LOGINฟู่เหวินโหลว คือชื่อที่ผู้คนทั่วแผ่นดินต่างเอ่ยถึงด้วยทั้งความยำเกรงชายผู้นี้มิใช่เพียงปราชญ์หลวง หากแต่เป็นเงาที่คอยชี้นำเบื้องหลังราชสำนักผู้มีอำนาจล้นฟ้าจนสามารถพลิกเมือง เปลี่ยนขั้วอำนาจได้เพียงกระดิกนิ้ว
จวนของเขาตั้งอยู่ไม่ห่างจากใจกลางนครหลวงนักหากแต่กินพื้นที่กว้างขวางจนแทบจะกลืนภูเขาทั้งลูกท่ามกลางเงาไม้และหอคอยสูงเสียดฟ้า…ทุกก้อนอิฐล้วนสลักชื่อของอำนาจสถานที่แห่งนี้…คือคำประกาศอันเงียบงันถึงบารมีที่ไม่มีใครกล้าเหยียบย่ำ ความสัมพันธ์ของเขากับองค์ฮ่องเต้ แน่นแฟ้นจนแม้แต่ขุนนางอาวุโสยังไม่กล้าเอ่ยวาจาวิพากษ์ไม่ว่าจะเป็นเพราะปรีชาสามารถ หรือวาจาลิ้นสองแฉกที่ล่อลวงได้แม้แต่หัวใจจักรพรรดิฟู่เหวินโหลว…ก็ได้รับความโปรดปรานเหนือผู้อื่น
และเพื่อเป็นหลักประกันแห่งความไว้ใจองค์ฮ่องเต้ได้พระราชทานวัตถุวิเศษอันเลื่องชื่อที่แม้แต่ห้องโอสถหลวงก็ยังเรียกขานว่าเป็น ของต้องห้ามจากสวรรค์
บุปผาเมฆคืนชีพ โอสถโบราณที่สูญสูตรไปเมื่อร้อยปีก่อนกล่าวกันว่าเกิดจากการกลั่นกลีบบุปผาเมฆหิมะบนยอดเขาสวรรค์พันปี สรรพคุณมิอาจเทียบได้กับโอสถใดในใต้หล้าเพียงเม็ดเดียว สามารถฟื้นฟูแขนขาที่พิการให้กลับมาเป็นปกติซ่อมแซมเส้นลมปราณที่ถูกทำลายให้กลับมาไหลเวียนดั่งเดิมและแม้แต่ผู้ใกล้ตาย…หากยังมีลมหายใจเพียงเสี้ยว ก็สามารถยื้อคืนกลับมาได้!
ในปัจจุบัน…ทั่วทั้งแผ่นดิน บุปผาเมฆคืนชีพ เหลืออยู่เพียงสองเม็ดเท่านั้นหนึ่งถูกเก็บไว้กับองค์ฮ่องเต้อีกหนึ่งประทานแก่ฟู่เหวินโหลว ด้วยพระหัตถ์ของจักรพรรดิเอง นั่นไม่ใช่เพียงของขวัญแต่มันคือสัญลักษณ์แห่งสายสัมพันธ์ระหว่าง ศิษย์กับอาจารย์ ที่ลึกยิ่งกว่าสาบานเลือดและมั่นคงยิ่งกว่าโซ่ตรวนใดในโลก
“อั่ก... ไอ้เด็กรุ่นหลังสารเลว!” เสียงคำรามต่ำแผดกึกก้องภายในห้องลับที่ซ่อนอยู่หลังม่านฉากทองคำฟู่เหวินโหลว นอนเอนกายบนตั่ง ภายใต้ชุดคลุมผ้าไหมลายมังกรที่บัดนี้ยับย่นไม่เป็นท่าใบหน้าอันชราภาพขมวดแน่นด้วยความเจ็บปวด ขณะฝ่ามือสั่นเทาแนบที่ท้องน้อย“ข้า... ข้าเป็นถึงปราชญ์หลวงแห่งแผ่นดิน!” เสียงแหบพร่ากระแทกออกมาจากลำคอ“แล้วเหตุใดต้องมานอนนิ่งไร้สติจากฝ่าเท้าของเด็กเวรนั่นถึงสามวันเต็ม!” แม้จะพ้นจากขอบเหวของความตาย แต่บาดแผลภายในกลับราวกับมีดนับสิบเล่มหั่นกระชากลมหายใจแต่ละครั้งเหมือนกลืนกล้ามเนื้อทั้งร่างแต่ถึงกระนั้น... เขาก็ยังไม่ยอมแตะต้อง บุปผาเมฆคืนชีพโอสถวิเศษที่มีเพียงสองเม็ดในใต้หล้า เพราะสำหรับเขา…มัน "มีค่าเกินกว่าจะเสียให้แผลแค่นี้"
ใบหน้าของเขาแสยะยิ้มเย็น ดวงตาขุ่นมัวฉายแวววิปลาสก่อนจะกล่าวกับองครักษ์ที่ยืนรอคำสั่ง“ไป... ไปหาสตรีงามมาให้ข้า” เสียงนั้นแหบพร่า แต่แฝงด้วยราคะชั่วร้าย “บางที... ความงามจะเยียวยาอวัยวะข้าดีเสียยิ่งกว่ายาเสียอีก”“ลูกใคร เมียใคร... ข้าไม่สน” เขากระซิบต่ำราวกับคำสาป “ขอแค่ผิวเนียน ตากลม ผมยาว ก็พอแล้ว”
องครักษ์หนุ่มโค้งตัวต่ำ รีบตอบรับด้วยท่าทีประจบประแจง“ขอรับนายท่าน... ข้าจะออกไปตามหาสาวงามที่เพียงสบตาก็ทำให้โลกลืมหายใจ มาให้ท่านแน่นอน”
เขาพูดราวกับนี่เป็นกิจวัตรอันเคยชินเพราะนี่… ไม่ใช่ครั้งแรกภายใต้จวนที่ยิ่งใหญ่ราวพระราชวังแห่งนี้มีเสียงคร่ำครวญของหญิงสาวไร้นามดังก้องเงียบอยู่เสมอสาวงามนับสิบเคยถูกลักพาตัวมาโดยไร้ซึ่งทางขัดขืนบางนางหายสาบสูญบางนางแค่เหลือชื่อในซอกหลืบของประตูที่ปิดตายและทุกครั้งฟู่เหวินโหลวจะนั่งจิบชาดอกเหมยยิ้มเยาะอย่างผู้มีชัยเหนือชีวิตคนอื่น ตำแหน่งของเขาคือปราชญ์หลวง เสาหลักของราชสำนักแต่เบื้องหลัง… คือเงาที่สกปรกที่สุดของแผ่นดินยิ่งแก่ตัวลง ความทะเยอทะยานในอำนาจก็ยิ่งกัดกินแต่ที่กัดกินเขาแรงกว่านั้น... คือ ตัณหาที่ไร้ก้นบึ้ง
“ข้าล่ะอิจฉาท่านจริง ๆ” เสียงข้ารับใช้หนุ่มดังขึ้นในระหว่างทางที่ทั้งสองเดินลัดเลาะกลางพงป่าทึบ"เพิ่งทำงานไม่กี่ปี ก็ได้เป็นองครักษ์คนสนิทของท่านปราชญ์หลวงเสียแล้ว ข้าว่าชาตินี้ข้าคงไม่ต้องงมเข็มในมหาสมุทรอีกต่อไปถ้าได้เดินตามรอยท่าน!" น้ำเสียงของเขาเจือทั้งความชื่นชมและความอยากได้อยากมีอย่างโจ่งแจ้ง ชายที่นำหน้าอยู่เหลือบหางตามามอง เขาหยุดยืน ยกยิ้มมุมปากอย่างยโส"โชคดีหรือ?" เขาหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ "ไม่หรอก โชคมันไม่ช่วยใครถ้าเจ้าไม่รู้จัก…เลียให้ถูกจุด"เขาโน้มตัวกระซิบเสียงต่ำ"ข้าบอกเจ้าตรง ๆ เลยนะถ้าอยากก้าวหน้าในวังวนที่เน่าเฟะนี้เจ้าต้องรู้จักทำตัวให้ ไร้กระดูกสันหลังขอเพียงเจ้าชั่วได้ถึงใจเลียฝ่าเท้าท่านปราชญ์จนขึ้นเงาไม่ว่าทรัพย์ ตำแหน่ง หรืออำนาจ… มันจะวิ่งเข้ามาหาเจ้าเอง"
แววตาของข้ารับใช้หนุ่มลุกวาบ ดวงตาเป็นประกายเหมือนเด็กน้อยที่พบของเล่นชิ้นใหม่ความละอายถูกกลบด้วยความโลภอย่างสิ้นเชิงเขาพยักหน้าหงึก ๆ ดวงหน้าฉายความตื่นเต้นเหมือนได้เห็นบันไดลัดขึ้นสวรรค์
“ข้าจะจำไว้! ต่อไปนี้... ข้าจะไม่มัวมุดดินทำงานให้ตายเปล่าอีกต่อไป” องครักษ์หนุ่มหัวเราะในลำคอ เขาหันหลังให้ลูกน้อง ยกมือลูบผ้าคลุมอย่างอารมณ์ดีสำหรับพวกเขาแล้ว ความชั่วไม่ใช่บาปแต่เป็นบันไดและฝ่าเท้าของฟู่เหวินโหลว... คือประตูสู่ สวรรค์ของคนไร้ยางอาย
“นี่หรือคือหนทางสู่ความก้าวหน้าของเจ้า… ช่างน่าสนใจเสียจริง” เสียงเย็นเฉียบแฝงแววเสียดสีดังแทรกกลางความมืด คล้ายกระซิบจากเงาไม้ในยามราตรีองครักษ์หนุ่มหยุดชะงัก หันขวับไปยังทิศที่มาของเสียง ดวงตาแข็งกร้าวด้วยความระแวง “ผู้ใดกัน! ออกมาเดี๋ยวนี้!” เขาตวาดเสียงขุ่น มือแตะดาบที่เอวโดยสัญชาตญาณ
จากมวลหมอกจาง ๆ ใต้แสงจันทร์ สตรีนางหนึ่งก้าวออกมาด้วยท่วงท่าสงบเยือกเย็นนางงดงาม… งามจนน่าหวาดหวั่น งามจนความเงียบรอบตัวแทบหยุดหายใจเส้นผมดำขลับสะท้อนแสงจันทร์ แววตาคมล้ำเปล่งประกายเยือกเย็นจนทำให้ใบหน้าของนางราวกับแกะสลักจากน้ำแข็งนางไม่ใช่หญิงสาวที่หลงป่าหรือผู้ใดที่โชคร้ายมาเดินผ่านนางคือเงาที่แฝงตัวอยู่กับความมืดนางคือ หลานเยว่ มือสังหารไร้นาม… ผู้ที่แม้แต่ความตายยังเดินตามรอยเท้า
ชายคนสนิทเบิกตากว้าง ใจเต้นแรงด้วยความตกตะลึง… แต่เพียงครู่เดียว แววตาของเขาก็กลับมาเป็นประกายเจ้าเล่ห์“ลูกพี่…” เขากระซิบเบา ๆ พร้อมสะกิดข้อศอกองครักษ์ผู้เป็นหัวหน้า“นางช่างงดงามนัก… ท่านฟู่เหวินโหลวเห็นเข้า คงตื่นเต้นจนลืมเจ็บแน่” รอยยิ้มเจือความชั่วร้ายแสยะขึ้นมุมปาก
โอกาสที่ตกจากฟ้ากลางป่ามืด… พวกเขาคิดว่าโชคดีเจอ เหยื่อหารู้ไม่… ว่ากำลังยื่นคอตัวเองเข้าสู่กับดักของนักล่า
“สาวน้อย… ความงามของเจ้านั้น ช่างตราตรึงนัก” เสียงของชายคนสนิทเปล่งออกมาด้วยสำเนียงหยาบโลน สายตาโลมเลียไล่ตามเรือนร่างของหญิงสาวอย่างไม่รู้จักอาย“หากเจ้ายินดีใช้มารยาหญิง ปรนเปรอนายท่านของข้าให้ถึงใจ… ข้าว่าชีวิตเจ้าจะสุขสบายไปทั้งชาติ”
ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความละโมบและตัณหามือของเขายื่นออกไปช้า ๆ หวังจะแตะต้องเนื้อนวลตรงเบื้องหน้าเพียงปลายนิ้วใกล้แตะ...
ฉัวะ!เสียงคมโลหะเฉือนเนื้อดังแหลมก้องในความเงียบ มือที่ยื่นออกไปเมื่อครู่กระเด็นหลุดจากข้อมือ กลิ้งลงสู่ผืนดินอย่างน่าอนาถ “อ๊ากกกกก!!”เสียงกรีดร้องดังก้องป่า ความเจ็บปวดพุ่งทะลุจิตใจชายผู้นั้น ดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัวและไม่อาจเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นใบหน้าของหลานเยว่ยังคงเรียบสนิท นางเพียงถือมีดสั้นขนาดเล็กในมือ ปลายคมยังเปื้อนเลือดสดหยดลงกับพื้นอย่างเงียบงันคมมีดนั้นดูไม่ต่างจากเครื่องประดับเล็ก ๆ หากแต่ความแหลมคม… กลับเฉือนความโอหังได้ในพริบตา
ชายอีกคนผู้เป็นองครักษ์ยืนอึ้ง เบิกตากว้างแม้จะมีฝีมือเทียบชั้นแม่ทัพผู้เกรียงไกร แต่สายตาเขากลับจับจังหวะเคลื่อนไหวของนางไม่ทันสิ่งที่เขาเห็น… คือภาพมือเพื่อนร่วมทางลอยกลางอากาศ แล้วเลือดก็พุ่งราวม่านแดงต่อหน้าบัดนี้... พวกเขาจึงเริ่มเข้าใจว่า สตรีตรงหน้า ไม่ใช่ลูกแกะน้อยผู้หลงทางแต่มันคือ... อสูรร้ายในคราบดอกไม้
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







