Masukภายในห้องโถงอันโอ่อ่า แต่กลับคล้ายถูกกลืนด้วยความหม่นหมอง จ้าวเจี้ยนกั๋ว ยืนทรุดกาย มือหนาที่เคยกำอำนาจล้มล้างผู้คนได้เพียงคำสั่ง กลับสั่นระริกด้วยแรงกดดันจากหัวใจ ร่างสูงสง่าที่เคยเปี่ยมไปด้วยบารมีบัดนี้ดูเสื่อมโทรมลงในพริบตา
ดวงตาแดงก่ำทอดมองบุตรชายผู้พิการที่เพิ่งหัวเราะสะใจเมื่อครู่ ราวกับกำลังหัวเราะเยาะผู้เป็นบิดาด้วยเช่นกัน ความจริงที่เจ็บปวดที่สุดไม่ใช่การถูกบีบให้ยอม แต่คือการที่เลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง กลับยอมลดค่าชีวิตจนใช้มันเป็นเพียงเครื่องมือกดดันคนเป็นพ่อเสียงทุ้มที่เคยหนักแน่น สั่นพร่าเหมือนเสียงร่ำไห้ของชายชรา“ตลอดเวลาที่ผ่านมา…ข้าเลี้ยงลูกไม่ดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ…?” ริมฝีปากเม้มแน่น น้ำเสียงแตกพร่าด้วยความเจ็บปวด“อัครเสนาบดีผู้สูงส่งที่ใครต่างยำเกรง…กลับต้องมาทนเห็นลูกชายตนเองใช้ชีวิตของเขามาข่มขู่ หากไม่ทำตาม ก็พร้อมจะฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตา”
เขาเงยหน้ามองเพดานสูง แววตาขุ่นมัวพร่าเลือนราวจะกลั้นน้ำตา“ข้าไม่เคยคิดเลย…ว่าปลายชีวิตของข้า จะตกต่ำถึงเพียงนี้”
หัวใจของชายผู้ครองอำนาจบีบรัดแน่นจนแทบระเบิด อำนาจยศถาบรรดาศักดิ์ที่สูงเทียมฟ้า กลับไร้ความหมาย เมื่อปลายทางของมันคือการเก็บกวาดทุกเรื่องราวชั่วช้าสามานย์ที่บุตรชายของตนก่อขึ้นอย่างไม่สิ้นสุดเขากำหมัดแน่น เสียงทุ้มต่ำเอื้อนเอ่ยคล้ายคำประกาศกับตัวเอง“หากนี่คือภารกิจสุดท้ายของข้า…ข้าจะทำเพื่อลูกคนนี้ แม้มันจะบีบคั้นหัวใจจนแทบขาด”
แววตาคมกริบที่เคยเต็มไปด้วยอำนาจ ค่อย ๆ คลายเหลือเพียงความสิ้นหวังและเหนื่อยล้า แต่ในความว่างเปล่านั้นยังคงซ่อนความเด็ดเดี่ยวเอาไว้ เพราะหนทางเดียวที่จะทำให้บุตรชายสมหวังในความรัก คือการฉุดคร่าสตรีผู้นั้นเสียก่อนพิธีแต่งงาน สำหรับเขาแล้ว นั่นคือการกระทำที่เสื่อมเสียที่สุดในชีวิต แต่ถึงกระนั้น…ชายผู้ยิ่งใหญ่ก็ยอมก้าวลงสู่ความโสมม เพื่อแลกกับรอยยิ้มบิดเบี้ยวของลูกชายเพียงผู้เดียว
ริมฝีปากเบี้ยวฉีกยิ้มกว้างอัปลักษณ์ เสียงหัวเราะพร่าขาดห้วงดังออกมาเป็นจังหวะ“ฮะ…ฮ่ะๆๆ… ทะ…ท่านพ่ออ ข้า…ข้ารู้แล้วววว ว่ะ…ว่าท่านนนน…รักข้ายิ่งนักกกก”
น้ำเสียงแหบพร่า ขาดห้วงเหมือนเสียงกระดูกเสียดสีกัน แต่ถ้อยคำนั้นกลับเต็มไปด้วยความชื่นมื่นของคนได้ดั่งใจ“ยินดี…ฮ่ะๆ…ที่จะตามใจข้า…ทุกอย่างงงง”
เลือดไหลหยดลงตามซอกคอ แต่เจ้าของร่างไม่แม้แต่จะเช็ดออก มันยกมือที่งอหงิกขึ้นเช็ดปากเล็กน้อย ก่อนเอียงหัว หัวเราะพร่าเหมือนเสียงปีศาจหัวเราะเยาะ
“ลูก…ขอตัววว…ลาาา ฮ่ะๆๆ… ลูกหวังว่า…จะได้ยินนนน ข่าวดี…โดยไหววววว…”
ถ้อยคำขาดเป็นช่วง ๆ แต่ฟังได้ชัดว่าเต็มไปด้วยความสะใจและความพึงพอใจที่ได้รับคำตอบจากผู้เป็นบิดา ราวกับมันเพิ่งบีบหัวใจของอัครเสนาบดีจนยับ แล้วควักคำสัญญาออกมาได้ตามใจหวัง
จ้าวหย่งหยู หันหลังกลับ ร่างพิการสั่นสะท้านไปทั้งตัว แต่ทุกก้าวกลับแฝงความสุขอันบิดเบี้ยว ยิ้มที่แปดเปื้อนเลือดบนใบหน้าของมันช่างดูน่าขนลุกยิ่งนัก เสียงหัวเราะพร่าแตกยังคงก้องสะท้อนอยู่ในโถงกว้าง
“ฮ่ะ…ฮ่าฮ่าาาา!!”
ขณะที่เบื้องหลัง จ้าวเจี้ยนกั๋ว ยังคงยืนตัวแข็งงัน ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง รู้ดีว่าทุกคำสัญญาที่เพิ่งให้ไปนั้น กำลังฉุดเขาลงไปสู่หุบเหวแห่งความมืด…
จ้าวเจี้ยนกั๋ว นั่งตัวแข็งอยู่บนเก้าอี้ไม้ใหญ่ แสงตะเกียงสลัวสะท้อนเงาแผ่วไหวไปตามผนังราวกับเงาปีศาจที่รุมเร้าอยู่รอบตัวเพียงไม่นาน เสียงฝีเท้าเบาราวกับไร้ตัวตนก็ดังขึ้นจากมุมมืดเงียบงัน ร่างดำหลายสายค่อย ๆ ปรากฏตัวราวกับหลอมรวมมากับเงา ทั้งสายตาคมดั่งอสรพิษ และท่วงท่าที่ไร้สุ้มเสียงสะท้อนให้เห็นว่าพวกมันไม่ใช่เพียงนักฆ่าแต่คือ มือดี ที่ผ่านความตายมานับครั้งไม่ถ้วน
พวกมันก้าวออกมาอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นคุกเข่าลงต่ำ ดวงตาที่ก้มต่ำไร้แววอารมณ์ รอรับคำสั่งจากนายเหนือหัวแต่เพียงผู้เดียว จ้าวเจี้ยนกั๋ว หลับตาลงช้า ๆ ลมหายใจหนักหน่วงคล้ายสะกดกลั้นความเจ็บปวดภายในอก เสียงทุ้มต่ำแผ่วพร่าดังออกมาราวกับคำพิพากษาจากเงามืด“พวกเจ้ารู้ใช่หรือไม่…ว่าภารกิจครั้งนี้ ต้องทำเช่นไร”
คำพูดนั้นไม่ดังนัก แต่แฝงไปด้วยแรงกดดันมหาศาล ราวกับทุกคำมีน้ำหนักเทียบเท่าหินผามือสังหารที่ก้มศีรษะอยู่ข้างล่างมิได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด เพียงพยักหน้าช้า ๆ อย่างพร้อมเพรียง แววตาที่แอบแฝงอยู่ในเงามืดฉายประกายเย็นเยียบ ก่อนที่ร่างทั้งหมดจะค่อย ๆ จางหายไปราวกับหมอกควันที่ถูกกลืนหายไปกับความมืด
ภารกิจได้ถูกส่งมอบแล้วภารกิจที่โสมมและต่ำช้าที่สุดเท่าที่อัครเสนาบดีแห่งราชสำนักจะยอมให้เกิดขึ้นเป้าหมายของพวกมันชัดเจน ลักพาตัว หลานเยว่ มาที่จวน และทำให้นางกลายเป็นสตรีของนายน้อยผู้พิการ
ในเงียบสงัดนั้น เพียงเสียงหัวใจของ จ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่เต้นสะท้านไม่เป็นจังหวะบ่งบอกถึงความขมขื่นลึกสุดหัวใจ เขารู้ดีว่าสิ่งที่ทำคือการผลักตนลงสู่ความต่ำตมที่สุด แต่เพราะ ลูกชายเพียงคนเดียวเขากลับไม่มีสิทธิ์ถอยหลังแม้เพียงก้าวเดียว
ยามราตรีคลี่คลุมเมืองหลวง ท้องฟ้ามืดดำไร้แสงจันทร์ราวกับสวรรค์เองก็เบือนหน้าหนีจากสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เสียงลมพัดผ่านยอดไม้สูงดังหวิว ๆ กลบเสียงฝีเท้าอันเบาบางของร่างดำกลุ่มหนึ่งที่กำลังเคลื่อนไหวไปตามเงาเหล่ามือสังหารในสังกัดของ อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว แทรกตัวไปตามตรอกแคบ ๆ และกำแพงสูง พวกมันเคลื่อนไหวอย่างชำนาญราวกับคุ้นชินกับการลอบสังหารมาทั้งชีวิต แต่ละก้าวที่ก้าวออกมานั้นไร้สุ้มเสียง แม้แต่สุนัขเฝ้าบ้านยังไม่อาจรู้ถึงการมาของพวกมัน
เมื่อถึงเนินสูงที่มองเห็นเรือนจวนของ หลานเยว่ จากระยะไกล ร่างหนึ่งหยุดลงและส่งสัญญาณมือให้คนอื่น ๆ หยุดตาม ภายใต้หน้ากากดำ แววตาของมือสังหารนั้นฉายประกายเย็นยะเยือก มันเพ่งมองไปยังแสงโคมไฟที่ส่องอยู่ตามทางเดินรอบ ๆ จวน ความเงียบสงบที่ดูงดงามราวแหล่งน้ำใสในทะเลทราย…
มือสังหารคนหนึ่งหยิบถุงผ้าขึ้นมาเขย่าเบา ๆ เสียงเม็ดผงกรุ๊งกริ๊งดังคล้ายเม็ดทราย นั่นคือยานอนหลับรุนแรงซึ่งใช้ได้แม้กับนักรบผู้ฝึกปราณ เมื่อโรยเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอจะทำให้คนทั่วไปหมดสติในไม่กี่อึดใจ สายลมเย็นพัดผ่านราวกับเป็นสัญญาณ พวกมันแยกย้ายกันออกไปแต่ละทิศ ลอบเคลื่อนไหวเข้าหาเรือนของ หลานเยว่ เงาดำของพวกมันเกาะตามกำแพง ราวกับเงาปีศาจที่คืบคลานเข้าหาเหยื่อโดยไม่ให้รู้ตัว
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







