บทที่ 97
ตาลุงวิตถาร กับ ข้าวโพดทาเนย (ครึ่งหลัง)
ทันทีที่ลู่ซินฟางกับหลางไป๋เดินมาถึงสวน เป่าเอ๋อร์ถือพวงองุ่นวิ่งเข้ามาหาลู่ซินฟางด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสดใส
“ท่านแม่ องุ่นนี่หวานมากเลย”
“เจ้าตัวเล็กของแม่ มาเพื่อกินหรือมาช่วยพวกพี่ชายเก็บผลไม้กันแน่เนี่ย” ลู่ซินฟางพูดยิ้มๆ พลางลูบศีรษะของลูกสาว
ทุกคนที่ได้ยินต่างขบขันยกใหญ่
เป่าเอ๋อร์ยิ้มเขิน แต่สักครู่ ก็หัวเราะชอบใจออกมาเหมือนกับพวกพี่ชาย
“ถ้าอย่างนั้น ข้าไปช่วยพี่ซินหลินเก็บองุ่นต่อนะท่านแม่”
“ได้จ๊ะ”
จากนั้นเป่าเอ๋อร์ก็วิ่งปรู๊ดไปที่สวนองุ่น
ลู่ซินฟางค่อยๆ เดินดูผลผลิตในสวนกับหลางไป๋พร้อมกับคุยธุระ
วันนั้นทั้งวัน ทุกคนอยู่ที่สวน ช่วยกันเก็บเกี่ยวจนกระทั่งเย็น
ในฤดูใบไม้ร่วง พอตกเย็นสายลมเย็นๆ ก็พัดผ่านมาเป็นระยะ อากาศค่อนข้างหนาว
ระหว่างกำลังรอผู้ใหญ่เตรียมมื้อเย็น สยงอู๋ที่เป็นพี่ใหญ่สุดในกลุ่มของเด็กๆ เสนอขึ้นว่า “ทุกคน พวกเรามาทำของอร่อยๆ กันเถอะ”
“ใกล้จะถึงมื้อเย็นแล้วนะ ถ้ากินของว่างแล้วจะกินข้าวกันได้หรือ” สยงเหยาผู้เป็นน้องชายเอ่ยเตือน
“ไม่เป็นไร ข้ากินไหว”
“ก็พี่ใหญ่ตัวโตขนาดนั้น กระเพาะก็ต้องใหญ่ไปด้วย แต่คนอื่นๆ ไม่เหมือนพี่ใหญ่หรอกนะ พวกเขากินเยอะไม่ไหวหรอก”
“แล้วพี่ชายอู๋จะทำอะไรหรือ” เป่าเอ๋อร์ถามอย่างสนใจ ขอแค่เป็นของกิน จะหนักท้องหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องใหญ่
“ข้าวโพดปิ้งทาเนย” สยงอู๋บอก
“เนย!?”
เป่าเอ๋อร์ตาโตอย่างตื่นเต้นเมื่อได้ยินคำว่าเนย ตอนไปที่แดนสวรรค์ เคยกินขนมที่มีส่วนผสมของเนยหลายครั้งเลยเกิดความคิดที่ว่า อะไรก็ตามที่มีส่วนผสมของเนยต้องอร่อยมากแน่
“ต้องอร่อยแน่ๆ เลย ข้าอยากกิน” เป่าเอ๋อร์ร้องขึ้น
“นั่นเป็นของจากแดนสวรรค์นี่น่า ข้าก็อยากกินด้วย” เฉิงเอ๋อร์พูดพลางเลียปาก ท่าทางอยากกินไม่ต่างจากน้องสาว
เห็นท่าทางของเด็กแฝดทั้งสอง สยงอู๋ก็ยิ้มตาหยี ถึงข้าวโพดปิ้งทาเนยเป็นเพียงของกินเล่นธรรมดาที่จะกินเมื่อไรก็ได้ แต่สำหรับเด็กทั้งสองคงเป็นอะไรที่พิเศษ
เด็กหนุ่มมองสายตาคาดหวังของเจ้าแฝด ก่อนถลกแขนเสื้อขึ้น ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ “พวกเรามาทำข้าวโพดปิ้งกันเถอะ!”
“เย่ๆ” เจ้าแฝดกระโดดอย่างดีอกดีใจ
“ข้าเองก็อยากกิน แต่ขอเป็นฝักเล็กๆ นะ จะได้ไม่หนักท้องเกินไป” ซินหลินบอกหน้านิ่ง
“ไม่เป็นไร ถ้ากลัวว่าจะกินมื้อเย็นไม่ไหว เดี๋ยวข้าจะหั่นข้าวโพดเป็นท่อนเล็กๆ ให้พวกเจ้าทุกคนเลย” สยงอู๋บอก
พวกเด็กๆ ได้ยินแบบนั้นต่างพยักหน้าตอบพร้อมกัน
“อืมๆ”
ไม่นานนัก พวกเด็กๆ ก็ย้ายมาที่ลานกว้างข้างบ้าน
หลังจากสยงอู๋ก่อกองไฟเสร็จแล้ว เด็กคนอื่นๆ ก็มานั่งล้อมวงรอบๆ ช่วยพี่ใหญ่สยงอู๋แกะเปลือกฝักข้าวโพด
“โอ้ กำลังจะปิ้งข้าวโพดกันหรือ” สยงจวินถือตะกร้าผักที่เพิ่งเก็บกลับมาที่บ้าน
“ข้าวโพดปิ้งทาเนย ท่านพ่อจะกินด้วยหรือไม่” สยงเหยาถาม
“ดีเลย เผื่อพ่อด้วยนะ พ่อจะเก็บไว้กินหลังมื้อค่ำ”
“ได้เลย ท่านพ่อ”
แล้วสยงจวินก็หิ้วตะกร้าผักเดินไปทางครัว
สยงอู๋นำข้าวโพดที่น้องๆ ช่วยกันแกะแล้วมาเสียบไม้ย่างกับไฟ เมื่อข้าวโพดสุกก็ส่งกลิ่นหอม
“ข้าวโพดสุกแล้ว ข้าอยากกินแล้ว พี่ชายอู๋กินได้หรือยัง” เป่าเอ๋อร์ถามเร่ง
“ฮะๆ ยังต้องทาเนยก่อน”
“ให้ข้าช่วยนะ” เฉิงเอ๋อร์อาสา
“ข้าวโพดร้อน อันตราย ตรงนี้ข้าจะทำเอง” สยงอู๋บอกพลางหยิบข้าวโพดเสียบไม้มาวางบนตะกร้าหวายทีละชิ้น แล้วหันไปถามสยงเหยา “เอาเนยมาหรือยัง”
“เอามาแล้ว นี่ไง”
“ดีมาก เจ้าน้องชาย”
สยงอู๋เปิดฝากล่องเก็บเนย ใช้แปรงนุ่มๆ ที่มีเฉพาะในมิติปาดเนยแล้วทาลงบนข้าวโพดปิ้งร้อนๆ เมื่อเนยละลายผสมคลุกเคล้ากับข้าวโพด กลิ่นหอมหวานตลบอบอวลชวนให้น้ำลายสอ
เป่าเอ๋อร์ทำจมูกฟุดฟิด มองข้าวโพดปิ้งสีเหลืองเคลือบด้วยความมันเยิ้มของเนยหอมๆ พลางน้ำลายไหล
“พี่ชายอู๋ หอมจัง อยากกินแล้ว”
“ข้าก็อยากกินแล้ว”
เป่าเอ๋อร์กับเฉิงเอ๋อร์กลืนน้ำลายดังอึกๆ
“ฮะๆ ได้สิ นี่ของพวกเจ้า ระวังด้วยยังร้อนอยู่” สยงอู๋ตัดแบ่งข้าวโพดปิ้งครึ่งฝักแล้วส่งกับเจ้าแฝด “เอาไปคนละครึ่งฝักก่อน ถ้าไม่พอค่อยขอเพิ่มนะ”
“อือ”
เจ้าแฝดรับข้าวโพดมาอย่างระมัดระวัง ปากเล็กๆ เป่าข้าวโพดดังฟู่ๆ ก่อนจะกัดกินทีละคำ
เมื่อเนยรสเค็มผสมกับข้าวโพดหวานเม็ดโต เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์แก้มแดงเมื่อได้กินของอร่อย
“อร่อยมากเลย”
“ใช่ๆ”
สยงอู๋ยิ้มปลื้มปริ่ม จากนั้นยื่นข้าวโพดให้น้องๆ คนละไม้ “อันนี้ของซินหลิน อาเหยา ส่วนนี่ของข้า…”
ระหว่างที่เด็กๆ กำลังกินข้าวโพดอย่างเอร็ดอร่อย จู่ๆ เสียง จ๊อก ก็ดังมาจากนอกวงล้อม
พวกเด็กๆ หันมองทิศทางที่มีเสียงพร้อมกัน
สยงอู๋ พ่ายคนโตในกลุ่มผุดลุกขึ้น แล้วร้องถาม “นั่นใคร”
“เป็นตงตงอีกแล้วหรือเปล่า” สยงเหยาถาม
“ไม่หรอก ไม่ใช่”
ตั้งแต่ตงตงกับเม่ยเม่ยได้กลับมาเรียน เจ้าลิงนั่นก็ไม่มาแอบดูพวกสยงอู๋กินข้าวอีกเลย
“หรือจะเป็นคนบุกรุก?” ซินหลินร้องขึ้นอย่างคาดเดา
คำพูดนั้นทำให้เจ้าแฝดและสยงเหยาเริ่มมีสีหน้าหวาดกลัว พวกเขาลุกขึ้นไปหลบหลังสยงอู๋
“…..”
บรรยากาศรอบด้านเงียบกริบ สักครู่ ชายหนุ่มสองคนก็เดินออกมาจากเงามืดช้าๆ
“เด็กดีๆ พวกเจ้าอย่าเพิ่งตระหนกไป พวกเราไม่ใช่คนไม่ดีหรอกนะ”
“คำพูดน่าสงสัย” ซินหลินโพล่งพร้อมชี้ไปทางชายทั้งสอง
“เอ๊ะ!?” ผู้บุกรุกทั้งสองร้องขึ้น
“คนที่บอกว่าตัวเองเป็นคนดี ส่วนใหญ่จะเป็นพวกวิตถาร หรือไม่ก็เป็นตัวร้าย” ซินหลินบอก
ในยามว่าง ซินหลินจะหาหนังสืออ่านเพื่อเรียนรู้เรื่องต่างๆ ในโลกนี้ ช่วงนี้เขาได้อ่านหนังสือเยอะแยะ หนังสือเล่มล่าสุดที่อ่าน พี่สาวร้านขายหนังสือแนะนำมา เป็นหนังสือที่แต่งขึ้น เรียกว่า ‘นวนิยาย’ ในหนังสือเล่มนั้น กล่าวถึงชายคนหนึ่งที่มีนิสัยแอบจิต ชอบถ้ำมองเด็กหญิงเด็กชาย วันดีคืนดีก็จะลักพาตัวเด็กๆ ไปกักขัง แล้วมองพฤติกรรมของเด็กๆ พวกนั้น
ชายแปลกหน้าสองคนที่แอบดูพวกเขากินข้าวโพด ทำให้ซินหลินอดนึกถึงบทบาทของชายโรคจิตในนิยายเล่มนั้นไม่ได้
“ตัวร้ายหรือ ไม่ใช่ๆ พวกเราก็บอกอยู่ว่ามาดี” ชายหนึ่งในสองแก้ตัว
“แต่พวกเจ้าแอบดูพวกเด็กๆ อย่างพวกเรา ต้องเป็นตาลุงนิสัยวิตาถารไม่ผิดแน่”
“วิตถารด้วยหรือ เจ้าหนูเอาคำนี้มาจากไหน”
“วิด-ถาน อันตราย!” เป่าเอ๋อร์ได้ยินซินหลินพูดคำนั้นซ้ำๆ ก็เริ่มหวาดกลัว เด็กหญิงวิ่งปรู๊ดเข้าบ้านพร้อมตะโกนเรียกท่านแม่ “ท่านแม่ คนวิดถาน”
“เดี๋ยว ไม่…”
ชายทั้งสองหน้าซีด หากก็จนใจจะแก้ตัว
ชายคนหนึ่งหันมาพูดกับอีกคน
“คนวิดถานละขอรับ”
“เฮ้อ…ถูกเข้าใจผิดแล้ว ช่วยไม่ได้นะ”
ตอนพิเศษ (5)จบบริบูรณ์ หลังจากปรับอารมณ์ได้แล้ว จิ้งจอกสาวก็เช็ดน้ำตาบนแก้มจนแห้ง สูดหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะออกจากห้องเพื่อไปขอโทษหลางไป๋ ทว่าทุกครั้งที่นางเข้าใกล้ เขากลับผละหนี แสร้งทำทีเป็นยุ่งง่วนกับงาน ท่าทางแบบนั้นราวกับจงใจหลบหน้านางไม่มีผิด เมื่อตระหนักได้เช่นนั้น เจียงจวีก็น้ำตาซึม รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก นับวันหัวใจของนางก็ยิ่งปวดแปลบ ท้ายที่สุด นางที่รู้สึกระอายใจเป็นทุนเดิม ยิ่งไม่กล้าสู้หน้าเขา หลายวันต่อมา เจียงจวีเก็บข้าวของ หนีกลับเผ่าจิ้งจอก ณ เผ่าจิ้งจอก ผู้นำเผ่าจิ้งจอกในร่างของชายวัยคนกับจิ้งจอกหนุ่มต่างยืนกอดอกหน้าตาขึงขัง ในขณะที่มองจิ้งจอกสาวกอดเข่าน้ำตาซึม “ตั้งแต่นางกลับมาก็เอาแต่นั่งอมทุกข์ทั้งวันทั้งคืน สงสัยจะเจอแย่ๆ มา หากรู้อย่างนี้ ข้าไม่น่าอนุญาตให้นางออกไปเจอโลกภายนอกเลย เป็นข้าที่ตัดสินใจผิดพลาดเอง” ผู้นำเผ่าพูดกับลูกชาย “ท่านพ่อไม่ได้ตัดสินใจผิดพลาดหรอกขอรับ ให้นางออกไปเผชิญโลกภายนอก นับเป็นประสบการณ์ของนางด้วย” จิ้งจอกหนุ่มกล่าว
ตอนพิเศษ (4) หลังจากเห็นว่าเจียงจวีเหมาะกับตำแหน่งพนักงานขาย หลางไป๋ก็ให้นางทำงานในร้านซินหลินคู่กับห่จือเหมย เพียงไม่กี่อาทิตย์ เจียงจวีก็เป็นพนักงานขายอันดับต้นๆ ของร้าน ด้วยความที่เป็นจิ้งจอกใสซื่อ จึงทำให้ผู้คนชื่นชอบและเอ็นดูไม่น้อย ไม่เว้นแม้แต่หลางไป๋ “ทำงานแค่ไม่กี่อาทิตย์ เจ้าก็ทำกำไรให้ร้านซินหลินไม่น้อย…ทำดีมาก” หลางไป๋เอ่ยชมเจียงจวี พร้อมกับยื่นมือไปลูบศีรษะ ตอนแรก หมาป่าหนุ่มทำไปโดยไม่ได้คิดอะไร แต่พอเห็นจิ้งจอกสาวผงะ ทั้งแก้มนวลเนียนยังขึ้นสีแดงระเรื่อ มือใหญ่ที่กำลังลูบศีรษะของนางพลันชักกลับมา จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินไปตรวจงานแผนกอื่น และไม่พูดไม่จาใดๆ หัวใจของเจียงจวีเต้นระส่ำระส่ายไม่หยุด แม้ยกมือขึ้นลูบหน้าอกพร้อมสูดหายลึกๆ แล้ว หากแต่หัวใจยังคงเต้นแรงเหมือนจะกระเด็นออกมา อย่างไรก็ตาม อาการใจเต้นแรงนี้ ทำให้จิ้งจอกสาวอดรู้สึกกังวลไม่ได้ หมิงฮวาเข้าร้านมาในจังหวะนั้นพอดี นางมองหลางไป๋สลับกับมองเจียงจวี สักครู่ ดวงตาของอสรพิษสาวก็หรี่ลงเล็กน้อย เมื่อเห็นหลางไป๋ขึ้นไปที่ชั้
ตอนพิเศษ (3) วันต่อมา จิ้งจอกสาวหอบห่อผ้ามาที่ฟาร์มอีกครั้ง แต่หนนี้นางมาพร้อมกับพี่ชาย “พวกเจ้าสองพี่น้องจะมาอยู่ที่ฟาร์มด้วยกันหรือ” หลางไป๋สอบถาม การได้คนหน่วยกร้านดีเพิ่ม มีใครบ้างไม่ชอบ ทว่าจิ้งจอกหนุ่มโบกมือแล้วตอบ “ไม่ใช่ขอรับ ข้าแค่มาส่งน้องสาว อีกอย่าง ที่มาวันนี้ก็เพื่อขอร้องท่านให้ช่วยดูแลนางด้วย นางค่อนข้างซื่อน่ะขอรับ” หลางไป๋พยักหน้าเหมือนเข้าใจ หญิงสาวเผ่าจิ้งจอกยิ้มใสซื่อ โค้งศีรษะให้กับหลางไป๋ทีหนึ่ง “จากนี้ข้าต้องขอฝากตัวด้วยเจ้าค่ะ” หลางไป๋หันไปยิ้มให้กับหญิงสาวเผ่าจิ้งจอกพลางตอบว่า “ทางนี้ก็ต้องฝากตัวด้วยเช่นกัน” จากนั้นก็หันไปพูดกับทางพี่ชายด้วยสีหน้าเสียดาย “พูดก็พูดเถอะ เจ้าเองก็หน่วยกร้านดีไม่เบา น่าจะมาอยู่ที่ฟาร์มด้วยกัน” “ความจริงข้าก็อยากมาทำงานที่นี่นะขอรับ แต่เพราะท่านพ่อของพวกเรากำลังป่วย ข้าที่เป็นลูกชาย และยังเป็นว่าที่หัวหน้าเผ่าคนต่อไป ต้องคอยจัดการหลายๆ เรื่อง ตอนนี้ก็เลยออกจากเผ่าไม่ได้” “ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ” “ขอบคุณท่านผู
ตอนพิเศษ (2) สถานที่นี้เรียกว่าฟาร์ม มีทั้งสวนผัก สวนผลไม้ ทุ่งดอกไม้ โรงเรือนเพาะต้นกล้า ไหนจะโรงผลิตสารพัดที่เพิ่มขึ้นเหมือนกับดอกเห็ด หนำซ้ำ ยังมีหมู่บ้านของเหล่าสัตว์อสูร ถนนที่ปูด้วยอิฐ ตรงลานกว้างของเมืองก็มีน้ำพุขนาดใหญ่ พวกเขาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข…น่าอิจฉาและดูน่าสนุกกันจังเลย จิ้งจอกสาวคิด ก่อนจะถอนหายเฮือกออกมาหนึ่ง หญิงสาวชอบความตื่นตาตื่นใจของฟาร์ม ถึงได้แอบมาดูทุกวัน ในตอนที่ลำแสงสีทองสาดเข้ามาในป่ารกทึบ จากนั้นเหล่าสัตว์ก็มีวิวัฒนาการกลายร่างเป็นมนุษย์ ตอนนั้นนางตื่นเต้นมาก กระโดดโลดเต้นรอบป่า ยิ่งค้นพบว่ายังมีสัตว์เผ่าอื่นที่กลายร่างเป็นมนุษย์ นางก็ยิ่งอยากเป็นเพื่อนกับทุกคน เพราะอย่างนั้นตอนที่หมาป่าเพศผู้นามว่าหลางไป๋มาเจรจาขอเป็นพันธมิตรกับเผ่าจิ้งจอก นางอยากให้ท่านพ่อตอบรับการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับท่านภูต แต่ว่า ท่านพ่อกลับปฏิเสธ แม้ผิดหวังอย่างมาก แต่คำสั่งของผู้นำเผ่าถือเป็นเด็ดขาด เช้าตรู่ของวันนี้ จิ้งจอกสาวก็ยังแอบมาที่ฟาร์ม นางหลบหลังต้นไม้ใหญ่ แ
ตอนพิเศษ (1) ต้นฤดูหนาวของปีนั้น ชุนกับจิ่นเซี่ยได้จัดพิธีแต่งงานแบบเรียบง่าย โดยหลางไป๋เป็นญาติฝ่ายหญิง ส่วนจิ่นเซี่ยนั้น เนื่องจากองครักษ์หนุ่มผู้นี้เป็นเด็กกำพร้า ญาติฝ่ายชายจึงเป็นกงเยียนซู แม้เป็นงานแต่งที่เรียบง่าย แต่เพราะได้ลู่ซินฟางเป็นแม่งาน อาหารสุราจึงขึ้นเต็มโต๊ะตลอดทั้งวันทั้งคืน แขกเหรื่อที่มาร่วมงานล้วนเป็นคนกันเอง งานแต่งของชุนกับองครักษ์หนุ่ม จึงเหมือนกับวันรวมญาติมากกว่าเป็นงานมงคล ลู่ซินฟางอนุญาตให้ชุนหยุดได้เท่าที่ต้องการ หลังเสร็จสิ้นงานแต่ง ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม หลายวันหลังจากนั้น อุณหภูมิเริ่มลดต่ำ สายลมหนาวเย็นพัดมาเป็นระลอก ลู่ซินฟางยืนอยู่บนระเบียง มองพวกเด็กๆ วิ่งเล่นกันที่ลานกว้าง “เด็กๆ เนี่ย ไม่รู้จักความหนาวกันเลยหรือไงนะ” ลู่ซินฟางพึมพำด้วยความเอ็นดู “แอร๊…!” ตอนนั้นเอง เสียงเล็กๆ ของจินเอ๋อร์ดังมาจากในเปล ลู่ซินฟางผละสายตาออกจากพวกเฉิงเอ๋อร์ เดินกลับมาหาลูกน้อยที่นอนในเปล จินเอ๋อร์อา
บทที่ 128บทพิเศษ มิติที่สมบูรณ์ และ รักจนแก่เฒ่า (ครึ่งหลัง) จบบริบูรณ์ เมื่อกลับมาจากมิติ ซินหลินก็มาหาลู่ซินฟางที่คฤหาสน์ เจ้าแฝดพอเห็นพี่ชายมาหา ก็วิ่งเข้าไปเกาะแขน กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “พี่ชายซินหลิน เมื่อกี้พวกเราไปมิติมาด้วย” “พี่ชายซินหลิน พวกเราไปอ่านหนังสือกันเถอะ” ซินหลินส่ายหน้าพร้อมเคาะปลายจมูกน้อยๆ ของเด็กทั้งสองเบาๆ คนละที “พวกเจ้าเรี่ยวแรงเหลือเฟือจริงๆ เลยนะ เพิ่งกลับมาจากมิติไม่ใช่หรือ คิดจะเล่นกันอีกแล้ว?” “ฮะๆ” “คิๆ” เจ้าแฝดหัวเราะชอบใจ ซินหลินยิ้มให้กับน้องๆ ก่อนหันมาบอกลู่ซินฟางว่า “ข้าเพิ่งเอาผักไปให้เหนียงซิ่น นางบอกว่าอากาศน่าจะเริ่มหนาวแล้ว นางว่าจะทำหม้อไฟชุดใหญ่ เลยให้ข้ามาบอกน่ะ” “ขอบใจมาก รอเยียนซูกลับมาแล้วข้าจะพาเด็กๆ ไปที่คฤหาสน์นะ” ลู่ซินฟางตอบกลับ “อืม” “หม้อไฟ” “เย่ หม้อไฟ!” หม้อไฟฝีมือเหนียงซิ่นอร่อยมาก แถมนานๆ ครั้งจะได้สักที พวกเด็กๆ จึงชูแขนร้องด้วยความดีใจ