LOGINหลานหย่งจวินชายผู้มากล้นด้วยศักดิ์ฐานะและอำนาจหากแต่มีความเจ็บปวดหนึ่งที่ฝังแน่นในใจเขา... เป็นหมันไม่อาจมีทายาทสืบสกุล ไม่อาจส่งต่อสายเลือดให้ยั่งยืนนั่นคือปมเงียบที่กัดกินอยู่ในอกไม่มีใครพูดถึงแต่ก็ไม่เคยลบเลือนไปจากความรู้สึกของเขาเลยและเพราะเหตุนี้...ในยามราตรีมาเยือน เขาจึงมักปรากฏกายในที่แห่งหนึ่งเสมอย่านโคมแดงสถานที่ที่เขาใช้ปลดเปลื้องเงาความเศร้าให้หล่นหายไปกับกลิ่นสุราและเสียงหัวเราะของหญิงงาม
สำหรับใครบางคน ที่แห่งนี้อาจเป็นเพียงสถานเริงรมย์แต่สำหรับเขา... มันคือ บ้านหลังหนึ่งบ้านที่ไม่มีคำถาม ไม่มีความคาดหวัง และไม่มีใครถามถึงความล้มเหลวในฐานะผู้ชาย ร่างบางในอ้อมแขนที่อบอวลด้วยกลิ่นกำยานเสียงหัวเราะที่แว่วเบาในความมืดและปลายนิ้วที่ไล้ผ่านร่องอกของเขาด้วยความเคยชินทั้งหมดนั้น คือเครื่องปลอบประโลมที่เขายินดีจะจ่ายทุกค่าตอบแทน เพื่อแลกมามือหนึ่งยกจอกสุราแนบริมฝีปากอีกมือโอบกระชับเรือนร่างในอ้อมแขนแน่นขึ้นเล็กน้อยราวกับกลัวว่า หากปล่อย... จะไม่เหลือสิ่งใดให้ยึดเหนี่ยวอีกเลยแม้เขาจะนั่งอยู่ในห้องหรูของซ่องชั้นดีหากใบหน้าใต้หน้ากากกลับเงียบงัน ไม่แสดงความรู้สึกใด
ใช่เขาสวมหน้ากาก ไม่ใช่เพียงเพื่อปกปิดตัวตนจากผู้อื่นแต่เพื่อปิดบัง ความเปราะบาง จากตัวเองเพราะผู้ชายที่มีตำแหน่ง มีอำนาจ มีศักดิ์ศรีไม่ควรอ่อนแอ... ต่อหน้าผู้ใด
ค่ำคืนในย่านโคมแดงยังคงดำเนินไปอย่างเชื่องช้ากลิ่นสุราหอมกรุ่นเคล้าเสียงพิณแผ่วเบาเสียงหัวเราะของสาวงามแว่วอยู่ไม่ไกลทุกอย่างดูเหมือนจะสงบกระทั่งเสียงหนึ่ง... ดังแทรกเข้ามา
“หนุ่มน้อย... ข้าขอสตรีนางนั้นได้หรือไม่? หากข้าไม่ได้ครอบครองนาง ข้าคงนอนไม่หลับ”
เสียงนั้นทุ้มต่ำ ฟังดูแก่ชรา หากแต่ความหยาบโลนกลับเปลือยเปล่าไร้เยื่อใยถ้อยคำที่เปล่งออกมาไม่ต่างจากลมหายใจของคนที่คุ้นชินกับอำนาจและไม่เคยรู้จักคำว่า ปฏิเสธ
ชายชราผู้นั้นยืนอยู่ตรงประตูในชุดอาภรณ์หรูหรา ประณีตละเอียดแม้ในยามราตรีแวดล้อมด้วยผู้ติดตามหลายคน ซึ่งล้วนสวมหน้ากากปิดบังใบหน้า ราวกับไม่มีใครในห้องนี้อยากถูกจดจำแต่สำหรับหลานหย่งจวิน... เขารู้ดีชายผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างน้อย... ศักดิ์ฐานะก็ต้องสูงส่งพอที่จะกล้าเปิดปากเช่นนั้นต่อหน้าเขา
เงียบไปเพียงอึดใจหลานหย่งจวิน ปรายตาไปยังผู้มาเยือน แววตาเย็นชา ดั่งมีดบางที่ซ่อนคม
“เจ้าเฒ่า... เจ้าพูดจาเพ้อเจ้ออันใด?” เสียงของเขาไม่ดังแต่กดต่ำ ลึก และหนักแน่น
“ก็เห็นอยู่ว่านางอยู่ข้างกายข้าเป็นผู้รับใช้ของข้าหัดรู้จักที่ต่ำที่สูงเสียบ้างใส่หัวไปให้พ้นหน้าข้า”
สิ้นคำ บรรยากาศภายในห้องพลันแปรเปลี่ยนอากาศเหมือนจะนิ่งค้างหญิงสาวในอ้อมแขนตัวสั่นเล็กน้อย แต่ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดหลานหย่งจวินกระชับวงแขนแน่นขึ้นสายตายังคงตรึงแน่นอยู่ที่ชายชราผู้นั้นชายชรายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมแสงโคมแดงส่องสะท้อนเงาร่างที่ไม่ไหวติงแต่กลับรู้สึกได้ถึงแรงกดดันบางอย่างที่เริ่มแผ่ซ่านในอากาศ
คราวนี้น้ำเสียงของเขาทวีความหยาบโลนถ้อยคำที่เปล่งออกมานั้นหยาบช้าเกินจะเป็นคำพูดของมนุษย์ผู้สูงวัย
“หนุ่มน้อย... เจ้ายังไม่รู้หรอกว่ากำลังท้าทายอยู่กับใคร”“แม้แต่ มารดา ของเจ้า หากข้าอยากได้เจ้าก็ต้องยกให้อย่างไม่มีข้อแม้”
คำพูดนั้นราวกับอสรพิษที่เลื้อยซึมเข้าใต้ผิวเย็นเยียบ หยาบช้า... และน่าขยะแขยงยิ่งกว่าสิ่งใดที่เคยได้ยินหลานหย่งจวิน เบิกตากว้าง ดวงตาสั่นวาบด้วยโทสะที่พวยพุ่งจนแทบกลั้นไม่อยู่ร่างของเขาสะท้านเงียบ ๆ แต่เต็มไปด้วยแรงสั่นสะเทือนของความโกรธชั่วชีวิตที่ผ่านมา เขาอาจเคยเผชิญหน้ากับคนสารพัดประเภทหากแต่ไม่เคยพบผู้ใดที่กล้ากล่าววาจาเลวทรามเช่นนี้ยิ่งอายุขัยมากเท่าใด น่าแปลก... จิตใจของมันกลับยิ่งเสื่อมทรามลงราวกับหลุมมืดไม่มีที่สิ้นสุด
แทนที่ความชรา... จะพาให้ใจสงบแต่ชายผู้นี้กลับเต็มไปด้วยตัณหาล้นเกิน ไร้ขอบเขต ไร้มนุษยธรรม
“บังอาจ!” เสียงคำรามกึกก้องของหลานหย่งจวินดังกระแทกอากาศเขาผละกายจากหญิงสาวในอ้อมแขนทันที ราวกับไม่อาจอดทนได้อีกแม้เสี้ยวลมหายใจมือขวาตวัดออกพร้อมกับพลังลมปราณมหาศาลที่แผ่กระจายออกจากกายเสียงลมหวีดหวิวดังราวกับฟ้าร้องในห้องเล็ก ๆ นั้นม่านผ้าสะบัดแรง จอกสุรากระเด็นหล่นแตกกระจายบนพื้นหญิงสาวสะดุ้งสุดตัว รีบถอยห่างไปยืนชิดผนังขณะที่ชายชรานั้น ยังคงยืนนิ่งแต่อากาศรอบตัวเขาเริ่มตึงเครียดขึ้นทุกขณะ
ดวงตาของหลานหย่งจวินในยามนี้… เปล่งประกายดุดันสีหน้าเย็นชาอย่างถึงขีดสุดและสิ่งที่เขาถืออยู่ในมือ... ไม่ใช่อาวุธแต่คือศักดิ์ศรีที่เขาจะไม่มีวันยอมให้ใครย่ำยี
เหล่าคนคุ้มกันของชายชราไม่แม้แต่เปิดโอกาสให้เศษเสี้ยวของพลังลมปราณจากหลานหย่งจวินได้สัมผัสผิวกายเจ้านายของพวกมันเพียงแค่นั้นก็เพียงพอให้เข้าใจได้ว่าชายผู้นี้ต้องมีสถานะสูงส่งเกินคาดเพราะมีองครักษ์ฝีมือระดับนี้ติดตามใกล้ชิด
"ไอ้แก่ ไปตายซะ!" เสียงตวาดของหลานหย่งจวินดังลั่นเมื่อโทสะแผดเผาจิตจนไม่อาจควบคุมเขาพุ่งฝ่ามือหมายจะปลิดชีพอีกฝ่ายให้สิ้นด้วยแรงเพลิงแห่งศักดิ์ศรี
ทว่า ก่อนที่มือของเขาจะเฉียดถึงลำคอของชายชราเงาร่างของเหล่าคนคุ้มกันก็พุ่งเข้าขวางทันควันการต่อสู้ระเบิดขึ้นทันที!
เสียงลมปราณปะทะกึกก้องเงาร่างทั้งหลายเคลื่อนไหวฉับไวเหนือหลังคาและพื้นดินทุกกระบวนท่าเต็มไปด้วยพลังและความแม่นยำเพียงครู่เดียว สนามรบก็เคลื่อนห่างจากย่านโคมแดงไกลออกไปจนถึงชายป่าไผ่เงียบสงบ
กลางแสงจันทร์สลัวเสียงกระบี่ปะทะกันยังดังกังวานไม่ขาดสายและยิ่งเวลาผ่านไปหลานหย่งจวิน... ก็ยิ่งเหนื่อยล้า
แม่ทัพผู้ผ่านศึกมานับไม่ถ้วนกลับถูกต้อนให้จนมุมทีละก้าวด้วยจำนวนที่เหนือกว่าฝีมือที่แน่นอนกว่า และจังหวะที่ประสานกันราวกับกลไกอสูรลมหายใจของเขาเริ่มหอบแขนขาเริ่มหนักพลังกำลังที่เคยมั่นใจ... ค่อย ๆ รั่วไหลออกจากกายอย่างควบคุมไม่ได้เขาไม่เคยคาดคิดว่าค่ำคืนนี้... ตนเองอาจไม่มีโอกาสได้กลับออกจากป่าไผ่แห่งนี้อีกเลย
“ต่อให้ข้าต้องตาย... ข้าก็จะลากเจ้าลงนรกไปด้วยให้ได้!!”
เสียงคำรามของ หลานหย่งจวิน แผดลั่นราวกับเสียงโหยหวนของสัตว์บาดเจ็บจนตรอกเสียงที่เต็มไปด้วยเพลิงแค้น ไร้ซึ่งความกลัว หรือความยั้งคิดใดหลงเหลือเขาไม่สนอีกแล้วว่าตนจะถูกโจมตีจากทิศทางใดไม่หลบ ไม่ถอย ไม่ต้านมีเพียงเป้าหมายเดียวคือ บดขยี้ชายชราผู้นั้นให้แหลกคามือพลังลมปราณของเขาปะทุอีกครั้งแรงขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณแห่งการเอาชีวิตรอดและความเคียดแค้นจนสุดขีด
ในเสี้ยววินาทีร่างของเขาพุ่งฝ่ากระบวนท่าของเหล่าคนคุ้มกันราวกับกระบี่ไร้ฝักที่ไม่หวั่นเกราะใด
ฟึ่บ! หมัดหนึ่งฟาดเข้าเต็มกลางอกของชายชราเสียงกระแทกหนักดังสนั่น ก่อนร่างของชายชราจะปลิวกระเด็นไปไกลล้มลงอย่างไร้สง่าราศีแต่ในขณะเดียวกัน...
ร่างของหลานหย่งจวิน ก็ถูกโอบล้อมไว้ด้วยเงาเคลื่อนไหวจากทุกทิศกระบี่ ดาบ และฝ่ามือนับสิบถาโถมเข้าหาพร้อมกันเสียงปะทะดังขึ้นราวฟ้าร้องกลางพายุ
ตูม!
ร่างของแม่ทัพผู้เคยเกรียงไกรกระเด็นไถลกระแทกพื้นแรงกระแทกทำให้เขาไอโลหิตออกมาเป็นสายเปื้อนอกเสื้อจนแดงฉานเขานอนนิ่งอยู่ท่ามกลางใบไผ่ร่วงโรยลมหายใจสะท้านดวงตาคมเคยหยิ่งผยอง... บัดนี้พร่ามัวด้วยความเจ็บปวดและความสิ้นหวังแต่ในแววตานั้น... ยังไม่หมดแววต้านทานเพราะถ้าเขาจะตายศัตรูก็ต้องแลกสิ่งสำคัญบางอย่างกับเขาเช่นกัน
“นายท่าน!” เสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกของเหล่าคนคุ้มกันดังขึ้นพร้อมกัน เมื่อเห็นร่างของชายชราผู้สูงศักดิ์ล้มลงแน่นิ่ง เลือดแดงฉานไหลซึมจากมุมปาก เขาหมดสติไปในทันทีหนึ่งในองครักษ์ก็แค่นเสียงลอดไรฟันด้วยความแค้นก่อนจะพุ่งเข้าใส่หลานหย่งจวิน
“เจ้า...ถึงกับกล้าทำร้ายท่าน!” ฝ่าเท้าหนักพุ่งลงอย่างไร้ปรานี พลั่ก!
เสียงกระดูกแตกหักดังสะท้อนก้องแขนของหลานหย่งจวินบิดงอผิดรูป ก่อนขาตามมาในไม่ช้า
“อ๊ากกกกก!!” เสียงกรีดร้องปะทุจากลำคอ ราวกับเสียงคำรามของสัตว์ป่าใกล้ตายเจ็บแสบ... ปวดร้าว... เสียงนั้นดังกังวานไปทั่วผืนป่าไผ่เขาแทบหมดสติในทันที แต่ฝ่ามือของศัตรูยังคงยกขึ้น หมายจะลงทัณฑ์ซ้ำอีกแต่แล้ว
ยังไม่ทันที่การลงทัณฑ์จะสิ้นสุดเสียงฝีเท้ากลุ่มหนึ่งก็ดังใกล้เข้ามาเป็นสัญญาณว่าผู้คนกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้อาจจะเป็นเจ้าหน้าที่ของเมือง หรือผู้มีอำนาจอีกกลุ่มคนคุ้มกันแต่ละคนหันมองกันอย่างเร่งรีบพวกเขารู้ดีว่าต่อให้จัดการศัตรูจนแหลกสิ้นแต่ตัวตนของนายท่าน... ห้ามถูกเปิดเผยเด็ดขาดชายชราผู้นั้นไม่ใช่บุคคลธรรมดาแม้เพียงข่าวลือว่าเขาเคยเหยียบย่างเข้าสู่ย่านโคมแดง...ก็อาจสั่นคลอนอำนาจของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งแผ่นดิน
“ถอย!”
หัวหน้าคนคุ้มกันตะโกนสั่งเสียงต่ำ ทุกคนรวบรวมร่างของชายชราอย่างรวดเร็วแล้วถอยกลับเข้าสู่เงามืดของป่า ทิ้งไว้เพียงซากร่างของหลานหย่งจวินที่จมกองเลือดอยู่เบื้องล่างกลิ่นอายลมปราณยังคงวนเวียนในอากาศแต่ผู้คนที่กำลังมาถึง จะไม่พบอะไรเลย...นอกจากแม่ทัพหนุ่มที่สาหัสจนแทบไม่เหลือชีวิต
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







