LOGINสายลมยามค่ำคืนพัดผ่านชายป่าไผ่ โบกสะบัดใบไผ่ให้ไหวเอนราวกับร่ำไห้แทนชายผู้หนึ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่เบื้องล่าง…
หลานหย่งจวินแม่ทัพผู้เคยยืนหยัดดั่งขุนเขาในสนามรบ บัดนี้เปื้อนเลือด อาบเหงื่อ และไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับปลายนิ้วแขนขาของเขาหักบิดผิดรูป เสื้อคลุมหรูหราขาดวิ่นเปื้อนเลือด และแววตาอันเคยกร้าวกร่างบัดนี้พร่ามัวด้วยม่านแห่งความเจ็บปวดและเพลิงโทสะที่ยังไม่มอดดับ
กลิ่นโลหิตบางเบาอบอวลในอากาศ เจือปนกับไอเย็นของดินเปียกและใบไม้ชื้น ราวกับธรรมชาติเองก็ร่วมโศกเศร้าต่อชะตากรรมของชายผู้แบกภาระเกินมนุษย์ เสียงฝีเท้าเร่งร้อนใกล้เข้ามา เวรยามแห่งเมือง หรือนายทหารชั้นผู้น้อยที่รับแจ้งเหตุจากย่านโคมแดง เร่งฝ่าดงไผ่ตรงเข้ามาด้วยหัวใจหนักอึ้งแสงจันทร์สาดส่องลงบนร่างหนึ่งซึ่งนอนจมอยู่ในเงาไม้... ท่ามกลางความเงียบงัน พวกเขาค่อย ๆ ถอดหน้ากากของชายผู้นั้นอย่างช้า ๆ
เมื่อใบหน้าปรากฏชัด แสงจันทร์จึงเผยให้เห็นความจริงอันน่าสะเทือนใจ
“ท่าน...แม่ทัพหลาน?!” เสียงอุทานของทหารนายหนึ่งดังขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา เสียงสั่นเครือเต็มไปด้วยความตกใจเหล่าทหารต่างกรูกันเข้าหาอย่างแตกตื่น ร่างซีดเซียวของหลานหย่งจวินยังคงมีลมหายใจรวยริน มือที่สั่นระริกยังคงกำแน่นราวกับยึดมั่นในบางสิ่งบางอย่าง
ร่างของเขาถูกหามส่งกลับจวนของแม่ทัพหลานซือเหยียนผู้เป็นบิดาในทันที ท่ามกลางความสับสนและความเงียบงันอันน่าอึดอัด ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวคำใดตลอดเส้นทางขบวนเคลื่อนผ่าน จวนแม่ทัพยามค่ำคืนยังคงมีแสงตะเกียงส่องสว่าง เสมือนสัญลักษณ์แห่งอำนาจที่ไม่เคยหลับใหล แต่ในคืนนี้ แสงนั้นกลับสั่นไหว...
เมื่อร่างของหลานหย่งจวินถูกนำเข้ามา ภายในเรือนใหญ่ตกอยู่ในความโกลาหลทันควัน ข้ารับใช้ต่างเร่งเร้าเรียกหมอหลวง หรือต่อให้ต้องงัดตำราวิชาทิพย์เพื่อรักษา พวกเขาก็พร้อมจะทำและเมื่อหลานซือเหยียนปรากฏตัว ดวงตาที่เคยเยือกเย็นของแม่ทัพผู้เคร่งขรึม ก็แปรเปลี่ยนเป็นแววโกรธเกรี้ยวและร้อนรุ่มในคราวเดียว
เขายืนนิ่งครู่หนึ่ง มองลูกชายที่นอนจมอยู่บนตั่งไม้ ใบหน้าแทบไร้สีเลือด มือและขาแปร่งผิดรูป ความโกรธพุ่งพล่านในอกเหมือนเปลวเพลิง
“ใคร... ใครมันกล้าทำกับเจ้าเช่นนี้ จวินเอ๋อร์...” เสียงที่เอ่ยออกมา แทบไม่คล้ายเสียงของแม่ทัพเหล็กที่ใครลือเลื่อง แต่เป็นเสียงของบิดาคนหนึ่ง... ผู้เจ็บปวดและแค้นลึก
สายตาของท่านแม่ทัพหลานซือเหยียนทอดมองบุตรชายด้วยหัวใจร้าวลึก แต่แล้วเขาก็สะดุดกับบางสิ่งมือข้างหนึ่งของหลานหย่งจวินยังคงกำแน่นราวกับจะไม่ยอมปล่อยเขาค่อย ๆ ยื่นมือออกไปแกะออกอย่างระมัดระวัง… และในวินาทีนั้น สีหน้าของแม่ทัพเคร่งขรึมก็แปรเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง
ปลายนิ้วสัมผัสถึงวัตถุชิ้นหนึ่งแผ่นป้ายโลหะที่หนักแน่นด้วยอำนาจและความหมายสลักลายละเอียดด้วยลายมือเฉพาะ เส้นสายสัญลักษณ์ไม่อาจปลอมแปลง
ดวงตาของหลานซือเหยียนเบิกกว้าง ลมหายใจสะดุด เขาชะงักอยู่ชั่วอึดใจ ร่างกายราวกับถูกตรึงด้วยน้ำแข็ง
“เป็น… ฟู่เหวินโหลว... อย่างงั้นหรือ...” เสียงของเขาเบาราวกระซิบ แต่หนักแน่นดุจสายฟ้าฟาดลงกลางใจชื่อที่ไม่ควรถูกเอื้อนเอ่ยออกมาในห้วงเวลานี้ ทว่ามันหลุดออกจากริมฝีปากของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อย่างไร้ทางห้ามชายผู้นั้นปราชญ์หลวงแห่งแผ่นดินผู้เป็นที่เคารพยำเกรงของเหล่าขุนนางผู้เป็นครูแห่งองค์จักรพรรดิและ…ผู้ที่ไม่มีผู้ใดเชื่อว่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุรุนแรงเช่นนี้
แต่ป้ายนี้คือหลักฐานที่เถียงมิได้ลมหายใจของแม่ทัพหลานพลันหนาวเย็นขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม เย็นยิ่งกว่าไอราตรี เย็นยิ่งกว่าความโกรธที่คุกรุ่นในอกเขากำป้ายนั้นแน่น
“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกับตระกูลหลานกันแน่...” เสียงคำรามต่ำลอดไรฟันดังแผ่วออกจากอกของแม่ทัพหลานซือเหยียน แววตาแดงก่ำด้วยเพลิงโทสะที่ถูกกลบฝังด้วยความสิ้นหนทางเขามองดูร่างบุตรชายที่นอนแน่นิ่งอยู่เบื้องหน้า แล้วนึกย้อนถึงภาพเก่าเพียงไม่กี่วันก่อน...
บุตรสาวของเขาและบุตรเขยถูกทำร้ายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดและใครกันที่เป็นผู้ลงมือ...?ไม่ใช่ใครอื่น... แต่เป็นบุตรสาวคนเล็กของเขาเองเรื่องนั้นยังคงค้างคาในอกความเจ็บปวดที่ไม่อาจลงโทษผู้เป็นลูกและบัดนี้ ความวิบัติยังไม่จบสิ้นคนที่ถูกฟาดฟันแทบตายกลางป่าไผ่ คือหลานหย่งจวินบุตรชายคนโตของตระกูลและคนที่ลงมือ...กลับเป็น ฟู่เหวินโหลวปราชญ์หลวงผู้มากด้วยบารมี และลิ้นสองแฉกที่เคยล่อลวงแม้แต่องค์ฮ่องเต้ให้คล้อยตามคำลวงหากชายผู้นั้นเพียงแค่เอ่ยคำใส่ร้าย หรือบิดเบือนความจริงสักนิด...มีหวัง ตระกูลหลานจะกลายเป็นแพะบูชายัญแห่งราชสำนักและตนเอง... อาจต้องเห็นลูกหลานถูกประหารต่อหน้าต่อตามือใหญ่กำแน่นจนเลือดซึมจากฝ่ามือ ใบหน้าเหี่ยวย่นด้วยความกร้าวแกร่งสั่นไหวเล็กน้อย
“ข้าเป็นแม่ทัพ... เป็นเสาหลักของแผ่นดิน แต่กลับไม่อาจปกป้องแม้กระทั่งสายเลือดของตัวเอง…” น้ำเสียงนั้นแหบพร่าเต็มไปด้วยเพลิงแค้นที่ไร้ทางระบาย
เช้าวันถัดมา...
แสงแดดอ่อนจางลอดผ่านผ้าม่านหนา ส่องกระทบเปลือกตาชายผู้หนึ่งซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงไม้หอม ห่มด้วยผ้าห่มไหมชั้นดีหลานหย่งจวินค่อย ๆ ลืมตาด้วยความอ่อนล้า ความรู้สึกแรกที่แล่นเข้ามาในสำนึกไม่ใช่ความเจ็บปวดทางร่างกาย... แต่คือความหนักอึ้งในหัวใจเมื่อสายตากวาดมองไปรอบห้อง เขาพบว่า... ท่านพ่อของเขา หลานซือเหยียน นั่งอยู่ข้างเตียงเงียบ ๆ ไม่ได้ขยับไปไหนแม้สักก้าวเดียว
“ท่านพ่อ...” เสียงที่เปล่งออกมาแหบพร่าและอ่อนแรงนัก
“เจ้าตื่นแล้วรึ”แม่ทัพหลานตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ผิดจากปกติไปเล็กน้อย แฝงด้วยความอาทร ซึ่งเขาไม่ค่อยได้แสดงออกบ่อยนัก“เจ้าต้องพักมาก ๆ อย่าเพิ่งคิดอะไรให้หนัก”
หลานหย่งจวินมองร่างตนเองที่พันผ้าพันแผลแน่นหนา แขนขาเคลื่อนไหวไม่ได้ตามใจ ร่างกายที่เคยแข็งแกร่งในสนามรบบัดนี้ไร้เรี่ยวแรงราวกับผักเน่าเขาหัวเราะเยาะตนเองเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงแห้งผาก ก่อนจะพูดช้า ๆ ชัดถ้อยคำ
“ท่านพ่อ... ท่านต้องล้างแค้นให้ข้า” คำพูดนั้นเปล่งออกมาด้วยเปลวเพลิงในแววตา เจ็บปวดนัก แต่ชัดเจนและแน่วแน่
แม่ทัพหลานนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจหนักและเอ่ยเสียงต่ำอย่างยากเย็น
“ทำไม่ได้... ผู้ที่ลงมือกับเจ้ามิใช่ศัตรูธรรมดา หากแต่เป็นฟู่เหวินโหลว ปราชญ์หลวงผู้กุมจิตใจฮ่องเต้”
“แม้แต่ข้า... หากคิดพลาดเพียงนิด ก็ไม่ใช่แค่เจ้า ข้าหรือจวนหลานแต่ทั้งตระกูลจะถูกลากขึ้นแท่นประหาร”
หลานหย่งจวินจ้องมองบิดา ชายผู้เป็นตำนานในสนามรบในดวงตาเขาไม่มีความเข้าใจ... มีเพียงเพลิงแค้นที่ลุกโชน
“ท่านมันขี้ขลาด... แค่ล้างแค้นให้ลูกในไส้ ยังไม่กล้า!” แม่ทัพหลานหันหลังให้บุตรชาย เขาไม่ตอบในทันทีปล่อยให้ความเงียบกดทับบรรยากาศ แล้วจึงพูดขึ้นเบา ๆ
“เจ้าจงลืมเรื่องนี้เสีย... มันจะทำลายทุกสิ่งที่เจ้าเหลืออยู่” แล้วเขาก็ก้าวออกจากห้อง โดยไม่หันกลับมาอีกบนเตียงนั้น หลานหย่งจวินนอนนิ่งดวงตาสั่นระริกเต็มไปด้วยเพลิงโทสะแม้สภาพเขาจะยับเยิน แต่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่ตาย...คือ แค้นแค้นจนสุดใจและแค้นจนพร้อมจะฉีกทุกอย่างที่ขวางหน้าให้เป็นชิ้น ๆ
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







