บทที่ 69
ลู่ซินฟางก็คือนายหญิง (ครึ่งแรก)
อาคารไม้สองชั้นกลางเมืองเล่ออัน กว้างขวางและใหญ่โต ป้ายไม้หน้าร้านแกะสลักด้วยคำสองพยางค์ ‘ซินหลิน’ สภาพป้ายยังใหม่เอี่ยม แค่เห็นก็รู้ ร้านค้าแห่งนี้เพิ่งเปิดทำการได้ไม่นาน
ข้าวของในร้านมีขายเยอะมาก คนเข้าออกร้านก็เยอะเช่นกัน แต่กลับไม่รู้สึกว่าเบียดเสียดเพราะทางเดินในร้านค่อนข้างกว้าง
การแบ่งโซนสินค้าก็ทำออกมาได้ดี ทั้งยังจัดวางสินค้าออกมาอย่างเป็นระเบียบ พนักงานของร้านก็ไม่ได้เทียวไล่ถามลูกค้าจนทำให้รู้สึกรำคาญ
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ แสดงถึงความสามารถของเถ้าแก่เจ้าของร้าน
เหอถิงคิดพลางเดินดูสินค้าในร้าน ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกโตเมื่อเห็นตะเกียงแก้วตั้งแสดงบนชั้นวางสินค้า
ตะเกียงแก้วแบบนี้ ‘จี๋หลิน’ ภรรยาของเขาเพิ่งซื้อให้เมื่อเดือนที่แล้ว นางบอกว่าต้องสั่งจองล่วงหน้าถึงหนึ่งเดือนกว่าจะซื้อจากร้านไฉฟู่สาขาเมืองหลวงมาได้ ราคาของตะเกียงสูงถึง 2 ตำลึงเงินกับอีก 50 เหรียญ
ส่วนตะเกียงที่แสดงในร้านซินหลิน ขายในราคา 2 ตำลึงเงินถ้วนๆ เดาว่าร้านไฉฟู่คงรับสินค้าจากร้านซินหลินไปขายต่อ ส่วนแบ่งกำไรคือ 50 เหรียญ
“อาถิง แม่เดินหาทั่วร้านก็ยังไม่เจอนางเลย อีกอย่างนะ เจ้าดูสิ พนักงานในร้านมีแต่หนุ่มๆ สาวๆ อายุไม่น่าเกินยี่สิบ ลู่ซินฟางแก่กว่าหนุ่มสาวพวกนี้ตั้งหลายปี แม่คิดว่าพวกเรามาตามหาคนผิดร้านแล้วละ”
หลังจากสำรวจรอบร้านจนครบหนึ่งรอบ นางเหอก็เดินกลับมาบอกลูกชายที่กำลังยืนดูบางอย่าง เมื่อสายตาของนางเหอมองตามสายตาของลูกชาย พบว่าสิ่งนั้นคือตะเกียงแก้ว นางก็ร้อง “ว้าย!” ดังลั่นร้าน
ลูกจ้างในร้าน รวมถึงลูกค้าคนอื่นหันมามองแม่ลูกตระกูลเหอเป็นตาเดียว
เหอถิงย่นคิ้วทำหน้าดุดันใส่มารดา
จริงๆ แล้ว เขาไม่ได้อยากพามารดามาด้วย นางเป็นคนชอบเอะอะโวยวาย แต่จี๋หลินขอร้องให้พามา เพราะบางเรื่องเขาก็ไม่สะดวกออกหน้าพูดคุยเอง
ด้านนางเหอ รีบยกมือขึ้นปิดปาก ทำท่าเขินๆ ก่อนจะเข้ามากระซิบด้วยเสียงเบา
“แม่ขอโทษนะอาถิง แม่ตกใจราคาตะเกียงแก้วใบนี้ ไม่เพียงแค่เหมือนของเจ้าที่อยู่ในห้องหนังสือ แต่เจ้าดูราคานี่สิ ทำไมถึงได้แพงขนาดนั้น ว่าแต่… เจ้าเพิ่งรับตำแหน่งขุนนางได้ไม่นาน เงินเดือนน้อยนิด เอาเงินเดือนมาซื้อของพวกนี้แล้วจะไม่ลำบากเอาหรือ”
“จี๋หลินเป็นคนซื้อให้ข้าน่ะ” เหอถิงบอกมารดาด้วยสีหน้านิ่งๆ
มารดาของเขาชอบเงิน จึงควบคุมทุกอย่างภายในบ้านด้วยตัวเองเพราะกลัวว่าจะเสียผลประโยชน์
ตามจริงแล้ว เหอถิงที่เป็นลูกชายคนโตของบ้านเหอ ใช้เงินส่วนตัวเพื่อซื้อของให้กับตัวเองไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ความคิดของนางเหอตรงกันข้าม หากเงินลูกชายขาดไปสักแดง ผลประโยชน์ของนางก็จะลดน้อยลง
พอเห็นว่าตะเกียงแก้วราคา 2 ตำลึงเงิน นางเหอกลัวว่าเงินที่ควรจะได้จากลูกชายจะลดลงไปด้วยก็เลยตกใจ
แต่พอเหอถิงบอกว่าเงินที่ซื้อตะเกียงเป็นของจี๋หลินที่เป็นสะใภ้ใหญ่ สีหน้าของนางเหอก็อ่อนลง
“โถ สะใภ้ใหญ่คนดี ถึงบ้านตระกูลจี๋จะร่ำรวย แต่ถึงขั้นซื้อของแพงให้เจ้าแบบนี้ นางต้องรักเจ้ามากขนาดไหน อาถิง เจ้าต้องทำดีกับนางไว้ล่ะ”
เหอถิงถอนหายใจเอือมๆ แล้วตอบว่า “ขอรับ”
เพราะเสียงของนางเหอที่ร้องดังลั่นในร้าน ลูกจ้างหญิงคนหนึ่งจึงเดินเข้ามาถาม
“ท่านลูกค้า มีอะไรให้ช่วยหรือไม่เจ้าคะ”
ลูกจ้างหญิงคนนี้อายุน่าจะเพียง 16-17 ปี แต่มีดวงตาที่แสดงถึงไหวพริบดี พูดจาฉะฉาน เวลาต้อนรับลูกค้าก็ทำได้อย่างคล่องแคล่ว ยิ่งไปกว่านั้น นางยังหน้าตาน่ารัก เหอถิงคิดพลางมองเด็กสาวอย่างเหม่อลอย
หู่จือเหมยนั้น ไม่ได้ไร้เดียงสาถึงขั้นมองเจตนาของเหอถิงไม่ออก แต่กระนั้น นางกลับแสร้งทำเป็นไม่สนใจ ยิ้มแย้มปกติแล้วถามอย่างมืออาชีพอีกครั้ง
“ท่านลูกค้า มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าเจ้าคะ”
เหอถิงที่ดึงสติกลับมารีบวางท่าทีสุขุม ในขณะที่กำลังจะอ้าปากเอ่ยบางอย่าง นางเหอกลับแทรกเสียก่อน
“ที่ร้านนี้มีคนชื่อลู่ซินฟางหรือไม่”
“พวกท่านหมายถึงนายหญิงหรือเจ้าคะ” สาวน้อยทวนคำถามซ้ำ
“ลู่ซินฟาง! ข้าหมายถึงลู่ซินฟาง ไม่ใช่นายยงนายหญิงของพวกเจ้า”
“เอ่อ…”
หู่จือเหมยลังเล
พวกนี้น่าจะไม่ใช่คนในเมืองเล่ออัน เพราะหากเป็นคนเมืองนี้ ไม่มีใครไม่รู้ว่านายหญิงร้านซินหลินมีนามว่าลู่ซินฟาง
“พวกท่านมีธุระอะไรกับนายหญิงหรือ” หู่จือเหมยถามต่อ เนื่องจากสัมผัสได้ถึงความไม่เป็นมิตรในน้ำเสียงที่หญิงท้วมกลางคนผู้นี้เอ่ยออกมา
นางเหอทำหน้าไม่พอใจ พร้อมกับโต้แย้งเสียงแหลม “ข้าก็บอกอยู่ว่าลู่ซินฟาง ไม่ใช่นายหญิงอะไรนั่น”
เหอถิงเริ่มรู้สึกตัวว่าในบทสนทนานี้มีอะไรแปลกๆ เขาจึงเรียก “ท่านแม่…” เพื่อยั้งให้นางหยุดพูดก่อน
ทว่าในจังหวะนั้น เสียงทุ้มของชายหนุ่มคนหนึ่งดังแทรก ต่อมา เจ้าของร่างสูงโปร่งในชุดสีขาวก็เดินมาหยุดตรงหน้าพวกเขา
“พวกท่านต้องการพบท่านลู่ซินฟางหรือ” ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเกลี้ยงเกลาหล่อเหลาเอ่ยถาม
นางเหอถึงกับตะลึงในความหล่อของชายหนุ่ม เหอถิงจึงเป็นคนตอบคำถามนั้นแทน
“ใช่แล้ว พวกเรามาตามหาลู่ซินฟาง”
ชายหนุ่มในชุดสีขาวไม่ได้ตอบแม่ลูกตระกูลเหอในทันที แต่ก้มใบหน้าลงพูดกับหู่จือเหมย
“เสี่ยวเหมย เจ้าไปต้อนรับลูกค้าท่านอื่นต่อเถอะ ตรงนี้ข้าจะรับรองเอง”
“เจ้าค่ะ พี่หลางไป๋”
เมื่อเด็กสาวเดินออกไปต้อนรับลูกค้าคนอื่นต่อ ดวงตาของชายหนุ่มชุดขาวพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา ก่อนจะกล่าวกับแม่ลูกตระกูลเหอ
“ท่านทั้งสอง เชิญทางนี้”
บทที่ 108พลอยประดับ หลายวันมานี้ ภูตหลินกำลังสนุกกับการออกแบบเครื่องประดับ ปกติก็ชอบการวาดภาพระบายสีเล่นอยู่แล้ว พอได้ทำสิ่งที่ชอบและยังเป็นประโยชน์ จึงเพลิดเพลินจนเผลอวาดออกมาตั้งเยอะแยะ ลู่ซินฟางเป็นฝ่ายคัดแยก ว่าเครื่องประดับชิ้นไหนวางขายได้ ชิ้นไหนวางขายไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว หลินออกแบบได้ดีทุกชิ้น “สวยๆ ทั้งนั้นเลย มีทั้งแบบเรียบง่าย และแบบอลังการงานสร้าง!” “ในมิติตอนนี้เริ่มก่อสร้างโรงเจียระไนพลอยแล้วขอรับ ส่วนนี่เป็นพลอยตัวอย่างที่ท่านหลินใช้เวทเจียระไนขึ้นมาเอง” หลางไป๋พูดพร้อมวางกล่องกำมะยี ด้านในมีพลอยเจียระไนหลายสี ลู่ซินฟางร้องอย่างประหลาดใจ “เร็วถึงเพียงนี้!” ไม่ใช่แค่นั้น หลังจากเปิดกล่องดู สีหน้าของนางยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก พลอยทุกชิ้นเปล่งประกายสดใส ทั้งยังเจียระไนออกมาได้ดีไม่มีที่ติ หลางไป๋ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าเตือนท่านหลิน งานเจียระไนจะเป็นหน้าที่ของช่างฝีมือ แต่ดูเหมือนท่านหลินจะตื่นเต้น เลยทำพลอยพวกนี้ออกมาเยอะขอรับ” “ถึงจะสวยมาก แต่น่าเสียดาย พวกเราวางขา
บทที่ 107เพราะข้าเป็นห่วงเจ้า ยามบ่ายของวันนั้นเอง กงเยียนซูกับโจวหวังเยว่แวะมาดูสินค้าที่ร้านซินหลิน ทันทีที่มาถึง โจวหวังเยว่แยกกับกงเยียนซูไปเลือกดูสินค้าด้วยท่าทีตื่นตาตื่นใจ เวลานี้กงเยียนซูกับลูซินฟางจึงมีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพัง “พี่ห้าสนใจสินค้าของร้านซินหลิน ช่วงที่เขาอยู่เมืองเล่ออันต้องรบกวนเจ้าแล้ว” กงเยียนซูเอ่ยทักทายด้วยสีหน้าเก้อเขิน หญิงสาวยิ้มน้อยๆ ให้กับชายหนุ่ม พลางตอบว่า “มีคนกระเป๋าหนักมาอุดหนุน ข้าย่อมดีใจอยู่แล้ว กลับกัน ร้านของเราต้องขอบคุณพวกท่านที่มาอุดหนุนบ่อยๆ เจ้าค่ะ” “ไม่ถึงขนาดหรอก สินค้าร้านซินหลินคุณภาพดีทุกอย่าง บริการก็ดีมาก ลูกค้าที่ซื้อไปแล้วก็อยากกลับมาซื้อใหม่ อ้อ ชาสมุนไพรที่ซื้อไปคราวก่อนใกล้จะหมดแล้ว เจ้าพอจะแนะนำใบชาอย่างอื่นให้ข้าได้หรือไม่” “ได้แน่นอนเจ้าค่ะ” พูดจบ ลู่ซินฟางเดินนำชายหนุ่มไปทางจุดที่วางขายใบชา หญิงสาวแนะนำใบชาแต่ละชนิดให้กับกงเยียนซู ชาดอกไม้ ชาสมุนไพร และชาหายากใหม่ๆ ระหว่างแนะนำสินค้าให้กับกงเยียนซู จู่ๆ ในหัวของลู่
บทที่ 106เรื่องน่ายินดี (ครึ่งหลัง) สามวันถัดมา ผู้นำเผ่ากระต่ายเดินทางมาพบกับภูตจิ๋ว ขอเจรจาและทำข้อตกลง เงื่อนไขของพวกเขาคือ ขอสร้างหมู่บ้านกระต่ายในอาณาเขตของภูต แลกกับอาหารและความปลอดภัย อย่างไรก็ดี ตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ หากเผ่ากระต่ายจะมาช่วยงานในฟาร์ม ทางนี้ก็จะจ่ายค่าตอบแทน รวมไปถึงให้การศึกษา อำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน อาหาร ที่อยู่อาศัยและความปลอดภัยอันเป็นปัจจัยพื้นฐานที่พวกเขาจะได้รับอยู่แล้ว นอกจากนั้น จากการสำรวจป่ารกร้างทางเหนือ หลางไป๋ยังได้เผ่ากวางป่ามาเป็นพันธมิตร หนำซ้ำ ทางทิศตะวันออกของฟาร์มยังพบเหมืองพลอย นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ทั้งนั้น เผ่าจิ้งจอกและเผ่าหมูป่ายังไม่ให้คำตอบที่แน่ชัด พวกเขาเลือกอาศัยอยู่ที่เดิม แต่ให้สัญญาว่าจะไม่ลุกล้ำเข้ามาในฟาร์ม ทั้งยังรับปากว่าจะไม่สร้างความเสียหายใดๆ ให้กับสัตว์จำแลงและฟาร์มอย่างเด็ดขาด ในด้านของลู่ซินฟาง หลังจากเคลียร์งานต่างๆ เรียบร้อย นางก็ข้ามมาที่มิติเพื่อพบกับเผ่ากระต่ายและเผ่ากวางป่า
บทที่ 105เรื่องน่ายินดี (ครึ่งแรก) สรุปให้เข้าใจง่ายๆ เมื่อมิติขยายตัวออกไป เวทมนตร์ของภูตที่ดูแลมิติก็เพิ่มขึ้นด้วย พลังเวทนั้นจะสร้างทรัพยากรมากมายให้กับมิติ และเพิ่มวิวัฒนาการเหล่าสัตว์อสูรให้มีสติปัญญาจนถึงขั้นเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตา ก่อนที่ลู่ซินฟางจะครอบครองมิติ พื้นที่แถบนี้ยังเป็นแค่ดินแดนที่แทบไม่มีอะไรเลย แต่หลังจากที่ลู่ซินฟางขยายฟาร์มทีละเล็กทีละน้อย สัตว์ในมิติก็ค่อยๆ กลายร่างเป็นมนุษย์ มีสติปัญญาและสื่อสารกันรู้เรื่อง ท้ายที่สุดก็มาอาศัยร่วมกันเหมือนอย่างทุกวันนี้ หลังจากหนุ่มสาวเผ่ากระต่ายได้ฟังคำบอกเล่าก็เข้าใจทันที วิวัฒนาการของพวกตนเกิดจากภูตจิ๋วตรงหน้านี้เอง “แล้วพวกเจ้ามีจำนวนเท่าไรหรือ” หลินถาม “ถ้าเฉพาะเผ่ากระต่าย รวมเด็กๆ ในเผ่าด้วยก็ประมาณ 14-15 ตน” “อืม” “แสดงว่ายังมีเผ่าอื่นๆ อีก ป่าแถบนั้นมีเผ่าอะไรบ้างหรือ” “ละแวกที่เผ่ากระต่ายอาศัย ก็มีเผ่าหมูป่า เผ่ากวางป่า ไกลออกไปอีกได้ยินว่ายังมีเผ่าเสือและเผ่าจิ้งจอก แต่มีจำนวนเท่าไร พวกเราไม่รู้หรอก” “เข้าใ
บทที่ 104เผ่ากระต่าย (ครึ่งหลัง) เวลาเดียวกันนั้น ในมิติต่างโลก ภูตตัวน้อยบินวนไปวนมาพร้อมกับพิจารณากลุ่มมนุษย์ที่มีหูกระต่ายสีเทาอันนุ่มนิ่มและนุ่มฟู “พวกเจ้าเป็นเผ่ากระต่ายจริงๆ สินะ” หลินถามเหล่ามนุษย์หูกระต่าย “แค่ดูหูก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ” คำพูดขัดแย้งนี้เป็นของซินหลิน “เจ้าเด็กคนนี้นี่ เรื่องนั้นข้าดูแวบเดียวก็รู้อยู่แล้วน่า ก็แค่อยากถามให้แน่ใจเท่านั้นเอง” หลินหันมาทำท่าโวยวายใส่ซินหลิน ซินหลินไม่ได้มีสีหน้าสำนึกผิดแม้แต่น้อย เด็กชายทำหน้านิ่ง กรอกตามองบนทีหนึ่ง ก่อนจะถามหลินว่า “ว่าแต่ จะเอายังไงกับพวกเขาดีล่ะ” “อืม นั่นสิน๊า” หลินทำท่าครุ่นคิด หากกล่าวถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ ต้องย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ซินหลินกับสยงอู๋มาที่โกดังต่างมิติ เพื่อตรวจนับผักผลไม้ ก่อนจะเอาออกไปเติมที่ร้านข้างนอกเหมือนอย่างทุกๆ วัน แต่เช้าวันนี้ พอเปิดโกดังปุบก็พบผู้บุกรุกปับ ผู้บุกรุกมีทั้งหมดเจ็ดตน ทุกตนเป็นเผ่ากระต่าย และกำลังแอบกินผักผลไม้ที่อย
บทที่ 103เผ่ากระต่าย (ครึ่งแรก) ตอนขากลับ โจวหวังเยว่หอบหิ้วสินค้าขึ้นรถม้าเต็มสองมือ ส่วนกงเยียนซูซื้อใบชากลับไปเหมือนอย่างเคย ตลอดเวลาที่อยู่กับลู่ซินฟาง สายตาของกงเยียนซูแสดงออกถึงความรักใคร่อย่างไม่คิดจะปิดบัง ทำเอาคนที่เห็นถึงกับเอียนความหวานกันเป็นแถว รถม้าเคลื่อนตัวออกไปไกลแล้ว แต่ลู่ซินฟางยังยืนอยู่ที่เดิม ใกล้จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้วสินะ… หญิงสาวคิดอย่างสับสน ไม่ใช่ว่าไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเทศกาลไหว้พระจันทร์ จริงอยู่ที่ลู่ซินฟางในอดีตสูญเสียครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ในขณะเดียวกัน ตั้งแต่ได้รับมิติมา ลู่ซินฟางมักจะจัดเลี้ยง งานเทศกาล และงานสังสรรค์อื่นๆ กับภูตหลินและเหล่าสัตว์อสูร ปีนี้กงเยียนซูชวนเที่ยวงานเทศกาลด้วยกัน นางที่ไม่เคยปฏิสัมพันธ์หรือเที่ยวเล่นกับคนอื่นมาก่อน อดรู้สึกสับสนไม่ได้จริงๆ “เสียดายที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันให้นานอีกหน่อยหรือขอรับ” หลางไป๋เห็นลู่ซินฟางเอาแต่ยืนเหม่อตั้งแต่รถม้าของกงเยียนซูเคลื่อนออกจากหน้าร้าน เห็นแล้วก็อดจะพูดกระเซ้าเย้าแ