Masukสายตาที่หลานเยว่ทอดมองชายตรงหน้า มิได้สะท้อนความคาดหวังใดแม้แต่น้อย เยียบเย็นจนแทบไร้ชีวิต หากแต่คำพูดที่หลุดออกมาจากริมฝีปากนาง…กลับทำให้หัวใจของชายผู้หนึ่งกระตุก
“หากท่านสามารถฉีกกระชากมันลงสู่ขุมนรกที่ลึกที่สุดได้...บางที ข้าอาจจะบอกกับหลานจิ่วอวิ๋นว่า เขามีท่านตาที่รักเขามากอยู่อีกหนึ่งคน” เสียงของนางเรียบเรื่อย แต่ทุกถ้อยคำกลับหนักราวก้อนหินทับอกเป็นคำพูดที่ไม่ใช่ การให้อภัย แต่คือ เหยื่อล่อ คือเศษเสี้ยวของความหวัง...ที่แลกมาด้วยคำมั่นอันโหดเหี้ยม
แม่ทัพหลานซือเหยียนกำหมัดแน่นจนข้อกระดูกขาวซีดในอกของเขากำลังเดือดพล่าน...ไม่ใช่เพราะโทสะ แต่เป็นความขัดแย้งในจิตใจผู้หญิงที่เขาเคยมองว่าไร้ค่าบัดนี้กลับจับด้ามดาบแห่งชะตากรรมไว้แน่น และใช้เขาราวกับเป็นหุ่นเชิดในเงื้อมมือเขากัดฟันแน่นแต่ก่อนจะได้เอ่ยอะไร เสียงหัวเราะใส ๆ จากอีกมุมหนึ่งของจวนก็ดังลอยมากับสายลมเสียงนั้นเสียงที่บริสุทธิ์ ไร้มลทินเสียงของเด็กชายผู้หนึ่ง…ผู้มีแววตาเฉลียวฉลาด และพลังลมปราณที่ค่อย ๆ งอกงามขึ้นตามกาลเวลา
แม่ทัพหลานซือเหยียนหันไปมองและเพียงแค่เห็นเงาร่างเล็ก ๆ นั้นในแสงแดดอ่อน...หัวใจของเขาก็เจ็บวูบเจ็บเพราะคิดว่าตนไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเข้าไปโอบอุ้มเด็กคนนี้ไว้แนบอก
“เหอะ...!”
เสียงกระแทกออกจากลำคอด้วยความขุ่นเคืองปะปนเจ็บลึกเขาสะบัดอาภรณ์หันหลังอย่างเฉียบขาด และหมุนตัวเดินจากไปฝีเท้าหนักแน่น ดุดัน ราวกับพยายามกลบเสียงหัวใจที่กำลังสั่นไหว...กลบความรู้สึกที่ไม่ควรมีมาตั้งแต่ต้น
และเบื้องหลังของเขาหญิงสาวผู้เคยถูกทอดทิ้ง…ยังคงยืนมองด้วยแววตาเยียบเย็นหากแต่ภายในนั้น อาจจะมีเศษเสี้ยวของแผลเก่า…ที่ยังไม่เคยสมาน
แม่ทัพหลานซือเหยียนกลับถึงจวนในยามสนธยา ใบหน้าเคร่งเครียดราวมีคลื่นพายุซ่อนอยู่ภายในจิตใจ ก้าวเท้าที่เคยมั่นคงกลับแฝงความลังเลหนักอึ้งในทุกย่างเดินเมื่อย่างก้าวพ้นเรือนหน้า หลานหย่งจวิน บุตรชายคนโตก็ปรากฏตัวพร้อมเอ่ยทักอย่างฉงน
“ท่านพ่อ สีหน้าของท่านในตอนนี้...มันหมายความว่าอย่างไร?” คำถามนั้นทำให้แม่ทัพหลานซือเหยียนชะงักเล็กน้อย แต่เขาไม่เอ่ยตอบ เพียงถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนกล่าวเสียงหนัก
“เข้าไปข้างในก่อนเถิด เราจะพูดคุยกันในเรือน” แม้ที่นี่จะเป็นจวนของตระกูลหลาน หากแต่เรื่องที่เขาจะเปิดเผยนั้นเกี่ยวพันกับเครือข่ายอำนาจในราชสำนัก การปิดปากยังปลอดภัยกว่าการเปิดเผยแม้แต่กับอากาศเมื่อเข้าสู่ห้องลับภายในเรือนหลัก บรรยากาศภายในเงียบกริบราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน แม่ทัพหลานซือเหยียนจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ข้าตัดสินใจแล้ว...ข้าจะจัดการซ่งเจี้ยนหง และตัดขาดจากตระกูลซ่งอย่างสิ้นเชิง”
คำพูดนั้นราวฟ้าผ่ากลางห้อง แต่หลานหย่งจวินกลับไม่ได้แสดงความตกใจเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม แววตากลับวาววับ ก่อนจะเร่งเอ่ยตอบในทันที
“ท่านพ่อ สมแล้วที่เป็นท่าน! ท่านเด็ดขาดยิ่งนัก! ฉายามังกรคู่พิทักษ์แผ่นดิน อะไรนั่น...มันก็แค่คำพูดไร้สาระ!”
สองตระกูล หลานและซ่ง ถูกผู้คนยกย่องว่าคือเสาหลักแห่งยุค เป็นมิตรแท้แห่งสนามรบ เป็นขุนพลคู่บัลลังก์ หากแต่ในความเป็นจริง เบื้องหลังคำยกย่องนั้นเต็มไปด้วยแรงเสียดทานที่มองไม่เห็น หลานหย่งจวินรู้ดีว่าในสายตาราชสำนัก เขาไม่เคยสว่างไสวเท่าซ่งเจี้ยนหง ผู้เป็นดั่งดาวรุ่งของยุค บุรุษผู้มีทั้งพรสวรรค์ วาทศิลป์ และเสน่ห์แห่งผู้นำ
“หากซ่งเจี้ยนหงล้มลง…สายตาทุกคู่ในวังจะหันกลับมามองข้า!”เขาไม่ได้พูดออกมาแต่ความคิดนั้นชัดเจนในใจเขามิได้เร่งเร้าเพราะภักดีต่อบิดา หากแต่เร่งรัดเพราะความริษยาที่ครอบงำมานานนับปี ส่วนแม่ทัพหลานซือเหยียน…ยังคงนิ่งเงียบ เขาจ้องหน้าบุตรชายด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกว่าคิดเช่นไร เขารู้ดีว่าคำตอบที่ได้รับไม่ใช่เพราะความเข้าใจ หากแต่เพราะความทะเยอทะยาน
แต่เขาไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่มเพราะตอนนี้…เรื่องระหว่างเขา กับซ่งเจี้ยนหงไม่ได้เกี่ยวข้องแค่การเมืองหากคือการตอบแทนเลือดเนื้อของเขาเองและในเมื่อเขาเลือกแล้วว่าจะเป็นดาบ ในมือของหลานเยว่ ก็ไม่มีหนทางใดให้หันหลังกลับอีกต่อไป
“ท่านพ่อ...”เสียงทุ้มต่ำของหลานหย่งจวินดังขึ้น ท่ามกลางความเงียบงันของห้อง
“เกี่ยวกับแผนการในครั้งนี้…ข้าจะขอร่วมมือกับท่านด้วย”
แววตาของเขาเปล่งประกายไม่ใช่เพราะภักดี หรือห่วงใย หากแต่เต็มไปด้วยเพลิงแห่งความอาฆาต พูดด้วยน้ำเสียงที่ชั่วร้ายเกินกว่าจะปิดบังเจตนาเขารอคอยมานานแล้ว...วันที่จะได้บดขยี้ชื่อของซ่งเจี้ยนหง บุรุษที่ผู้คนเอ่ยชมยิ่งกว่าเขาทั้งในสนามรบ และในราชสำนักแต่คำตอบของแม่ทัพหลานซือเหยียน กลับเย็นชาเฉียบขาด
“ไม่ได้เรื่องนี้ เจ้าห้ามยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องโดยเด็ดขาด ข้าจะเป็นผู้ลงมือด้วยตนเอง”
แม้คำพูดนั้นจะเสมือนตัดสายสัมพันธ์ แต่หลานหย่งจวินกลับไม่แสดงความขุ่นเคืองเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เขาโค้งศีรษะรับด้วยท่าทีนอบน้อม
“ในเมื่อเป็นความประสงค์ของท่านพ่อ ลูกชายผู้นี้…ย่อมไม่สอดมือเข้าไป” หากแต่เบื้องหลังดวงตาคู่นั้น กลับเต็มไปด้วยเพลิงความหวังลุกโชน
“แต่หากเมื่อใด...ท่านต้องการมือข้างหนึ่งไว้ฟาดฟันศัตรู ข้าจะเป็นดาบให้ท่านและจะไม่ลังเลแม้แต่น้อย”
ใบหน้าของหลานหย่งจวินเงยขึ้นเล็กน้อย ภายใต้เงามืดที่ทาบทับบนเค้าโครงอันสง่างามนั้น แววตาของเขาฉายแวววาดฝันถึงวันที่อีกฝ่าย…จะล้มครืนลงแทบเท้าวันที่ชื่อของซ่งเจี้ยนหง จะกลายเป็นเพียงอดีตและเขา...จะยืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่างเพียงผู้เดียว
ในโลกของราชสำนัก…ความจงรักภักดี คือของเปราะบางส่วนการทรยศ… คือกลไกธรรมดา ที่หมุนเวียนอยู่ในเงามืดของอำนาจมันมิใช่เรื่องใหม่หากแต่เป็นเรื่องที่ผู้มีอำนาจทุกผู้… จำต้องคุ้นชินยิ่งใกล้บัลลังก์ เงาแห่งการหักหลังยิ่งหนาแน่น
ผู้ใดพลาด… ย่อมไร้ที่ยืนและหากยังมีหน้ากล่าวโทษผู้อื่นย่อมสมควรให้ผู้คนหัวเราะเยาะเพราะในสนามแห่งอำนาจ…ผู้ไร้เดียงสา คือผู้โง่เขลาและในที่แห่งนี้ ความโง่เขลา… ไม่มีวันได้รับความเมตตา
แม้แม่ทัพหลานซือเหยียน จะยังมิได้รับคำสั่งจากบุตรสาวโดยตรงแต่เขาก็สัมผัสได้ว่า สายลมแห่งความขัดแย้ง ได้พัดผ่านแล้วไม่ว่าช้าหรือเร็วไม่ว่าในรุ่นเขา หรือรุ่นถัดไปตระกูลหลาน กับตระกูลซ่ง… ย่อมมิอาจยืนหยัดภายใต้ฟ้าเดียวกันได้อีกต่อไปเพราะเมื่อจิตใจถูกแบ่งขั้วเมื่อสายเลือดกลายเป็นเดิมพันทางเดียวที่เหลืออยู่…คือ ผู้หนึ่ง ต้องล่มสลาย
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







