LOGINใต้แสงจันทร์สลัว เสียงกรีดร้องของชายโชคร้ายยังแว่วสะท้อนในความมืดราวเสียงวิญญาณก่อนสิ้นใจ เลือดสีเข้มไหลทะลักจากแผลขาดแหว่งตรงข้อมือ กลบกลิ่นไม้ใบในป่าให้ขมคาวไปหมด ร่างของมันทรุดฮวบลงกับพื้น ดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดจนเหมือนจะคลานหนี แต่ไร้เรี่ยวแรงใดจะผลักดันให้พ้นเงาตายที่คืบคลานเข้าหา
“หนวกหูเสียจริง” เสียงนั้นดังแผ่ว ทว่าเย็นเยียบจนสั่นสะท้านไปถึงกระดูกสันหลัง ในชั่วพริบตาเดียว มีดสั้นในมือนางก็พุ่งแทงเข้าที่ลำคอของมันอย่างแม่นยำ เสียง “ฉึก” เบา ๆ ดังขึ้นก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงในพริบตา
ไม่มีเสียงร้องอีก ไม่มีแม้แต่แรงจะดิ้นรนร่างนั้นทรุดฮวบกับพื้น เลือดไหลทะลักออกจากปากและคอ ดวงตาเบิกกว้าง ก่อนจะว่างเปล่าไปตลอดกาล องครักษ์ที่ยืนมองอยู่ข้าง ๆ ถึงกับกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอทุกอย่างมันเร็วเกินไปหญิงสาวผู้นี้มิใช่เหยื่อ แต่คือเพชฌฆาตเมื่อครู่เขายังหลงคิดว่านางเป็นเพียงหญิงสาวหลงทางในป่าผู้เคราะห์ร้ายใครจะคาดคิดว่า... เธอมาด้วยเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวคือสังหาร
“เจ้าเป็นใครกันแน่...”เขาถามเสียงแหบต่ำ มือที่จับดาบเริ่มสั่นโดยไม่รู้ตัว สายตาจับจ้องนางอย่างตื่นกลัว แม้ใบหน้าจะยังงดงามเย้ายวนแต่ในดวงตาของนางกลับไม่มีแววชีวิต ไม่มีเมตตา… มีเพียงเงาแห่งความตายหญิงสาวยกคางขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสบสายตาเขาตรง ๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ดั่งประกาศิตจากยมทูต
“ข้าคือคนที่จะมากระชากลมหายใจออกจากร่างของพวกเจ้า”
แม้ความหวาดกลัวจะกัดกินหัวใจอย่างไม่ลดละ…แต่องครักษ์ผู้นั้นก็ยังเลือกจะสู้ เขารู้ดี หากไม่ลุกขึ้นต่อต้าน เขาก็จะลงเอยเหมือนศพไร้ลมหายใจของสหายที่นอนแน่นิ่งอยู่ใต้เท้าสตรีนางนั้น
เสียงลมหายใจขาดห้วงพลันกลายเป็นแรงผลัก เขาตะโกนลั่นฟ้า ก่อนจะระเบิดพลังลมปราณภายในร่างออกมาอย่างสุดกำลัง แรงอาฆาตกับสัญชาตญาณเอาตัวรอดหลอมรวมกลายเป็นพลังทำลายอันรุนแรงการต่อสู้เริ่มต้นขึ้นอย่างดุเดือดแสงจากกระบี่พุ่งวาบพาดผ่านเงาไม้ เสียงปะทะระหว่างเหล็กและเหล็กดังกึกก้องไปทั่วป่า
แต่ไม่ว่าจะโจมตีเท่าใด เงาร่างของหลานเยว่กลับยังคงเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม ดุจสายลมที่ไม่มีวันหยุดนิ่ง นางไม่ได้แค่หลบหลีก แต่ควบคุมจังหวะของการต่อสู้อย่างเยือกเย็น และที่สำคัญปราศจากความลังเลในชั่วขณะหนึ่ง มือเรียวของนางสะบัดเบา ๆ “ฟึ่บ!”
เข็มเงินแหลมคมพุ่งออกจากแขนเสื้อ ทะลุเสื้อเกราะขององครักษ์ และฝังลึกเข้าสู่ร่างกายอย่างแม่นยำโดยไร้เสียงเตือน
ร่างชายหนุ่มชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มสั่นเทาเข่าทั้งสองข้างทรุดลง ท่ามกลางความตกตะลึงพิษร้าย... กำลังค่อย ๆ ซึมซับเข้าสู่เส้นเลือดของเขามันเงียบงัน แต่ทรมาน ราวกับมีไฟเย็นลามไล่ภายในร่าง
“อั่ก… เจ้า… เจ้าทำอะไรข้า…” แต่ยังไม่ทันได้สำเหนียกถึงความตายที่ใกล้เข้ามา คมมีดในมือนางก็เคลื่อนไหวอีกครั้งเฉือนผ่านกล้ามเนื้อของเขาอย่างไร้ความปรานีเสียงเลือดกระเซ็นดังฉ่าในความเงียบเขาพยายามดิ้นรน สะบัดร่างอย่างคนใกล้ตาย แต่แรงต่อต้านนั้น… ไร้ผลในที่สุด ร่างที่เคยแข็งแกร่งก็ทรุดลงแน่นิ่ง ท่ามกลางกลิ่นคาวโลหิตและกลิ่นพิษที่ลอยอวลไปทั่ว ใต้แสงจันทร์… ร่างของเขานอนแน่นิ่งในผืนป่าดวงตาเบิกค้าง ไม่รู้ว่าเพราะตกตะลึง หรือเพราะสุดท้าย… ตนไม่อาจแม้แต่จะเข้าใจว่า พ่ายแพ้เช่นไร
หลังจากดับลมหายใจของชายทั้งสองลงโดยไร้ความปรานีหลานเยว่ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองราวกับความตายของพวกมัน… ไม่ควรค่าแม้แต่แววตาเงาร่างของนางก้าวเดินต่อไปในความเงียบ ละม้ายเงาจันทร์ที่ไร้เสียง สะท้อนเพียงประกายเย็นเยียบของคมมีดจุดหมายของนาง… คือ จวนฟู่เหวินโหลว
ถึงแม้ว่าอาณาเขตจวนจะกว้างขวางราวกับกลืนกินทั้งหุบเขา และมีเวรยามคอยลาดตระเวนทุกจุดอย่างเข้มงวดแต่กับนางแล้ว…นั่นก็ไม่ต่างจากการเดินผ่านสวนดอกไม้ในยามเย็น
ด้วยลมหายใจสงบนิ่งด้วยฝีเท้าที่ไม่ต่างจากสายลมที่พัดผ่านนางลอบเร้นเข้าสู่เขตจวนได้โดยไม่แม้แต่จะทำให้เงาตัวเองสะท้อนในแสงตะเกียงจุดที่มีเวรยามหนาแน่นที่สุด คือบริเวณกำแพงนอกและทางเข้าหลัก ทว่า… เหล่าทหารยามกลับมีพลังฝีมือธรรมดายิ่งนัก พวกมันถูกวางไว้เพื่อเน้น จำนวน ไม่ใช่ คุณภาพ
ต่างจากเขตชั้นใน…ใกล้เรือนพักส่วนตัวของฟู่เหวินโหลว เวรยามกลับบางตาแต่ทุกผู้คนล้วนผ่านการฝึกมาอย่างเข้มงวด แววตาของพวกมันนิ่งเฉียบเหมือนหมาป่าเฝ้ารัง ความเคลื่อนไหวของพวกมันคล้ายกับเงาที่ไร้เสียง ไม่มีแม้แต่การพูดคุย หรือหย่อนยานในหน้าที่
อย่างไรก็ตาม…สำหรับหลานเยว่ ทุกฝีก้าวของนางเต็มไปด้วยความเยือกเย็นและช่ำชอง นางไม่รีบร้อน ไม่ย่ามใจ แต่ก็ไม่ลังเลคืนนี้… มิใช่คืนแห่งการสังหารแต่เป็นคืนแห่งการเฝ้ามองนางสำรวจรอบจวนอย่างใจเย็น มองแผนผังอาคาร ระยะระหว่างตำแหน่งเวรยาม จุดบอดในแสงไฟ เส้นทางล่าถอย และทางลัดที่เชื่อมต่อระหว่างเรือน
นี่คือภารกิจแรก…ภารกิจของการรู้จัก ศัตรู ให้ทะลุปรุโปร่งก่อนที่มือเย็นเฉียบของนาง จะลงทัณฑ์พวกมันในคืนที่เหมาะสมที่สุดใต้แสงจันทร์ที่คลอเคลียยอดไม้สายตาคมดุจมีดของหลานเยว่…ไม่ได้แสดงความลังเลแม้แต่น้อย
"ใช้คนสักร้อยคน… ก็น่าจะเพียงพอ" ถ้อยคำนั้นเอื้อนเอ่ยออกมาเบา ๆ จากริมฝีปากของหลานเยว่มิได้กล่าวต่อใคร… หากแต่เป็นเสียงพึมพำกับตัวเอง เสียงอันแผ่วเบา ทว่าหนักแน่นประหนึ่งตราประทับแห่งความตาย
แววตานิ่งสงบของนางกวาดมองไปรอบเรือนชั้นในอย่างเยือกเย็นพื้นที่โดยรอบไม่ได้ใหญ่เกินไปนัก แต่กลับอัดแน่นด้วยองครักษ์ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวดนั่นไม่ใช่ปัญหา… เพราะแผนการของนาง ไม่ได้มีไว้เพื่อ ต่อสู้ กับศัตรูแต่เพื่อ ลบเลือน ศัตรูให้สิ้นซาก รวดเร็ว เงียบงัน และเด็ดขาด
"ข้าไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงกับพวกมดปลวกที่นอกกำแพง"
ริมฝีปากของนางกระตุกยิ้มเย็นนางไม่คิดจะย่ำเท้าให้เสียเวลาแม้เพียงครึ่งก้าวกับทหารยามชั้นนอกที่อัดแน่นด้วยจำนวน แต่ไร้ความสามารถสิ่งที่หลานเยว่ต้องการ… มีเพียงจุดเดียว ใจกลาง ของอำนาจอันเน่าเฟะขั้วกลาง ของความอธรรมที่ปกคลุมราชสำนักและเมื่อ เรือนชั้นใน ล่มสลายจวนทั้งหลัง… ก็จะตามมาพังครืนลงโดยไม่ต้องแตะต้องแม้แต่กำแพงภายนอกนั่นคือแผนของหลานเยว่เงียบ ง่าย และทรงประสิทธิภาพ เฉกเช่นพิษร้ายที่ไร้สี ไร้กลิ่น แต่หากซึมลงรากเมื่อใด… ก็ไม่มีสิ่งใดเหลือให้ฟื้นคืน
“การฆ่าชายชราเพียงคนเดียว… ช่างง่ายดายไม่ต่างจากการเด็ดใบไม้แห้งหล่นจากกิ่ง” เสียงของหลานเยว่แผ่วเบาแต่เฉียบเย็น ราวกับไอหนาวยามย่ำค่ำที่แทรกซึมเข้ากระดูก
นางคือสตรีผู้ถักทอโทษทัณฑ์ด้วยความพิถีพิถันมิใช่เพียงเพื่อให้ผู้กระทำผิดชดใช้... แต่เพื่อให้มันสำนึกถึงรากเหง้าของความชั่วที่มันก่อไว้ทุกหยาดหยด สำหรับหลานเยว่ ความตายไม่ใช่บทลงโทษที่แท้จริง ในฐานะนักฆ่าผู้ไร้เงา… นางรู้ดีว่า การปลิดลมหายใจ เป็นเพียงจุดจบธรรมดา แต่สิ่งที่นางถวิลคือการ ลอกเปลือกศักดิ์ศรี ออกจากร่างที่ชราภาพนั้นให้มันถูกเหยียบย่ำต่อหน้าผู้คนที่เคยยกย่องให้มันล้มลงไม่ใช่ด้วยอาวุธ แต่ด้วยความอับอายและสิ้นค่า
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







