Masukค่ำคืนนั้น…จวนของหลานเยว่เงียบสงัดดั่งป่าร้าง ยามที่กลิ่นยานอนหลับถูกปล่อยให้ลอยกระจายไปตามลม ผู้บุกรุกแต่ละคนต่างมั่นใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนไร้เสียง ไร้ร่องรอย แต่สิ่งที่พวกมันไม่รู้คือ…ที่นี่ไม่ใช่เรือนธรรมดา หากแต่เป็นรังของนักล่าตัวจริง
เพียงครู่เดียว ความผิดปกติก็เกิดขึ้น เสียงกระทบเบา ๆ จากปลายเท้าดังขึ้นจากทุกทิศทุกทาง เงาดำทยอยปรากฏตามแนวกำแพง หลังคา และมุมเงื้อมเรือน ร่างเหล่านั้นก้าวออกมาช้า ๆ สายตาคมวาวเย็นยะเยือกประสานเข้ากับผู้บุกรุกทีละคนบรรยากาศพลันเปลี่ยนจากความเงียบสงัด…เป็นแรงกดดันที่บีบหัวใจราวกับขอบเหล็กกำลังรัดคอ
“บัดซบ…นี่มันเรื่องอะไรกัน!”หนึ่งในผู้บุกรุกตะโกนออกมา เสียงสั่นเครือ ดวงตาเบิกโพลงด้วยความหวาดหวั่น พวกมันไม่เข้าใจเลยว่าฝีเท้าแผ่วเบาเหนือมนุษย์ของตนกลับถูกจับได้ตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบเข้ามา
บ่าวรับใช้และคนคุ้มกันที่พวกมันเคยมองข้ามบัดนี้เผยโฉมแท้จริงออกมา ทุกคนยืนในท่วงท่าพร้อมสังหาร มือกระชับอาวุธ ดวงตาคมเรียวไร้แววอ่อนโยน แววตาเหล่านั้นคือสายตาของ นักฆ่าที่ผ่านความตายมานับครั้งไม่ถ้วน
เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นเพียงหนึ่งเดียวจากในเรือนหลานเยว่ปรากฏกายใต้แสงโคมไฟอันริบหรี่ ร่างอรชรในชุดสีเข้มดูสง่างามทว่ากลับเย็นชาดั่งน้ำแข็ง สายตาของนางกวาดมองเหล่าผู้บุกรุกเพียงครั้งเดียว ก็เพียงพอที่จะทำให้หัวใจพวกมันกระตุกวูบนางหยุดยืนตรงกลางลาน เสียงเอ่ยเบา ๆ แต่ก้องกังวานในโสตประสาทของทุกคน“พวกเจ้า…เข้ามาในแดนสังหารของข้าเอง แล้วคิดหรือว่าจะมีชีวิตกลับออกไป”
เพียงถ้อยคำเดียว ความมั่นใจของผู้บุกรุกที่เคยพองโตพลันแตกสลาย พวกมันเริ่มตระหนักว่าเป้าหมายที่คิดว่าเป็นเพียงสตรีบอบบาง แท้จริงแล้วคือเจ้านายสูงสุดของ นักฆ่าไร้นาม ผู้สั่นสะเทือนทั้งเมืองหลวงคืนนี้…ผู้ล่ากับเหยื่อ ได้สลับที่ยืนกันโดยสิ้นเชิง
“ถอย! ถอยเร็วเข้า! รีบออกไปตั้งหลักก่อน… ที่นี่มันไม่ปกติแล้ว!”
คำสั่งนั้นแทบจะดังเป็นเสียงกรีดร้องแห่งความสิ้นหวัง แต่ยังไม่ทันที่ลูกน้องจะขยับก้าว เสียงของหลานเยว่ก็ดังขึ้นเรียบเย็น ทว่าคมกริบราวกับมีดที่กรีดผ่านวิญญาณ
“ฆ่าพวกมันให้หมด…”นางหยุดเพียงเสี้ยวอึดใจ ก่อนปล่อยคำต่อมาด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบไร้ความปรานี“เหลือไว้เพียงสองหรือสามคนก็พอ”
ทันใดนั้น ความเงียบในลานก็แตกสลาย เสียงหวีดหวิวของอาวุธแหวกอากาศดังขึ้นพร้อมกัน เงาของนักฆ่าไร้นามโถมเข้าใส่ผู้บุกรุกจากทุกทิศทาง การโจมตีเฉียบคม รวดเร็ว และไร้ความลังเล เลือดสาดกระเซ็นกลางเงามืดดังหยาดน้ำฝนสีแดง
เสียงกรีดร้องปะปนกับเสียงโลหะปะทะกันก้องสะท้อนกังวานทั่วลาน ร่างของผู้บุกรุกล้มลงทีละคน รวดเร็วเกินกว่าที่จะได้ตั้งหลักหรือแม้แต่หันหลังหนีสายตาของหลานเยว่ยังคงนิ่งเฉย ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย แววตานางเย็นเยียบราวกับเฝ้ามองหุ่นเชิดไร้ชีวิตที่ถูกตัดสายไปทีละเส้น ความตายของพวกมันสำหรับนาง…ไร้ค่าเกินกว่าจะทำให้หัวใจสั่นไหว
แต่คำสั่งที่ไม่ให้ฆ่าพวกมันทั้งหมดคือการประกาศเจตนาอันชัดเจน นางต้องการ คำตอบ ต้องการรู้ว่าผู้ใดช่างอุกอาจส่งคนบุกเข้ามาถึงถิ่นของนางร่างผู้บุกรุกยังคงล้มลงไม่หยุด เสียงหัวหน้าของพวกมันที่เคยมั่นใจกลับกลายเป็นเสียงตะโกนโหยหวนปนความหวาดกลัวสุดขีด “ไม่! อย่าเข้ามา… อย่า อ๊ากกกก!”
น้ำเสียงเรียบนิ่งของนางกลับทำให้ผู้รอดชีวิตขนลุกยิ่งกว่ามีดที่จ่อคอ เพราะมันบ่งบอกชัดเจนว่าชีวิตของพวกมันไร้ค่าในสายตานางเพียงใด “เก็บกวาดให้สะอาด… ส่วนพวกที่ยังหายใจอยู่ พาไปที่อื่น อย่าให้เสียงมันรบกวนคนในเรือน”
กลางค่ำคืนในหุบเขา เงาจันทร์ทอดทาบลงบนพื้นดินที่ถูกขุดเป็นหลุมกว้าง เสียงจอบกระทบดินดัง กึก…กึก… เป็นจังหวะสม่ำเสมอ ราวกับเสียงสวดส่งวิญญาณผู้ตาย ร่างไร้วิญญาณทีละร่างถูกลากมากองทับกัน ดวงตาแต่ละคู่ยังคงเบิกโพลงแข็งค้างเหมือนยังไม่ยอมรับความตาย ความเย็นเยียบของสายลมพัดผ่าน กลิ่นดินชื้นผสมคาวเลือดตลบอบอวล ทำให้บรรยากาศหนักอึ้งจนหายใจแทบไม่ออก
ด้านหนึ่งของลาน ผู้รอดชีวิตไม่กี่คนถูกบังคับให้คุกเข่า เนื้อตัวสั่นระริก ลมหายใจถี่กระชั้นดุจสัตว์ที่กำลังถูกต้อนเข้ากรง สายตาพวกมันจับจ้องไปยังหลุมศพสด ๆ ที่ถูกกลบทีละเล็กละน้อย ยิ่งมอง ความหวาดกลัวก็ยิ่งกัดกินลึกลงไปถึงกระดูก
ทันใดนั้น เสียงร้องโหยหวนก็แทรกขึ้นมา ชายผู้บาดเจ็บตัวหนึ่งพยายามกลั้นความหวาดกลัวไม่อยู่ เสียงพร่าแตกจนแทบฟังไม่เป็นคำออกมาจากลำคอที่แห้งผาก“นา…นายท่าน ได้โปรด อย่าฆ่าข้า…! ท่านอยากรู้อะไร ข้าจะบอกหมดทุกอย่าง… ขอเพียง… ขอเพียงไว้ชีวิตข้า!”
คำอ้อนวอนสั่นเครือสะท้อนก้องท่ามกลางความเงียบงันของหุบเขา ราวกับเสียงสุนัขที่ถูกต้อนจนมุม มันก้มกราบซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือเปื้อนเลือดเกาะดินราวกับกำลังเกาะความหวังสุดท้ายในชีวิต
กลางป่าลึก เสียงโหยหวนของชายผู้เคราะห์ร้ายดังสะท้อนก้องแข่งกับเสียงลมยามค่ำคืน เขาถูกกดร่างลงกับพื้นดินเย็นชื้น เล็บขูดกับดินแข็งจนหลุดฉีก แต่ไม่มีสิทธิ์แม้จะดิ้นรนเพื่อหนี
นักฆ่าของหลานเยว่ยืนล้อมรอบ น้ำเสียงเย็นชาไร้ความเมตตา คำถามถูกซักไซ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งที่มันอึกอักหรือบ่ายเบี่ยง ความเจ็บปวดที่ไม่อาจทนได้ก็ตามมา ร่างที่สั่นสะท้านเปียกโชกไปด้วยเหงื่อและเลือด ปากของมันพร่ำสารภาพทุกสิ่งราวกับสุนัขที่ถูกกดหัวลงโคลน
“เป็น…เป็นคำสั่งของ…ท่านอัครเสนาบดี… ฮึก… เขาสั่งให้พวกข้า…ลักพาตัว…หลานเยว่… ฮ่า…เพื่อนำไป…ทำให้ฝันของ…นายน้อย…เป็นจริง…”
เสียงแตกพร่าปนสะอื้นดังขาดห้วง ราวกับลมหายใจแต่ละเฮือกอาจเป็นครั้งสุดท้าย ทว่าผู้ฟังกลับไม่สะทกสะท้าน ไม่มีความเมตตา ไม่มีแม้แต่แววสังเวชในดวงตา มีเพียงความเย็นชาและความเด็ดขาดของผู้ชำนาญการฆ่า
เมื่อถ้อยคำสุดท้ายหลุดพ้นริมฝีปากที่สั่นระริก ความจริงก็ถูกเปิดโปงจนหมดสิ้น ร่างนั้นกลายเป็นเพียงตัวตนไร้ค่า ไร้ประโยชน์ ไม่มีเหตุผลใดให้เก็บรักษาอีกต่อไปเสียงหอบเฮือกสุดท้ายขาดสะบั้นลงพร้อมกับประกายชีวิตในดวงตาที่ดับวูบลงไปในความมืด ก่อนที่ร่างไร้วิญญาณของมันจะถูกถีบลงไปในหลุมเดียวกับศพอื่น ๆ ดินถูกกลบปิดอย่างไร้เยื่อใย ทิ้งไว้เพียงกลิ่นคาวเลือดจาง ๆ ที่ลอยปะปนไปกับสายลม
ใต้เงาจันทร์เย็นยะเยือก ค่ำคืนนี้ความลับได้ถูกขุดขึ้นมา…และถูกฝังลงไปพร้อมกับร่างของผู้ที่เปิดปากสารภาพเอง
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







