บทที่ 98
องค์ชายห้า โจวหวังเยว่
สยงจวินวิ่งออกมาจากบ้าน ต่อมา ลู่ซินฟางกับเหนียงซิ่นก็วิ่งตามหลังออกมา
ในด้านของคนแปลกหน้า ทันทีที่เห็นชายร่างสูงใหญ่เหมือนหมี พวกเขาถึงกับผงะ กลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก
“พวกเจ้าคือคนวิตถารรึ!”
เนื่องจากสยงจวินตัวสูงใหญ่กว่าชายทั้งสอง ตอนถามอีกฝ่าย เขาต้องโน้มตัวลง พออยู่ในท่านี้เลยดูเหมือนว่าพ่อหมีกำลังข่มขู่มนุษย์ที่อ่อนแอ
คนแปลกหน้ารีบโบกมือปฏิเสธ “เข้าใจผิดแล้ว พวกเราแค่มาดูสวนของเถ้าแก่เนี้ยลู่เท่านั้น”
“หา!?”
“พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้ายหรอกนะ”
พวกเขาพยายามอธิบายเพื่อไม่ให้ถูกเข้าใจผิด
ลู่ซินฟางมองชายทั้งสอง เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ได้โกหก นางจึงเอ่ยขึ้น “สยงจวิน เดี๋ยวข้าคุยกับพวกเขาเอง”
“นายหญิง...” สยงจวินลังเล
“เจ้าเองก็สัมผัสได้ว่าพวกเขาไม่มีเจตนาร้ายใช่หรือไม่”
สยงจวินคิดสักครู่ ก่อนพยักหน้ายอมรับ
“เข้าใจแล้วขอรับ”
พอเห็นพวกผู้ใหญ่ตกลงกันได้ หนำซ้ำ คนแปลกหน้าก็ดูไม่เป็นอันตรายแล้ว เด็กๆ จึงเดินกลับไปล้อมวงนั่งกินข้าวโพดปิ้งกันต่อ พร้อมกับกระซิบกระซาบกัน
“ไม่ใช่คนวิด-ถานละ”
“ระวังตัวไว้ก่อนก็ดี”
“ใช่ๆ ซินหลินพูดถูก ต้องระวังตัวไว้ก่อน”
ชายแปลกหน้าทั้งสองมองพวกเด็กๆ ด้วยสีหน้าจนใจ เหนืออื่นใด ข้าวโพดปิ้งหอมฉุยที่พวกเด็กๆ กินอย่างเอร็ดอร่อยทำให้พวกเขาอดกลืนน้ำลายไม่ได้เลย!
ลู่ซินฟางเลิกคิ้วมองชายทั้งสอง ก่อนจะถาม
“พวกท่านอยากลองกินข้าวโพดปิ้งหรือไม่เจ้าคะ”
ชายหนุ่มทั้งสองหันขวับมาทางลู่ซินฟาง สายตาของพวกเขาแสดงความคาดหวัง
ชายหนุ่มที่ดูภูมิฐานที่สุดถามอย่างตื่นเต้น
“ให้พวกเราชิมได้จริงๆ หรือ”
ลู่ซินฟางยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนบอกสยงอู๋ให้ปิ้งข้าวโพดมาให้ชายทั้งสองคนละไม้
ระหว่างรอข้าวโพดปิ้งสุก ลู่ซินฟางเชิญทั้งสองคนเข้าไปนั่งในบ้าน
บ้านสวนหลังนี้แม้มีขนาดกว้างขวาง มองแวบเดียวก็รู้ว่าเจ้าของเรือนเป็นคนมีฐานะ กระนั้น เครื่องเรือนกลับทำจากไม้ทั้งหมด ข้าวของไม่ได้เยอะจนดูรก เนื่องจากเน้นใช้งานสะดวก มิหนำซ้ำ การตกแต่งยังมีสไตล์ไม่เหมือนใคร
ชายหนุ่มทั้งสองมองรอบๆ พลางพยักหน้าด้วยความชื่นชม
ไม่นานนัก ข้าวโพดปิ้งทาเนยร้อนๆ กลิ่นหอมฉุยสองไม้ก็ถูกยกมาเสิร์ฟ ชายหนุ่มทั้งสองหยิบข้าวโพดปิ้งเสียบไม้ขึ้นมาทันที เพียงกัดไปคำเดียว ดวงตาของพวกเขาก็เปล่งประกาย
“อร่อยจัง รสหวานผสมความเค็มที่กลมกล่อม และยังมีกลิ่นหอมละมุน เข้ากันอย่างลงตัว สุดยอดมาก!”
“จริงด้วยขอรับ ข้าไม่เคยกินข้าวโพดปิ้งที่อร่อยแบบนี้มาก่อนเลย”
พวกเขากินข้าวโพดไปพลางร้องชมไปพลาง
ลู่ซินฟางยิ้มรับคำชม
ผ่านไปสักครู่ ข้าวโพดปิ้งเสียบไม้ก็ถูกแทะจนเกลี้ยงจนเหลือแต่ซังข้าวโพด
“หมดเร็วเกินไปไหม!?”
“เป็นท่านกินเร็วเกินไปต่างหากขอรับ แต่…ของข้าก็หมดแล้วเหมือนกัน แหะๆ”
“อยากกินอีกจังนะ”
“นั่นสิขอรับ”
ทั้งสองพูดด้วยสีหน้าเสียดาย แต่ถึงอย่างนั้น ชายทั้งสองก็วางไม้ที่เหลือซังข้าวโพดลงบนจาน นั่งหลังตรงด้วยท่าสุขุม ก่อนจะแนะนำตัวเอง
“อะแฮ่ม…ขออภัยที่จู่ๆ ก็มาเยือนกะทันหัน ข้ามีนามว่าหวังเยว่ ส่วนคนคนนี้คือผู้ติดตามของข้า มู่เฉิน พวกเราเดินทางมาจากทางเหนือหลังจากที่รู้ว่าเสบียงคุณภาพสูงถูกส่งมาจากสวนของเถ้าแก่เนี้ยลู่ ก็อยากเลยอยากมาเห็นกับตัวเอง…เจ้าคงเป็นเถ้าแก่เนี้ยลู่ใช่หรือไม่”
เพียงแค่นี้ลู่ซินฟางก็เดาฐานะคนพูดได้ทันที
“เพคะ หม่อมฉันคือลู่ซินฟาง พระองค์คงเป็นองค์ชายห้า โจวหวังเยว่?”
ชายหนุ่มแสดงสีหน้าแปลกใจ “คนส่วนใหญ่รู้จักข้าในนามแม่ทัพหวังเยว่หรือคุณชายห้าหวังเยว่ ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าคือองค์ชายห้า ก็หมายความว่าเจ้าแปดไว้ใจเจ้ามากถึงขั้นบอกฐานะแท้จริง”
ลู่ซินฟางยิ้มจางๆ ก่อนถามชายหนุ่มอย่างไม่อ้อมค้อม “ว่าแต่ องค์ชายห้ามาที่นี่ เพื่อแค่ชมสวนของหม่อมฉันหรือเพคะ”
ชายหนุ่มส่ายศีรษะแล้วตอบ “พวกเราพูดคุยกันอย่างปกติดีกว่า เจ้าเรียกข้าว่าคุณชายห้า หรือแม่ทัพหวังเยว่ หรือจะเรียกชื่อกันตรงๆ ข้าก็ไม่ขัดข้อง ข้ามาที่นี่ในฐานะคนธรรมดา…แล้วก็ ใช่ ข้ามาที่นี่เพื่อดูสวนของเจ้า”
“ส่วนข้า เรียกมู่เฉินก็พอ ยินดีที่ได้พบเถ้าแก่เนี้ยลู่ขอรับ” มู่เฉินโค้งศีรษะให้กับลู่ซินฟางอย่างมีมารยาท
“ถ้าอย่างนั้น ข้าขอเรียกองค์ชายห้าว่าท่านหวังเยว่ เหมือนกับที่เรียกท่านเยียนซู ส่วนท่านผู้ติดตาม ข้าขอเรียกว่ามู่เฉินแล้วกันเจ้าคะ”
จากนั้น ทั้งสามคนก็พูดคุยเรื่องเสบียง สวนผักผลไม้ รวมถึงสินค้าที่ลู่ซินฟางวางขาย บทสนาเรียบง่ายและเป็นกันเอง
ผ่านไปสักพักใหญ่ เป่าเอ๋อร์วิ่งเข้ามาเกาะเอวลู่ซินฟาง พูดเสียงอ้อนๆ ว่า “ท่านแม่ ข้าวเย็น ข้าวเย็น”
ลู่ซินฟางหัวเราะน้อยๆ ให้กับความตรงเวลาของเจ้าตัวเล็ก พร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดคาบมันของเนยบนปากเล็กๆ ของเป่าเอ๋อร์
“ตรงเวลาจริงๆ นะเจ้าตัวเล็ก”
เพราะได้เวลากินข้าวเย็นแล้ว เป่าเอ๋อร์ไม่อยากรอแม้แต่วินาทีเดียว นางจึงมาตามมารดา
โจวหวังเยว่มองเจ้าตัวน้อยด้วยความเอ็นดู ลุกขึ้นแล้วกล่าว
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอตัวกลับก่อน เอาไว้…”
ทว่าโจวหวังเยว่ยังพูดไม่ทันจบ ลู่ซินฟางก็เอ่ยเสียก่อน
“หากพวกท่านไม่มีธุระเร่งด่วน เชิญอยู่ทานมื้อค่ำกับพวกเราก่อนเจ้าค่ะ”
“พวกเราไม่มีธุระเร่งด่วน เช่นนั้นรบกวนเจ้าแล้ว” โจวหวังเยว่รีบกล่าว จริงๆ แล้ว หลังจากกินข้าวโพดปิ้งแสนอร่อย เขาก็คาดหวังอยากกินของอร่อยอย่างอื่นอีก
“ขอบคุณขอรับ ข้ากับนายท่านรีบเร่งเดินทางมาจากทางเหนือ เช้าวันนี้พวกเรากินแค่ขนมแป้งไม่กี่แผ่นเท่านั้นเอง กำลังหิวพอดีเลยขอรับ แหะๆ” มู่เฉินพูดจาเปิดเผย
“เชิญทางนี้เจ้าค่ะ”
ลู่ซินฟางผายมือไปที่ห้องอาหาร
ในเวลานี้ เหนียงซิ่นกับสยงจวินยกอาหารขึ้นโต๊ะครบแล้ว ส่วนพวกเด็กๆ ก็นั่งประจำที่กันแล้ว ชายหนุ่มทั้งสองมองเก้าอี้ที่ว่าง ก่อนจะเดินเข้าไปนั่ง
เมื่อพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว ทุกคนก็เริ่มลงมือกินมื้อค่ำ เห็นทุกคนกินกันอย่างเอร็ดอร่อย โจวหวังเยว่ที่เป็นเชื้อพระวงศ์อดกลืนน้ำลายดัง ‘อึก’ ไม่ได้
เขาหยิบตะเกียบขึ้นมา คีบหมูตุ๋นซอสเปรี้ยวหวานส่งเข้าปาก
“อร่อย!”
ไม่เพียงหมูตุ๋นซอสเปรี้ยวหวาน กับข้าวทุกอย่างบนโต๊ะล้วนมีรสชาติอร่อยทุกอย่าง
“ท่านลุง แตงกวาของท่านแม่ก็หวานกรอบนะ” เป่าเอ๋อร์นำเสนอ พอพูดจบนางก็กัดแตงกวาเสียงดังกร๊วบ ทั้งยังเคี้ยวจนแก้มตุ่ย
ชายหนุ่มทั้งสองเห็นอย่างนั้นก็หยิบแตงกวามาชิมบ้าง
กร๊วบ…!
กัดเข้าไปคำหนึ่ง โจวหวังเยว่กับมู่เฉินก็เบิกตาโต ตะลึงกับความอร่อยของแตงกวา
“เป็นแค่แตงกวา แต่ทำไมถึงมีรสชาติหวานกรอบ หนำซ้ำยังให้รู้สึกถึงความสดชื่น” โจวหวังเยว่ชื่นชมอย่างอดไม่ได้
“ใช่ขอรับ ข้าไม่เคยกินแตงกวาชุ่มฉ่ำแบบนี้มาก่อน” มู่เฉินผงกศีรษะรัวๆ อย่างเห็นด้วย พร้อมกับกินแตงกวาคำแล้วคำเล่า
ทุกคนได้ยินอย่างนั้นต่างหัวเราะชอบใจ
สยงจวินถึงกับยืดอกอย่างภูมิใจ เพราะเขาเป็นผู้ดูแลสวนแห่งนี้
ตอนพิเศษ (5)จบบริบูรณ์ หลังจากปรับอารมณ์ได้แล้ว จิ้งจอกสาวก็เช็ดน้ำตาบนแก้มจนแห้ง สูดหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะออกจากห้องเพื่อไปขอโทษหลางไป๋ ทว่าทุกครั้งที่นางเข้าใกล้ เขากลับผละหนี แสร้งทำทีเป็นยุ่งง่วนกับงาน ท่าทางแบบนั้นราวกับจงใจหลบหน้านางไม่มีผิด เมื่อตระหนักได้เช่นนั้น เจียงจวีก็น้ำตาซึม รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก นับวันหัวใจของนางก็ยิ่งปวดแปลบ ท้ายที่สุด นางที่รู้สึกระอายใจเป็นทุนเดิม ยิ่งไม่กล้าสู้หน้าเขา หลายวันต่อมา เจียงจวีเก็บข้าวของ หนีกลับเผ่าจิ้งจอก ณ เผ่าจิ้งจอก ผู้นำเผ่าจิ้งจอกในร่างของชายวัยคนกับจิ้งจอกหนุ่มต่างยืนกอดอกหน้าตาขึงขัง ในขณะที่มองจิ้งจอกสาวกอดเข่าน้ำตาซึม “ตั้งแต่นางกลับมาก็เอาแต่นั่งอมทุกข์ทั้งวันทั้งคืน สงสัยจะเจอแย่ๆ มา หากรู้อย่างนี้ ข้าไม่น่าอนุญาตให้นางออกไปเจอโลกภายนอกเลย เป็นข้าที่ตัดสินใจผิดพลาดเอง” ผู้นำเผ่าพูดกับลูกชาย “ท่านพ่อไม่ได้ตัดสินใจผิดพลาดหรอกขอรับ ให้นางออกไปเผชิญโลกภายนอก นับเป็นประสบการณ์ของนางด้วย” จิ้งจอกหนุ่มกล่าว
ตอนพิเศษ (4) หลังจากเห็นว่าเจียงจวีเหมาะกับตำแหน่งพนักงานขาย หลางไป๋ก็ให้นางทำงานในร้านซินหลินคู่กับห่จือเหมย เพียงไม่กี่อาทิตย์ เจียงจวีก็เป็นพนักงานขายอันดับต้นๆ ของร้าน ด้วยความที่เป็นจิ้งจอกใสซื่อ จึงทำให้ผู้คนชื่นชอบและเอ็นดูไม่น้อย ไม่เว้นแม้แต่หลางไป๋ “ทำงานแค่ไม่กี่อาทิตย์ เจ้าก็ทำกำไรให้ร้านซินหลินไม่น้อย…ทำดีมาก” หลางไป๋เอ่ยชมเจียงจวี พร้อมกับยื่นมือไปลูบศีรษะ ตอนแรก หมาป่าหนุ่มทำไปโดยไม่ได้คิดอะไร แต่พอเห็นจิ้งจอกสาวผงะ ทั้งแก้มนวลเนียนยังขึ้นสีแดงระเรื่อ มือใหญ่ที่กำลังลูบศีรษะของนางพลันชักกลับมา จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินไปตรวจงานแผนกอื่น และไม่พูดไม่จาใดๆ หัวใจของเจียงจวีเต้นระส่ำระส่ายไม่หยุด แม้ยกมือขึ้นลูบหน้าอกพร้อมสูดหายลึกๆ แล้ว หากแต่หัวใจยังคงเต้นแรงเหมือนจะกระเด็นออกมา อย่างไรก็ตาม อาการใจเต้นแรงนี้ ทำให้จิ้งจอกสาวอดรู้สึกกังวลไม่ได้ หมิงฮวาเข้าร้านมาในจังหวะนั้นพอดี นางมองหลางไป๋สลับกับมองเจียงจวี สักครู่ ดวงตาของอสรพิษสาวก็หรี่ลงเล็กน้อย เมื่อเห็นหลางไป๋ขึ้นไปที่ชั้
ตอนพิเศษ (3) วันต่อมา จิ้งจอกสาวหอบห่อผ้ามาที่ฟาร์มอีกครั้ง แต่หนนี้นางมาพร้อมกับพี่ชาย “พวกเจ้าสองพี่น้องจะมาอยู่ที่ฟาร์มด้วยกันหรือ” หลางไป๋สอบถาม การได้คนหน่วยกร้านดีเพิ่ม มีใครบ้างไม่ชอบ ทว่าจิ้งจอกหนุ่มโบกมือแล้วตอบ “ไม่ใช่ขอรับ ข้าแค่มาส่งน้องสาว อีกอย่าง ที่มาวันนี้ก็เพื่อขอร้องท่านให้ช่วยดูแลนางด้วย นางค่อนข้างซื่อน่ะขอรับ” หลางไป๋พยักหน้าเหมือนเข้าใจ หญิงสาวเผ่าจิ้งจอกยิ้มใสซื่อ โค้งศีรษะให้กับหลางไป๋ทีหนึ่ง “จากนี้ข้าต้องขอฝากตัวด้วยเจ้าค่ะ” หลางไป๋หันไปยิ้มให้กับหญิงสาวเผ่าจิ้งจอกพลางตอบว่า “ทางนี้ก็ต้องฝากตัวด้วยเช่นกัน” จากนั้นก็หันไปพูดกับทางพี่ชายด้วยสีหน้าเสียดาย “พูดก็พูดเถอะ เจ้าเองก็หน่วยกร้านดีไม่เบา น่าจะมาอยู่ที่ฟาร์มด้วยกัน” “ความจริงข้าก็อยากมาทำงานที่นี่นะขอรับ แต่เพราะท่านพ่อของพวกเรากำลังป่วย ข้าที่เป็นลูกชาย และยังเป็นว่าที่หัวหน้าเผ่าคนต่อไป ต้องคอยจัดการหลายๆ เรื่อง ตอนนี้ก็เลยออกจากเผ่าไม่ได้” “ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ” “ขอบคุณท่านผู
ตอนพิเศษ (2) สถานที่นี้เรียกว่าฟาร์ม มีทั้งสวนผัก สวนผลไม้ ทุ่งดอกไม้ โรงเรือนเพาะต้นกล้า ไหนจะโรงผลิตสารพัดที่เพิ่มขึ้นเหมือนกับดอกเห็ด หนำซ้ำ ยังมีหมู่บ้านของเหล่าสัตว์อสูร ถนนที่ปูด้วยอิฐ ตรงลานกว้างของเมืองก็มีน้ำพุขนาดใหญ่ พวกเขาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข…น่าอิจฉาและดูน่าสนุกกันจังเลย จิ้งจอกสาวคิด ก่อนจะถอนหายเฮือกออกมาหนึ่ง หญิงสาวชอบความตื่นตาตื่นใจของฟาร์ม ถึงได้แอบมาดูทุกวัน ในตอนที่ลำแสงสีทองสาดเข้ามาในป่ารกทึบ จากนั้นเหล่าสัตว์ก็มีวิวัฒนาการกลายร่างเป็นมนุษย์ ตอนนั้นนางตื่นเต้นมาก กระโดดโลดเต้นรอบป่า ยิ่งค้นพบว่ายังมีสัตว์เผ่าอื่นที่กลายร่างเป็นมนุษย์ นางก็ยิ่งอยากเป็นเพื่อนกับทุกคน เพราะอย่างนั้นตอนที่หมาป่าเพศผู้นามว่าหลางไป๋มาเจรจาขอเป็นพันธมิตรกับเผ่าจิ้งจอก นางอยากให้ท่านพ่อตอบรับการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับท่านภูต แต่ว่า ท่านพ่อกลับปฏิเสธ แม้ผิดหวังอย่างมาก แต่คำสั่งของผู้นำเผ่าถือเป็นเด็ดขาด เช้าตรู่ของวันนี้ จิ้งจอกสาวก็ยังแอบมาที่ฟาร์ม นางหลบหลังต้นไม้ใหญ่ แ
ตอนพิเศษ (1) ต้นฤดูหนาวของปีนั้น ชุนกับจิ่นเซี่ยได้จัดพิธีแต่งงานแบบเรียบง่าย โดยหลางไป๋เป็นญาติฝ่ายหญิง ส่วนจิ่นเซี่ยนั้น เนื่องจากองครักษ์หนุ่มผู้นี้เป็นเด็กกำพร้า ญาติฝ่ายชายจึงเป็นกงเยียนซู แม้เป็นงานแต่งที่เรียบง่าย แต่เพราะได้ลู่ซินฟางเป็นแม่งาน อาหารสุราจึงขึ้นเต็มโต๊ะตลอดทั้งวันทั้งคืน แขกเหรื่อที่มาร่วมงานล้วนเป็นคนกันเอง งานแต่งของชุนกับองครักษ์หนุ่ม จึงเหมือนกับวันรวมญาติมากกว่าเป็นงานมงคล ลู่ซินฟางอนุญาตให้ชุนหยุดได้เท่าที่ต้องการ หลังเสร็จสิ้นงานแต่ง ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม หลายวันหลังจากนั้น อุณหภูมิเริ่มลดต่ำ สายลมหนาวเย็นพัดมาเป็นระลอก ลู่ซินฟางยืนอยู่บนระเบียง มองพวกเด็กๆ วิ่งเล่นกันที่ลานกว้าง “เด็กๆ เนี่ย ไม่รู้จักความหนาวกันเลยหรือไงนะ” ลู่ซินฟางพึมพำด้วยความเอ็นดู “แอร๊…!” ตอนนั้นเอง เสียงเล็กๆ ของจินเอ๋อร์ดังมาจากในเปล ลู่ซินฟางผละสายตาออกจากพวกเฉิงเอ๋อร์ เดินกลับมาหาลูกน้อยที่นอนในเปล จินเอ๋อร์อา
บทที่ 128บทพิเศษ มิติที่สมบูรณ์ และ รักจนแก่เฒ่า (ครึ่งหลัง) จบบริบูรณ์ เมื่อกลับมาจากมิติ ซินหลินก็มาหาลู่ซินฟางที่คฤหาสน์ เจ้าแฝดพอเห็นพี่ชายมาหา ก็วิ่งเข้าไปเกาะแขน กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “พี่ชายซินหลิน เมื่อกี้พวกเราไปมิติมาด้วย” “พี่ชายซินหลิน พวกเราไปอ่านหนังสือกันเถอะ” ซินหลินส่ายหน้าพร้อมเคาะปลายจมูกน้อยๆ ของเด็กทั้งสองเบาๆ คนละที “พวกเจ้าเรี่ยวแรงเหลือเฟือจริงๆ เลยนะ เพิ่งกลับมาจากมิติไม่ใช่หรือ คิดจะเล่นกันอีกแล้ว?” “ฮะๆ” “คิๆ” เจ้าแฝดหัวเราะชอบใจ ซินหลินยิ้มให้กับน้องๆ ก่อนหันมาบอกลู่ซินฟางว่า “ข้าเพิ่งเอาผักไปให้เหนียงซิ่น นางบอกว่าอากาศน่าจะเริ่มหนาวแล้ว นางว่าจะทำหม้อไฟชุดใหญ่ เลยให้ข้ามาบอกน่ะ” “ขอบใจมาก รอเยียนซูกลับมาแล้วข้าจะพาเด็กๆ ไปที่คฤหาสน์นะ” ลู่ซินฟางตอบกลับ “อืม” “หม้อไฟ” “เย่ หม้อไฟ!” หม้อไฟฝีมือเหนียงซิ่นอร่อยมาก แถมนานๆ ครั้งจะได้สักที พวกเด็กๆ จึงชูแขนร้องด้วยความดีใจ