรือไม่” เฉิงเอ๋อร์เป็นเด็กฉลาด เห็นผักผลไม้ปุบก็เข้าใจทันที ว่าเป็นสินค้าที่มารดาเอาออกไปวางขายในร้าน “เจ้าเข้าใจถูกแล้ว ผักผลไม้ในแดนสวรรค์ แม่แบ่งออกไปขายข้างนอก เพราะพืชในที่แห่งนี้เติบโตเร็วกว่าข้างนอกหลายเท่า” “เป็นแบบนี้เอง” ตอนนั้นเอง สัตว์อสูรในร่างจำแลงมนุษย์ที่กำลังทำสวนหันมาเห็นลู่ซินฟางกับภูตประจำมิติพอดี พวกเขาต่างโบกมือทักทาย “ท่
บทที่ 92พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งหลัง) ใต้ร่มไม้ใหญ่ใกล้กับสวนดอกไม้ข้างบ้านทรงตะวันตกจะมีโต๊ะกลมสีขาวหนึ่งชุด ไม่ไกลจากสวนดอกไม้ มองไปก็จะเห็นฟาร์มอันกว้างขวาง หลังจากตัดสินใจว่าจะนั่งเล่นกันที่ใต้ร่มไม้ เด็กน้อยทั้งสองก็ปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สีขาว เตะขาเล่นในขณะที่รอคอยขนมอร่อยๆ สักครู่หนึ่ง ชุนก็ยกเค้กสตอเบอรี่กับนมอุ่นๆ มาวางบนโต๊ะ ส่วนถาดที่อยู่ในมือของลู่ซินฟางคือชากุหลาบกลิ่นหอมกลมกล่อมกับคุกกี้เนยสด “ท่านแม่ ข้าไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อนเลย” เฉิงเอ๋อร์บอกด้วยสีหน้าตื่นเต้น ดวงตากลมโตเปล่งประกายขณะกวาดตามองขนมบนโต๊ะ “น่ากินทุกอย่างเลย ขะ…ข้ากินได้หรือไม่” เป่าเอ๋อร์พูดจบก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “กินกันตามสบายเลยนะจ๊ะ” ลู่ซินฟางบอกพลางลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกน้อยทั้งสอง เจ้าแฝดตัวน้อย รวมถึงภูตน้อยหลิน หยิบส้อมขึ้นมาตักเค้กสตอเบอรี่ส่งเข้าปาก ทันทีที่ได้กินของหวานแสนอร่อย รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าของทั้งสามคน แก้มขาวแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู ทำเอาลู่ซินฟางกับชุนถึงกับยิ้มตาม “อร
บทที่ 91พรสวรรค์ของเจ้าแฝด (ครึ่งแรก) พอก้าวข้ามประตูมิติ โลกอันงดงามก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน ทุ่งข้าวสีทอง สวนผักผลไม้ ป่าไพรอันสีเขียวขจี และไหนจะธารน้ำอันสดชื่น ดวงตาใสแป๋วของเด็กน้อยทั้งสองเบิกโตด้วยความตื่นเต้น ขณะที่มองไปรอบๆ “แดนสวรรค์สวยจังเลย!” “อื้อ สวยมากๆ” “ยังมีสถานที่ที่สวยกว่านี้อีกนะ” ลู่ซินฟางบอกลูกๆ “อยากเห็นจังเลย ท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์ตื่นเต้นมาก รีบร้องบอกท่านแม่ “ข้าก็ด้วย!” เป่าเอ๋อร์พยักหน้ารัวๆ ระหว่างที่เด็กน้อยทั้งสองกำลังตื่นตาตื่นใจกับสภาพแวดล้อมอันงดงามที่อยู่ตรงหน้า เสียงเล็กน่ารักพลันดังขึ้น “งั้นข้าจะเป็นคนนำเที่ยวให้เอง ฮิๆๆ” สิ้นเสียงนั้น ภูตน้อยหลินก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ปีกน้อยขยับไปมาพร้อมกับละอองที่มีเปล่งประกายสีทองวิบวับ เจ้าแฝดเบิกตาโตพร้อมกับร้อง “ว้าว” “พวกเขาคือเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์สินะ”หลังบินวนรอบๆ เด็กน้อยทั้งสอง หลินก็กลับมานั่งบนไหล่ของลู่ซินฟาง หญิงสาวยิ้มแล้วพยักหน้าให้ก
บทที่ 90พาเจ้าแฝดไปต่างมิติ “ท่านจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่ขอรับ” ทันทีที่ลู่ซินฟางเปิดประตูเดินออกจากห้องทำงาน เสียงทุ้มของหลางไป๋ก็ดังขึ้น หญิงสาวหันมอง เห็นหมาป่าหนุ่มยืนกอดอกอยู่ข้างประตู เฮ้อ… ลู่ซินฟางถอนหายใจด้วยรู้สึกคิดไม่ตก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าในชาติก่อนไม่เคยสับสนกับเรื่องแบบนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับคำเชิญของเขาหรือไม่” คำพูดของหญิงสาวทำเอาหมาป่าหนุ่มกระดกยิ้มตรงมุมปากอย่างขบขัน “ใครจะคิดว่านายหญิงที่คอยชี้นำเหล่าสัตว์อสูรจะเผชิญกับความสับสนเสียเอง” “ก็ข้าไม่เคยคิดนี่น่า คนที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่งแบบกงเยียนซูจะมาสนใจหญิงหม้ายลูกติด” “นายหญิงขอรับ อย่างที่ท่านกงบอกนั่นละ การจะชอบใครสักคนทำไมต้องมีเหตุผล สำคัญกว่าฐานะ นายหญิงคิดเช่นไรกับเขาต่างหาก” ลู่ซินฟางคิดตาม ก็รู้สึกว่าหลางไป๋พูดถูก ปัญหาไม่ใช่เรื่องฐานะ สำคัญที่สุดคือลู่ซินฟางคิดกับกงเยียนซูอย่างไร? อย่างไรก็ตาม ลู่ซินฟางหรี่ดวงตาด้วยความสงสัยขณะจ้องมองหมาป่าหนุ่ม “เมื่อก่
บทที่ 89ถูกสารภาพรักครั้งแรก หมายความว่ายังไง เขาไม่ได้โกหก เขาที่ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า ‘ชอบ’ นาง บอกว่าไม่ได้โกหก ลู่ซินฟางนั่งตัวแข็งทื่อ อึ้งจนทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะ ต่อมา หัวใจของนางก็เต้นอย่างรุนแรง ใบหน้าร้อนผ่าวและแดงระเรื่อ ในโลกก่อนและโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่ซินฟางถูกชายหนุ่มสารภาพว่าชอบ นางจึงสับสนและรับมือกับอารมณ์ในตอนนี้ไม่ถูก ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาคู่สวยกะพริบมองชายหนุ่มอยู่หลายครั้ง กงเยียนซูเลิกคิ้วมองตอบลู่ซินฟาง ดวงตาของเขาแฝงด้วยความสงสัย ว่ากันตามจริง ลู่ซินฟางไม่ใช่สาวน้อยวัยแรกแย้ม ทำไมท่าทางเขินอายนั้นถึงทำให้รู้สึกราวกับว่านางเพิ่งถูกสารภาพรักครั้งแรก “ท่านไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่หรือไม่” หลังจากเงียบอยู่สักพัก ในที่สุดลู่ซินฟางก็เอ่ยออกมา “ข้าไม่ได้เข้าใจผิด คิดมาดีแล้วถึงได้มาหาเจ้าวันนี้” “ถึงท่านจะพูดแบบนั้น แต่ข้ากลับนึกไม่อออก เหตุใดท่านถึงชอบข้า ทั้งฐานะของข้ากับท่านก็แตกต่างกันมาก” “จ