บทที่ 68
คนชั่วผู้นั้นมาตามหาลู่ซินฟาง
“อะไรนะขอรับ!” หลางไป๋โพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
ลู่ซินฟางรีบส่งเสียง ชูว์ ห้ามปรามไม่ให้หลางไป๋พูดเสียงดังเกินไป ประเดี๋ยวคนในร้านจะตกใจเอา
เป็นครั้งแรกที่หมาป่าหนุ่มผู้สุขุมเสียอาการขนาดนี้ แต่พอผ่านไปสักพัก ชายหนุ่มก็กลับมามีท่าทีเยือกเย็นเหมือนเดิม ก่อนจะถามหญิงสาวเพื่อความแน่ใจ
“นายหญิงแน่ใจหรือว่าเป็นคนชั่วนั่นจริงๆ ท่านไม่ได้มองคนผิดใช่หรือไม่”
ลู่ซินฟางตอบกลับอย่างไม่ลังเล “เห็นแค่แวบเดียว ร่างกายนี้ก็ตอบสนองแล้ว ข้าถึงได้มั่นใจว่าเป็นเหอถิงกับแม่ของเขา”
“นางตอบสนองอย่างไรขอรับ”
“ข้าสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัว ความโกรธ และความเศร้าของนาง”
“ในอดีตนางถูกคนพวกนั้นทำร้ายมาอย่างหนัก แม้จากไปนานแล้ว แต่ยังมีการตอบสนองจนทำให้นายหญิงสัมผัสถึงความรู้สึกเดิมได้ น่าสงสารนางจริงๆ” หลางไป๋พึมพำอย่างเห็นอกเห็นใจ
ตอนที่ลู่ซินฟางใช้ร่างกายนี้กลับไปที่มิติ นางเล่าทุกอย่างให้หลินและหลางไป๋ฟัง ตั้งแต่วิญญาณเข้ามาสวมร่างใหม่ รวมถึงความทรงจำเดิมของลู่ซินฟางคนเก่า
พอย้อนคิดถึงเรื่องในอดีตของเจ้าของร่างเดิมแล้ว จู่ๆ สีหน้าของหลางไป๋ก็แผ่รังสีอำมหิตของนักล่า
“หากท่านอนุญาต ข้าจัดการเขาให้ท่านได้ รับรองว่าจะทำให้ไม่เหลือเศษซากเลยขอรับ”
“ในยุคที่ยังไม่มีกล้องวงจรปิด จะทำให้มนุษย์คนหนึ่งหายไปแบบไม่เหลือซากไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าเจ้าทำแบบนั้น ผู้อื่นจะสงสัยข้าเอาได้น่ะสิ”
“เพราะเหตุใดต้องสงสัยนายหญิงด้วยขอรับ ในเมื่อไม่มีหลักฐานชี้ถึงตัวท่าน”
“ถ้าบังเอิญว่าชายชั่วคนนั้นมาที่นี่เพื่อตามหาข้าเล่า แล้วอยู่ดีๆ เขาก็หายตัวไป เจ้าคิดว่าข้าจะไม่ถูกตั้งข้อสงสัยหรือ หากเป็นลู่ซินฟางในอดีตที่ไม่มีทั้งเงินและคนหนุนหลัง ยังพอแก้ต่างให้กับตัวเองได้บ้าง แต่ข้าในตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะอย่างนั้น คนที่น่าสงสัยคนแรกก็คือข้าไม่ใช่หรือ”
“เข้าใจแล้วขอรับ การกำจัดคนชั่วผู้นั้นให้หายไปไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้องสินะขอรับ” หลางไป๋บอกอย่างเข้าใจ
แต่…แม้จะห้ามหลางไป๋ไม่ให้กำจัดเหอถิง หากลู่ซินฟางก็อยากช่วยปลอบประโลมวิญญาณของลู่ซินฟางคนเก่า หลังจากเงียบไปสักครู่ นางกล่าวเสริมว่า “ถึงกำจัดให้หายไปไม่ได้ในทันที แต่สั่งสอนด้วยการทำให้เป็นอุบัติเหตุก็คงจะได้ละนะ”
ดวงตาของหมาป่าหนุ่มกลับมาฉายแววเยือกเย็นโดยพลัน
“ขอเพียงนายหญิงสั่ง ไม่ว่าจะเป็นงานยากแค่ไหน ข้าก็พร้อมทำเพื่อท่านขอรับ”
ลู่ซินฟางยิ้มให้กับหมาป่าหนุ่ม ก่อนจะตบบ่าแข็งแรงของเขาเบาๆ
“ถึงเวลานั้นข้าจะบอกเจ้าเป็นคนแรก ตอนนี้เจ้าก็ผ่อนคลายลงก่อนเถอะ”
“ขอรับ”
หลังจากคุยกันจบแล้ว ทั้งสองยังยืนบนระเบียง มองคนเข้าออกร้าน ผ่านไปสักครู่หนึ่ง พวกเขาก็เห็นซินหลินกับสยงอู๋เดินเข้ามาในร้าน
สยงอู๋นั้นยังยิ้มแย้มเป็นปกติ แต่สีหน้าของซินหลินกลับเหมือนถูกใครทำให้หงุดหงิดมา
ลู่ซินฟางกับหลางไป๋หันมองหน้ากันพร้อมกับเลิกคิ้วอย่างสงสัย ก่อนจะเดินลงบันไดเข้าไปหาเด็กทั้งสอง
“ใครทำอะไรซินหลินของเรากันหนอ ถึงได้อารมณ์บูดเช่นนี้” หญิงสาวแกล้งถามแบบหยอกๆ
เด็กชายทำแก้มป่อง ส่งเสียงฮึดฮัดว่า “จะใครเสียอีกเล่า หากไม่ใช่ไอ้…” ยั้งคำพูดไปแปบหนึ่ง แล้วว่าต่อ “คนรู้จักเก่าของท่านน่ะสิ!”
“ข้าหรือ” ลู่ซินฟางแกล้งชี้หน้าตัวเอง
ซินหลินหรี่ตามองหญิงสาวราวกับรู้ทันความคิด
“ทำไขสือเก่งจัง ไม่ได้ตกใจจริงๆ เสียหน่อย แสดงว่าเจอไอ้…คนผู้นั้นแล้วหรือ”
ถูกอ่านความคิดออก ลู่ซินฟางทำหน้าอ่อนใจ แล้วขยับศีรษะขึ้นลง “ใช่”
“ที่เจ้าหงุดหงิดมา เพราะเจอคนรู้จักเก่าของนายหญิงมานี่เอง แล้วไปเจอเจ้านั่นที่ไหนกันล่ะ” หลางไป๋ถามด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่แววตาปิดบังความโกรธไม่มิด
“ที่สวนน่ะ” ซินหลินตอบ “ตอนแรกไม่รู้หรอกว่าพวกเขาเป็นใคร แต่พอยัยแก่ที่มาด้วย ใช้น้ำเสียงโวยวายถามข้าว่าเกี่ยวข้องอะไรกับลู่ซินฟาง ข้าก็เดาว่าพวกนั้นอาจรู้จักท่านและกำลังตามหาท่านอยู่”
“ก่อนจะเข้าเมือง เสี่ยวหลิน…ข้าหมายถึงเต๋อหลิน ลูกสาวคนที่สามของหัวหน้าหมู่บ้าน นางวิ่งมาบอกว่าสองคนนั้นมาตามหานายหญิง ผู้ชายคนนั้นเป็นขุนนาง หัวหน้าหมู่บ้านไม่มีทางเลือกอื่น จำใจต้องบอกว่าท่านอยู่ในเมือง เพราะงั้นท่านพ่อถึงสั่งให้ข้าเข้าเมืองมาเป็นเพื่อนซินหลินเพื่อบอกท่านเรื่องนี้แหละขอรับ” สยงอู๋กล่าวเสริม
ลู่ซินฟางฟังมาถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจเฮือก
“คิดแล้วเชียวว่าต้องมาตามหาข้า”
“แล้วท่านจะทำยังไงกับคนนั้น ไล่เลยไหม ข้าจะช่วยจัดการให้” ซินหลินถาม ทั้งยังอาสาจะช่วยไล่คนพวกนั้นให้ด้วย
“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น” ลู่ซินฟางตอบด้วยความใจเย็น
“ทำไมล่ะ ไล่ไปไม่ดีกว่าหรือ” ซินหลินโพล่งด้วยความหงุดหงิด “อย่าลืมสิ คนพวกนั้นเคยรังแกเจ้าของร่างที่ท่านอยู่ตอนนี้นะ ถ้ามาเจอท่านอีก พวกนั้นก็ต้องทำแบบเดิม”
ลู่ซินฟางมองออกนอกประตูร้าน สีหน้านิ่งสงบ ทว่าแววตาเยือกเย็น
“ข้าไม่กลัวคนชั่วผู้นั้น บอกตรงๆ ข้ากลับอยากรู้ว่าพวกเขามาตามข้าทำไมด้วยซ้ำ”
ย้อนกลับมาที่สองแม่ลูกตระกูลเหอ
ระหว่างสอบถามหาคนชื่อลู่ซินฟางจากผู้คนในเมืองเล่ออัน แต่ละคนล้วนแสดงสีหน้าลังเลกระนั้น พวกเขาก็ตอบเสียงกันเดียวว่าให้ลองไปดูที่ร้านซินหลิน
ก่อนหน้านี้ ทั้งสองเดินผ่านร้านค้าซินหลินมา ร้านแห่งนั้นอยู่กลางเมืองเล่ออัน เป็นร้านค้าขนาดใหญ่ หาไม่ยาก ดังนั้นทั้งสองจึงย้อนกลับไปที่ถนนเส้นเดิม
ระหว่างเดินไปบนถนนที่คราคร่ำด้วยผู้คนในเมือง นางเหอพูดประชดแดกดันขึ้นมา “ไม่คิดว่าคนแบบนางจะได้ทำงานในร้านใหญ่ๆ กับเขา หรือดีไม่ดี รูปโฉมสวยๆ แบบนางอาจปีนขึ้นเตียงเถ้าแก่ร้านไปแล้วก็ได้”
“ท่านแม่ อย่าพูดแบบนั้นเลยขอรับ อย่างนางมีงานทำ นับว่าเป็นโชคดีของนางแล้ว” เหอถิงยังคงเสแสร้งแกล้งทำตัวเป็นคนดี แต่ลึกๆ อดคิดแบบเดียวกับมารดาไม่ได้
ต่อให้ทำงานในร้านใหญ่โต แต่บ้านเช่าในเมืองใช่ว่าจะราคาถูกๆ เงินเดือนของลูกจ้างไม่มีทางทำให้นางย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองได้ เห็นทีท่านแม่อาจจะพูดถูก นางอาจจะขึ้นเตียงของนายจ้างแล้วก็เป็นได้
พอความคิดนั้นผุดเข้ามาในหัว ในอกของเหอถิงก็เดือดดาลและสับสน
หย่าร้างกันไม่ถึงปี นางก็มีใหม่เสียแล้ว ผู้หญิงคนนี้มีนิสัยแพศยาอย่างที่มารดาบอกไม่มีผิด
บทที่ 108พลอยประดับ หลายวันมานี้ ภูตหลินกำลังสนุกกับการออกแบบเครื่องประดับ ปกติก็ชอบการวาดภาพระบายสีเล่นอยู่แล้ว พอได้ทำสิ่งที่ชอบและยังเป็นประโยชน์ จึงเพลิดเพลินจนเผลอวาดออกมาตั้งเยอะแยะ ลู่ซินฟางเป็นฝ่ายคัดแยก ว่าเครื่องประดับชิ้นไหนวางขายได้ ชิ้นไหนวางขายไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว หลินออกแบบได้ดีทุกชิ้น “สวยๆ ทั้งนั้นเลย มีทั้งแบบเรียบง่าย และแบบอลังการงานสร้าง!” “ในมิติตอนนี้เริ่มก่อสร้างโรงเจียระไนพลอยแล้วขอรับ ส่วนนี่เป็นพลอยตัวอย่างที่ท่านหลินใช้เวทเจียระไนขึ้นมาเอง” หลางไป๋พูดพร้อมวางกล่องกำมะยี ด้านในมีพลอยเจียระไนหลายสี ลู่ซินฟางร้องอย่างประหลาดใจ “เร็วถึงเพียงนี้!” ไม่ใช่แค่นั้น หลังจากเปิดกล่องดู สีหน้าของนางยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก พลอยทุกชิ้นเปล่งประกายสดใส ทั้งยังเจียระไนออกมาได้ดีไม่มีที่ติ หลางไป๋ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าเตือนท่านหลิน งานเจียระไนจะเป็นหน้าที่ของช่างฝีมือ แต่ดูเหมือนท่านหลินจะตื่นเต้น เลยทำพลอยพวกนี้ออกมาเยอะขอรับ” “ถึงจะสวยมาก แต่น่าเสียดาย พวกเราวางขา
บทที่ 107เพราะข้าเป็นห่วงเจ้า ยามบ่ายของวันนั้นเอง กงเยียนซูกับโจวหวังเยว่แวะมาดูสินค้าที่ร้านซินหลิน ทันทีที่มาถึง โจวหวังเยว่แยกกับกงเยียนซูไปเลือกดูสินค้าด้วยท่าทีตื่นตาตื่นใจ เวลานี้กงเยียนซูกับลูซินฟางจึงมีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพัง “พี่ห้าสนใจสินค้าของร้านซินหลิน ช่วงที่เขาอยู่เมืองเล่ออันต้องรบกวนเจ้าแล้ว” กงเยียนซูเอ่ยทักทายด้วยสีหน้าเก้อเขิน หญิงสาวยิ้มน้อยๆ ให้กับชายหนุ่ม พลางตอบว่า “มีคนกระเป๋าหนักมาอุดหนุน ข้าย่อมดีใจอยู่แล้ว กลับกัน ร้านของเราต้องขอบคุณพวกท่านที่มาอุดหนุนบ่อยๆ เจ้าค่ะ” “ไม่ถึงขนาดหรอก สินค้าร้านซินหลินคุณภาพดีทุกอย่าง บริการก็ดีมาก ลูกค้าที่ซื้อไปแล้วก็อยากกลับมาซื้อใหม่ อ้อ ชาสมุนไพรที่ซื้อไปคราวก่อนใกล้จะหมดแล้ว เจ้าพอจะแนะนำใบชาอย่างอื่นให้ข้าได้หรือไม่” “ได้แน่นอนเจ้าค่ะ” พูดจบ ลู่ซินฟางเดินนำชายหนุ่มไปทางจุดที่วางขายใบชา หญิงสาวแนะนำใบชาแต่ละชนิดให้กับกงเยียนซู ชาดอกไม้ ชาสมุนไพร และชาหายากใหม่ๆ ระหว่างแนะนำสินค้าให้กับกงเยียนซู จู่ๆ ในหัวของลู่
บทที่ 106เรื่องน่ายินดี (ครึ่งหลัง) สามวันถัดมา ผู้นำเผ่ากระต่ายเดินทางมาพบกับภูตจิ๋ว ขอเจรจาและทำข้อตกลง เงื่อนไขของพวกเขาคือ ขอสร้างหมู่บ้านกระต่ายในอาณาเขตของภูต แลกกับอาหารและความปลอดภัย อย่างไรก็ดี ตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ หากเผ่ากระต่ายจะมาช่วยงานในฟาร์ม ทางนี้ก็จะจ่ายค่าตอบแทน รวมไปถึงให้การศึกษา อำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน อาหาร ที่อยู่อาศัยและความปลอดภัยอันเป็นปัจจัยพื้นฐานที่พวกเขาจะได้รับอยู่แล้ว นอกจากนั้น จากการสำรวจป่ารกร้างทางเหนือ หลางไป๋ยังได้เผ่ากวางป่ามาเป็นพันธมิตร หนำซ้ำ ทางทิศตะวันออกของฟาร์มยังพบเหมืองพลอย นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ทั้งนั้น เผ่าจิ้งจอกและเผ่าหมูป่ายังไม่ให้คำตอบที่แน่ชัด พวกเขาเลือกอาศัยอยู่ที่เดิม แต่ให้สัญญาว่าจะไม่ลุกล้ำเข้ามาในฟาร์ม ทั้งยังรับปากว่าจะไม่สร้างความเสียหายใดๆ ให้กับสัตว์จำแลงและฟาร์มอย่างเด็ดขาด ในด้านของลู่ซินฟาง หลังจากเคลียร์งานต่างๆ เรียบร้อย นางก็ข้ามมาที่มิติเพื่อพบกับเผ่ากระต่ายและเผ่ากวางป่า
บทที่ 105เรื่องน่ายินดี (ครึ่งแรก) สรุปให้เข้าใจง่ายๆ เมื่อมิติขยายตัวออกไป เวทมนตร์ของภูตที่ดูแลมิติก็เพิ่มขึ้นด้วย พลังเวทนั้นจะสร้างทรัพยากรมากมายให้กับมิติ และเพิ่มวิวัฒนาการเหล่าสัตว์อสูรให้มีสติปัญญาจนถึงขั้นเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตา ก่อนที่ลู่ซินฟางจะครอบครองมิติ พื้นที่แถบนี้ยังเป็นแค่ดินแดนที่แทบไม่มีอะไรเลย แต่หลังจากที่ลู่ซินฟางขยายฟาร์มทีละเล็กทีละน้อย สัตว์ในมิติก็ค่อยๆ กลายร่างเป็นมนุษย์ มีสติปัญญาและสื่อสารกันรู้เรื่อง ท้ายที่สุดก็มาอาศัยร่วมกันเหมือนอย่างทุกวันนี้ หลังจากหนุ่มสาวเผ่ากระต่ายได้ฟังคำบอกเล่าก็เข้าใจทันที วิวัฒนาการของพวกตนเกิดจากภูตจิ๋วตรงหน้านี้เอง “แล้วพวกเจ้ามีจำนวนเท่าไรหรือ” หลินถาม “ถ้าเฉพาะเผ่ากระต่าย รวมเด็กๆ ในเผ่าด้วยก็ประมาณ 14-15 ตน” “อืม” “แสดงว่ายังมีเผ่าอื่นๆ อีก ป่าแถบนั้นมีเผ่าอะไรบ้างหรือ” “ละแวกที่เผ่ากระต่ายอาศัย ก็มีเผ่าหมูป่า เผ่ากวางป่า ไกลออกไปอีกได้ยินว่ายังมีเผ่าเสือและเผ่าจิ้งจอก แต่มีจำนวนเท่าไร พวกเราไม่รู้หรอก” “เข้าใ
บทที่ 104เผ่ากระต่าย (ครึ่งหลัง) เวลาเดียวกันนั้น ในมิติต่างโลก ภูตตัวน้อยบินวนไปวนมาพร้อมกับพิจารณากลุ่มมนุษย์ที่มีหูกระต่ายสีเทาอันนุ่มนิ่มและนุ่มฟู “พวกเจ้าเป็นเผ่ากระต่ายจริงๆ สินะ” หลินถามเหล่ามนุษย์หูกระต่าย “แค่ดูหูก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ” คำพูดขัดแย้งนี้เป็นของซินหลิน “เจ้าเด็กคนนี้นี่ เรื่องนั้นข้าดูแวบเดียวก็รู้อยู่แล้วน่า ก็แค่อยากถามให้แน่ใจเท่านั้นเอง” หลินหันมาทำท่าโวยวายใส่ซินหลิน ซินหลินไม่ได้มีสีหน้าสำนึกผิดแม้แต่น้อย เด็กชายทำหน้านิ่ง กรอกตามองบนทีหนึ่ง ก่อนจะถามหลินว่า “ว่าแต่ จะเอายังไงกับพวกเขาดีล่ะ” “อืม นั่นสิน๊า” หลินทำท่าครุ่นคิด หากกล่าวถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ ต้องย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ซินหลินกับสยงอู๋มาที่โกดังต่างมิติ เพื่อตรวจนับผักผลไม้ ก่อนจะเอาออกไปเติมที่ร้านข้างนอกเหมือนอย่างทุกๆ วัน แต่เช้าวันนี้ พอเปิดโกดังปุบก็พบผู้บุกรุกปับ ผู้บุกรุกมีทั้งหมดเจ็ดตน ทุกตนเป็นเผ่ากระต่าย และกำลังแอบกินผักผลไม้ที่อย
บทที่ 103เผ่ากระต่าย (ครึ่งแรก) ตอนขากลับ โจวหวังเยว่หอบหิ้วสินค้าขึ้นรถม้าเต็มสองมือ ส่วนกงเยียนซูซื้อใบชากลับไปเหมือนอย่างเคย ตลอดเวลาที่อยู่กับลู่ซินฟาง สายตาของกงเยียนซูแสดงออกถึงความรักใคร่อย่างไม่คิดจะปิดบัง ทำเอาคนที่เห็นถึงกับเอียนความหวานกันเป็นแถว รถม้าเคลื่อนตัวออกไปไกลแล้ว แต่ลู่ซินฟางยังยืนอยู่ที่เดิม ใกล้จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้วสินะ… หญิงสาวคิดอย่างสับสน ไม่ใช่ว่าไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเทศกาลไหว้พระจันทร์ จริงอยู่ที่ลู่ซินฟางในอดีตสูญเสียครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ในขณะเดียวกัน ตั้งแต่ได้รับมิติมา ลู่ซินฟางมักจะจัดเลี้ยง งานเทศกาล และงานสังสรรค์อื่นๆ กับภูตหลินและเหล่าสัตว์อสูร ปีนี้กงเยียนซูชวนเที่ยวงานเทศกาลด้วยกัน นางที่ไม่เคยปฏิสัมพันธ์หรือเที่ยวเล่นกับคนอื่นมาก่อน อดรู้สึกสับสนไม่ได้จริงๆ “เสียดายที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันให้นานอีกหน่อยหรือขอรับ” หลางไป๋เห็นลู่ซินฟางเอาแต่ยืนเหม่อตั้งแต่รถม้าของกงเยียนซูเคลื่อนออกจากหน้าร้าน เห็นแล้วก็อดจะพูดกระเซ้าเย้าแ