บทที่ 72
หลางไป๋หาสามี(ปลอม)ให้ลู่ซินฟาง!?
หลังจากถูกไล่ให้ออกมา เหอถิงหันกลับไปมองร้านค้าใหญ่ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น แต่ถึงอย่างนั้น สีหน้าและท่าทางของเขายังคงนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไร
ตรงกันข้าม นางเหอกลับยืนตะโกนปาวๆ หน้าร้านซินหลินจนคอขึ้นเอ็น
“คิดว่าตัวเองเป็นใคร หา! ใหญ่โตนักรึไง ถึงได้ทำตัวหยิ่งผยองแบบนี้ เฮอะ ก็แค่ได้สามีรวยเท่านั้นแหละ อาถิงลูกข้าเป็นถึงผู้ช่วยผู้ตรวจการ ถ้าพวกเราอยากเอาผิดเจ้าจริงๆ เจ้าไม่รอดหรอก รอวันล่มจมได้เลย นังตัวแสบ!”
คนที่เดินผ่านไปมาบนถนนสายนั้น ต่างหันมามองหญิงกลางคนร่างท้วมด้วยความสงสัย
เหอถิงแม้เป็นพวกหน้าด้าน แต่กลับไม่ชอบถูกมองว่าเป็นฝ่ายไม่ดี พอถูกมองมากเข้า เขาก็ขมวดคิ้วไม่พอใจ ก่อนจะเรียกมารดา “ท่านแม่ ออกไปจากตรงนี้กันก่อนเถอะ”
นางเหอสูดหายใจลึกพยายามทำใจให้เย็น ก่อนพยักหน้าแล้วเดินตามลูกชายออกมาจากถนนสายนั้น
ระหว่างที่สองแม่ลูกเดินกลับโรงเตี๊ยม จู่ๆ เหอถิงก็พูดขึ้นว่า “ข้าคิดว่าสามีใหม่ของนางคงไม่ได้แค่ร่ำรวยธรรมดา จะทำอะไร พวกเราควรวางแผนให้ดีก่อน”
“ไม่ธรรมดารึ หมายความว่ายังไง” นางเหอถามลูกชายเสียงแหลม “เจ้าเป็นถึงขุนนาง ยังไงก็ต้องมีอำนาจมากกว่าพ่อค้าอยู่แล้ว”
“แต่ฐานะของข้าได้มาเพราะตระกูลจี๋ ถ้ามีข่าวลือเสียหายเกี่ยวกับข้าขึ้นมา ทางนั้นอาจลดตำแหน่งข้าลงก็ได้”
แม้สอบติดจอหงวน แต่ถ้าไม่มีเส้นสาย ก็ไม่อาจรับตำแหน่งใหญ่ แน่นอนว่า เหอถิงใช้เส้นสายของตระกูลจี๋ที่เป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่จนได้เป็นผู้ช่วยผู้ตรวจการ
แต่ถ้าทำเรื่องที่เสื่อมเสีย ตระกูลของภรรยาก็มีสิทธิ์ลดทอนตำแหน่งของเขาได้เช่นกัน
“เจ้าจะยอมตัดใจเรื่องเฉิงเอ๋อร์หรือ ทั้งที่ชีวิตของเจ้าอยู่ในช่วงขาขึ้นแท้ๆ” นางเหอพูดจบก็ทำหน้าครุ่นคิด สักพักก็บอกกับลูกชายว่า “ไม่เป็นไร เรื่องสกปรกแม่ทำเอง เจ้ากลับไปพักที่โรงเตี๊ยมก่อน แม่ขอสืบเรื่องนางอีกสักหน่อยแล้วจะกลับ”
“ระวังตัวด้วยนะท่านแม่”
“อืม รู้แล้ว”
จากนั้นนางเหอกับลูกชายก็แยกกันเดินกันไปคนละทาง
ระหว่างเดินกลับโรงเตี๊ยม เหอถิงวางแผนสำรอง หากพาเฉิงเอ๋อร์กลับไปไม่ได้ ก็คงต้องใช้วิธีบังคับ
กฎของตระกูลเหอข้อแรก ผู้สืบทอดเจ้าบ้านต้องมีบุตรชายที่เป็นสายเลือดแท้ๆ
บุตรชายของเหอถิงตอนนี้มีแค่เฉิงเอ๋อร์ เขากับมารดาถึงได้มาที่นี่ เพื่อพาตัวเฉิงเอ๋อร์กลับเข้าตระกูลเหอ เรื่องนี้เขาบอกภรรยาไว้แล้ว และนางก็ยอมรับได้
แต่ใครจะคิด เพิ่งหย่ากันไม่ถึงหนึ่งปี ลู่ซินฟางก็ได้สามีใหม่
อีกอย่าง ทั้งที่เมื่อก่อนลู่ซินฟางอ่อนแอและเชื่อฟังเขามาก ตอนนี้กลับหัวแข็งไม่ยอมอ่อนข้อใดๆ ทั้งนางยังฉลาด เอาหนังสือหย่าฉบับนั้นขึ้นมาเป็นข้ออ้าง
ถ้าว่าตามกฎหมาย หลักฐานในใบหย่านั้นทำให้เขาแพ้คดีอย่างราบคาบ เช่นนั้นก็มีแต่ต้องบังคับกันแล้ว
พลันนั้นสายตาของเหอถิงก็เป็นประกายเจ้าเล่ห์
แม้ลู่ซินฟางจะหัวแข็ง แต่ลูกจ้างในร้านดูท่าทางหัวอ่อน ถ้ายังเป็นลู่ซินฟางคนเดิม นางไม่มีทางทอดทิ้งพวกพ้องของตนอย่างแน่นอน!
ย้อนกลับมาที่ร้านซินหลิน
หลังจากหลางไป๋เก็บแก้วชุดชาไปทำร้ายจนเป็นผุยผงและทิ้งลงขยะทั้งหมด เขาก็กลับมาถามลู่ซินฟางว่า “ดูจากความหน้าด้านของคนพวกนั้น คงไม่ยอมลามือง่ายๆ แน่ นายหญิงจะทำยังไงต่อขอรับ”
“พวกเขาสร้างภาพให้กับตัวเองเก่ง เหอถิงเองก็เพิ่งเป็นขุนนาง ไม่มีทางไปฟ้องร้องที่ศาลาว่าการหรอก อย่างแรก พวกเราต้องปกป้องเฉิงเอ๋อร์ จากนั้นคอยจับตามองว่าพวกเขาจะมาไม้ไหน”
หลางไป๋โค้งตัวตอบ “ขอรับ” ก่อนจะถามต่อ “แล้วเรื่องสามีใหม่ของนายหญิง ปล่อยให้พวกเขาเข้าใจแบบนั้นจะดีหรือขอรับ“
“ปล่อยให้เข้าใจผิดต่อไปนั่นแหละ”
จะพูดความจริงหรือไม่ อีกเดี๋ยวคงสืบกันได้เอง ก็คนพวกนั้นหาข่าวกันเก่ง
“พูดไปแล้ว ให้ใครสักคนมาแสดงเป็นสามีของนายหญิงไม่ดีกว่าหรือ” สยงจวินเสนอแผน
ก่อนหน้านี้ สยงจวินได้ฟังหลางไป๋เล่าคร่าวๆ ไม่นึกว่าคนพวกนั้นจะพูดจาตลบแตลงได้เก่ง และยังดูถูกนายหญิง
อีกอย่าง ทางนั้นแต่งภรรยาใหม่ได้ ถ้าอย่างนั้นให้นายหญิงมีสามีใหม่ก็ได้ไม่ใช่หรือ จะได้เสมอกันไปเลย!?
ไม่เพียงคิด สยงจวินยังเสนอแนะให้หลางไป๋รับบทนั้น
“ข้าแสดงบทนั้นไม่ได้ เพราะพวกนั้นเห็นข้าเป็นคนสวน เช่นนั้นก็คงมีแต่เจ้าแล้วละ หลางไป๋ เจ้าแสดงเป็นสามีของนายหญิงเสียเลยสิ”
หลางไป๋รีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่ได้ ไมได้! พวกนั้นก็เห็นข้าเป็นพ่อบ้านและผู้ดูแลร้านไปแล้ว”
“อย่างนั้นหรือ” สยงจวินพยักหน้าแล้วคิดต่อ
“จำเป็นต้องทำขนาดนั้นเลยหรือ” ลู่ซินฟางถาม
“จำเป็นขอรับ ถ้าพวกนั้นรู้ว่านายหญิงยังไม่ได้แต่งงานใหม่ ตามตื้อท่านยิ่งกว่าเดิมแน่” สยงจวินบอก
“นั่นน่ารำคาญกว่าฟ้องร้องแย่งเฉิงเอ๋อร์อีกนะขอรับ” หลางไป๋พึมพำอย่างเข้าใจ
คิดๆ ดูแล้ว เหตุผลของสยงจวินฟังขึ้นทีเดียว
“ท่านกงเป็นยังไงขอรับ!” สยงจวินโพล่งขึ้นมา
หลางไป๋พยักหน้าเบาๆ เห็นด้วย “ถึงจะไม่ชอบเพราะเรื่องครั้งก่อน แต่เถียงไม่ออกเลย ว่าเขาเหมาะสมที่สุด”
ชายหนุ่มที่ใกล้ชิดลู่ซินฟางเท่าที่นึกออกมีเพียงไม่กี่คน
อิ้งเหยียนเพิ่งมาที่เมืองเล่ออัน ถึงจะมีไหวพริบและไหลตามน้ำเก่ง แต่หลอกลวงคนทั้งเมืองเล่ออันไม่ได้
จิ่นเซี่ยไม่มีทางทำตามคำขอแน่ เพราะคนซื่อตรงแบบนั้นในใจมีแค่หลางชุน
จางต้วนกับเถี่ยฮ่าวซือ อย่าดีกว่า สองคนนี้เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
“ถ้าอย่างนั้นก็เหลือแค่ท่านกง” หลางไป๋ย้ำอีกครั้ง
“ถูกต้อง ควรเป็นท่านกง” สยงจวินก็คิดแบบเดียวกัน
“ก็ไม่มีใครอื่นอีกแล้วนี่”
“เดี๋ยวสิ ข้ายังไม่ได้รับปากว่าเห็นด้วยกับแผนนี้” ลู่ซินฟางแย้ง แต่ทั้งสองคนไม่สนใจนางเลยสักนิด พูดคุยและตกลงกันเองอย่างดิบดี
“เป็นไปได้ก็อยากให้รับบทเป็นพ่อของเจ้าหนูทั้งสองด้วย”
สยงจวินผงกศีรษะขึ้นลง “เห็นด้วย เอาให้ทางนั้นอกแตกตายไปเลย ก็อยากเขียนเหตุผลที่หย่าแบบนั้นเองนี่นา”
แล้วพ่อหมีก็หัวเราะฮ่าฮ่า
หลางไป๋ยิ้มเย็นยะเยือก แค่คิดก็รู้สึกสะใจแล้ว
“พวกเจ้า ไม่มีใครฟังข้าเลยหรือ”
โอ้ย ทำไมความคิดของพวกเขาถึงออกทะเลไปไกลแบบนี้
ระหว่างที่หญิงสาวกุมขมับด้วยความปวดหัว จู่ๆ หลางไป๋ก็โพล่งกับตัวเองว่า “ช้าไม่ได้แล้ว”
ลู่ซินฟางเบิกตากว้างมองหมาป่าหนุ่ม
อะไรคือช้าไม่ได้
“ข้าต้องไปเตี้ยมกับท่านกงเดี๋ยวนี้เลย”
ว่าจบ หลางไป๋ก็พุ่งตัวออกจากห้องทันที
ลู่ซินฟางยื่นมือทำท่าจะคว้าชายหนุ่ม แต่หมาป่าเคลื่อนไหวเร็ว ไหนเลยจะคว้าได้ทัน!!
บทที่ 108พลอยประดับ หลายวันมานี้ ภูตหลินกำลังสนุกกับการออกแบบเครื่องประดับ ปกติก็ชอบการวาดภาพระบายสีเล่นอยู่แล้ว พอได้ทำสิ่งที่ชอบและยังเป็นประโยชน์ จึงเพลิดเพลินจนเผลอวาดออกมาตั้งเยอะแยะ ลู่ซินฟางเป็นฝ่ายคัดแยก ว่าเครื่องประดับชิ้นไหนวางขายได้ ชิ้นไหนวางขายไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว หลินออกแบบได้ดีทุกชิ้น “สวยๆ ทั้งนั้นเลย มีทั้งแบบเรียบง่าย และแบบอลังการงานสร้าง!” “ในมิติตอนนี้เริ่มก่อสร้างโรงเจียระไนพลอยแล้วขอรับ ส่วนนี่เป็นพลอยตัวอย่างที่ท่านหลินใช้เวทเจียระไนขึ้นมาเอง” หลางไป๋พูดพร้อมวางกล่องกำมะยี ด้านในมีพลอยเจียระไนหลายสี ลู่ซินฟางร้องอย่างประหลาดใจ “เร็วถึงเพียงนี้!” ไม่ใช่แค่นั้น หลังจากเปิดกล่องดู สีหน้าของนางยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก พลอยทุกชิ้นเปล่งประกายสดใส ทั้งยังเจียระไนออกมาได้ดีไม่มีที่ติ หลางไป๋ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าเตือนท่านหลิน งานเจียระไนจะเป็นหน้าที่ของช่างฝีมือ แต่ดูเหมือนท่านหลินจะตื่นเต้น เลยทำพลอยพวกนี้ออกมาเยอะขอรับ” “ถึงจะสวยมาก แต่น่าเสียดาย พวกเราวางขา
บทที่ 107เพราะข้าเป็นห่วงเจ้า ยามบ่ายของวันนั้นเอง กงเยียนซูกับโจวหวังเยว่แวะมาดูสินค้าที่ร้านซินหลิน ทันทีที่มาถึง โจวหวังเยว่แยกกับกงเยียนซูไปเลือกดูสินค้าด้วยท่าทีตื่นตาตื่นใจ เวลานี้กงเยียนซูกับลูซินฟางจึงมีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพัง “พี่ห้าสนใจสินค้าของร้านซินหลิน ช่วงที่เขาอยู่เมืองเล่ออันต้องรบกวนเจ้าแล้ว” กงเยียนซูเอ่ยทักทายด้วยสีหน้าเก้อเขิน หญิงสาวยิ้มน้อยๆ ให้กับชายหนุ่ม พลางตอบว่า “มีคนกระเป๋าหนักมาอุดหนุน ข้าย่อมดีใจอยู่แล้ว กลับกัน ร้านของเราต้องขอบคุณพวกท่านที่มาอุดหนุนบ่อยๆ เจ้าค่ะ” “ไม่ถึงขนาดหรอก สินค้าร้านซินหลินคุณภาพดีทุกอย่าง บริการก็ดีมาก ลูกค้าที่ซื้อไปแล้วก็อยากกลับมาซื้อใหม่ อ้อ ชาสมุนไพรที่ซื้อไปคราวก่อนใกล้จะหมดแล้ว เจ้าพอจะแนะนำใบชาอย่างอื่นให้ข้าได้หรือไม่” “ได้แน่นอนเจ้าค่ะ” พูดจบ ลู่ซินฟางเดินนำชายหนุ่มไปทางจุดที่วางขายใบชา หญิงสาวแนะนำใบชาแต่ละชนิดให้กับกงเยียนซู ชาดอกไม้ ชาสมุนไพร และชาหายากใหม่ๆ ระหว่างแนะนำสินค้าให้กับกงเยียนซู จู่ๆ ในหัวของลู่
บทที่ 106เรื่องน่ายินดี (ครึ่งหลัง) สามวันถัดมา ผู้นำเผ่ากระต่ายเดินทางมาพบกับภูตจิ๋ว ขอเจรจาและทำข้อตกลง เงื่อนไขของพวกเขาคือ ขอสร้างหมู่บ้านกระต่ายในอาณาเขตของภูต แลกกับอาหารและความปลอดภัย อย่างไรก็ดี ตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ หากเผ่ากระต่ายจะมาช่วยงานในฟาร์ม ทางนี้ก็จะจ่ายค่าตอบแทน รวมไปถึงให้การศึกษา อำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน อาหาร ที่อยู่อาศัยและความปลอดภัยอันเป็นปัจจัยพื้นฐานที่พวกเขาจะได้รับอยู่แล้ว นอกจากนั้น จากการสำรวจป่ารกร้างทางเหนือ หลางไป๋ยังได้เผ่ากวางป่ามาเป็นพันธมิตร หนำซ้ำ ทางทิศตะวันออกของฟาร์มยังพบเหมืองพลอย นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ทั้งนั้น เผ่าจิ้งจอกและเผ่าหมูป่ายังไม่ให้คำตอบที่แน่ชัด พวกเขาเลือกอาศัยอยู่ที่เดิม แต่ให้สัญญาว่าจะไม่ลุกล้ำเข้ามาในฟาร์ม ทั้งยังรับปากว่าจะไม่สร้างความเสียหายใดๆ ให้กับสัตว์จำแลงและฟาร์มอย่างเด็ดขาด ในด้านของลู่ซินฟาง หลังจากเคลียร์งานต่างๆ เรียบร้อย นางก็ข้ามมาที่มิติเพื่อพบกับเผ่ากระต่ายและเผ่ากวางป่า
บทที่ 105เรื่องน่ายินดี (ครึ่งแรก) สรุปให้เข้าใจง่ายๆ เมื่อมิติขยายตัวออกไป เวทมนตร์ของภูตที่ดูแลมิติก็เพิ่มขึ้นด้วย พลังเวทนั้นจะสร้างทรัพยากรมากมายให้กับมิติ และเพิ่มวิวัฒนาการเหล่าสัตว์อสูรให้มีสติปัญญาจนถึงขั้นเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตา ก่อนที่ลู่ซินฟางจะครอบครองมิติ พื้นที่แถบนี้ยังเป็นแค่ดินแดนที่แทบไม่มีอะไรเลย แต่หลังจากที่ลู่ซินฟางขยายฟาร์มทีละเล็กทีละน้อย สัตว์ในมิติก็ค่อยๆ กลายร่างเป็นมนุษย์ มีสติปัญญาและสื่อสารกันรู้เรื่อง ท้ายที่สุดก็มาอาศัยร่วมกันเหมือนอย่างทุกวันนี้ หลังจากหนุ่มสาวเผ่ากระต่ายได้ฟังคำบอกเล่าก็เข้าใจทันที วิวัฒนาการของพวกตนเกิดจากภูตจิ๋วตรงหน้านี้เอง “แล้วพวกเจ้ามีจำนวนเท่าไรหรือ” หลินถาม “ถ้าเฉพาะเผ่ากระต่าย รวมเด็กๆ ในเผ่าด้วยก็ประมาณ 14-15 ตน” “อืม” “แสดงว่ายังมีเผ่าอื่นๆ อีก ป่าแถบนั้นมีเผ่าอะไรบ้างหรือ” “ละแวกที่เผ่ากระต่ายอาศัย ก็มีเผ่าหมูป่า เผ่ากวางป่า ไกลออกไปอีกได้ยินว่ายังมีเผ่าเสือและเผ่าจิ้งจอก แต่มีจำนวนเท่าไร พวกเราไม่รู้หรอก” “เข้าใ
บทที่ 104เผ่ากระต่าย (ครึ่งหลัง) เวลาเดียวกันนั้น ในมิติต่างโลก ภูตตัวน้อยบินวนไปวนมาพร้อมกับพิจารณากลุ่มมนุษย์ที่มีหูกระต่ายสีเทาอันนุ่มนิ่มและนุ่มฟู “พวกเจ้าเป็นเผ่ากระต่ายจริงๆ สินะ” หลินถามเหล่ามนุษย์หูกระต่าย “แค่ดูหูก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ” คำพูดขัดแย้งนี้เป็นของซินหลิน “เจ้าเด็กคนนี้นี่ เรื่องนั้นข้าดูแวบเดียวก็รู้อยู่แล้วน่า ก็แค่อยากถามให้แน่ใจเท่านั้นเอง” หลินหันมาทำท่าโวยวายใส่ซินหลิน ซินหลินไม่ได้มีสีหน้าสำนึกผิดแม้แต่น้อย เด็กชายทำหน้านิ่ง กรอกตามองบนทีหนึ่ง ก่อนจะถามหลินว่า “ว่าแต่ จะเอายังไงกับพวกเขาดีล่ะ” “อืม นั่นสิน๊า” หลินทำท่าครุ่นคิด หากกล่าวถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ ต้องย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ซินหลินกับสยงอู๋มาที่โกดังต่างมิติ เพื่อตรวจนับผักผลไม้ ก่อนจะเอาออกไปเติมที่ร้านข้างนอกเหมือนอย่างทุกๆ วัน แต่เช้าวันนี้ พอเปิดโกดังปุบก็พบผู้บุกรุกปับ ผู้บุกรุกมีทั้งหมดเจ็ดตน ทุกตนเป็นเผ่ากระต่าย และกำลังแอบกินผักผลไม้ที่อย
บทที่ 103เผ่ากระต่าย (ครึ่งแรก) ตอนขากลับ โจวหวังเยว่หอบหิ้วสินค้าขึ้นรถม้าเต็มสองมือ ส่วนกงเยียนซูซื้อใบชากลับไปเหมือนอย่างเคย ตลอดเวลาที่อยู่กับลู่ซินฟาง สายตาของกงเยียนซูแสดงออกถึงความรักใคร่อย่างไม่คิดจะปิดบัง ทำเอาคนที่เห็นถึงกับเอียนความหวานกันเป็นแถว รถม้าเคลื่อนตัวออกไปไกลแล้ว แต่ลู่ซินฟางยังยืนอยู่ที่เดิม ใกล้จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้วสินะ… หญิงสาวคิดอย่างสับสน ไม่ใช่ว่าไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเทศกาลไหว้พระจันทร์ จริงอยู่ที่ลู่ซินฟางในอดีตสูญเสียครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ในขณะเดียวกัน ตั้งแต่ได้รับมิติมา ลู่ซินฟางมักจะจัดเลี้ยง งานเทศกาล และงานสังสรรค์อื่นๆ กับภูตหลินและเหล่าสัตว์อสูร ปีนี้กงเยียนซูชวนเที่ยวงานเทศกาลด้วยกัน นางที่ไม่เคยปฏิสัมพันธ์หรือเที่ยวเล่นกับคนอื่นมาก่อน อดรู้สึกสับสนไม่ได้จริงๆ “เสียดายที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันให้นานอีกหน่อยหรือขอรับ” หลางไป๋เห็นลู่ซินฟางเอาแต่ยืนเหม่อตั้งแต่รถม้าของกงเยียนซูเคลื่อนออกจากหน้าร้าน เห็นแล้วก็อดจะพูดกระเซ้าเย้าแ