LOGINค่ำคืนนี้ สายฝนเทกระหน่ำลงจากฟากฟ้าราวกับสวรรค์กำลังร่ำไห้ให้กับชะตากรรมอันน่าเวทนาของชายชราผู้เคยสูงศักดิ์
ภายในเรือนนอนของตนเอง ฟู่เหวินโหลว ปราชญ์หลวงผู้เคยเรืองอำนาจ ถูกฝ่าเท้าของสตรีลึกลับย่ำยีอย่างไร้เมตตา เสียงกระดูกแตกร้าวยังดังก้องในความทรงจำ ความเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่วร่าง และเสียงร้องโหยหวนที่เขาพยายามเปล่งออก ก็สูญหายไปกับเสียงฝนที่ถาโถมไม่ว่าจะตะโกนอย่างไร... ก็ไร้คนตอบรับในคืนนี้ เขาถูกปล่อยให้เผชิญความอัปยศอย่างเดียวดาย
ผ่านไปเพียงครู่ เสียงฝีเท้าหลายคู่ก็ดังขึ้นเร่งร้อนนอกเรือนบานประตูถูกผลักเปิดออกอย่างแรง พร้อมเสียงตะโกนอันเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
“นายท่าน! นายท่านขอรับ!” เหล่าข้ารับใช้และองค์ลักษณ์ผู้ภักดีพากันกรูเข้ามา รีบเข้าประคองร่างชายชราขึ้นจากพื้น เขย่าตัวเบา ๆ เพื่อเรียกสติที่ยังหลงเหลือดวงตาของฟู่เหวินโหลวยังคงพร่ามัว ก่อนจะค่อย ๆ ปรับชัด กลับเห็นเป็นใบหน้าของผู้คนคุ้นเคยลูกน้องที่เขาเคยไว้วางใจ
แครก... แครก...เสียงกระดูกบิดเคลื่อนดังก้องในความเงียบ เมื่อเขาฝืนขยับร่างที่เจ็บช้ำจนแทบทนไม่ไหว
“พวกเจ้า... ไปอยู่ที่ไหนกันมา...” เสียงของเขาแหบแห้ง เปราะบางทั้งจากความเจ็บและโทสะหากเป็นยามปกติ คำถามนี้คงกลายเป็นคำสั่งประหารทันทีแต่บัดนี้ เขาไม่มีอำนาจแม้แต่จะชี้นิ้วสั่งใครเส้นลมปราณถูกทำลาย พลังที่เคยมีหายไปสิ้นและหากจะรักษาอำนาจไว้ เขาจำเป็นต้องเก็บ มือที่ยังใช้งานได้ ไว้ข้างกาย ไม่ว่าจะแฝงแววผิดแผกเพียงใด
“พวกเรารู้สึกถึงความผิดปกติในเรือนของท่าน จึงรีบเร่งมาโดยทันที ขออภัยที่มาช้าเพียงนี้ นายท่าน!” น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นเต็มไปด้วยความเคารพ นอบน้อมอย่างไม่บกพร่อง ท่าทีซื่อสัตย์จนยากจะสงสัยทว่า... แววตาเหล่านั้น กลับมีความเย็นชาแฝงเร้นอยู่ลึก ๆ ราวคมมีดซ่อนในรอยยิ้ม
ฟู่เหวินโหลวเริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดปกติความรู้สึกบางอย่างแล่นวาบผ่านสันหลังโดยไร้เหตุผลและสิ่งที่เขาไม่รู้ คือคนเหล่านี้... ไม่ใช่คนของเขา อีกต่อไป แม้หลานเยว่จะจากไป แต่สิ่งที่นางทิ้งไว้กลับร้ายกาจยิ่งกว่านางส่งคนของตนแฝงตัวเข้ามาในเรือนอย่างแนบเนียนเกือบร้อยชีวิต เข้ามาแทนที่บ่าวไพร่ องค์ลักษณ์ และข้ารับใช้เดิมของเขาทั้งหมด
ทุกท่าที ทุกถ้อยคำ ทุกลมหายใจไม่มีสิ่งใดผิดแผกจากต้นฉบับแม้กระทั่งกลิ่นเหงื่อและรอยแผลจาง ๆ บนมือ ก็เลียนแบบได้อย่างสมบูรณ์ไม่มีผู้ใดของฟู่เหวินโหลวหลงเหลือในเรือนหลังนี้อีกแม้แต่คนเดียวหากเขารู้ความจริงเข้าในเวลานี้บางที... ความหวาดกลัวอาจพรากลมหายใจสุดท้ายของเขาไปโดยไม่ต้องใช้แม้กระบี่
ณ เรือนเงียบหลังหนึ่งในอีกฝากฝั่งของจวนใหญ่สายฝนยังเทกระหน่ำไม่หยุดแสงตะเกียงวูบไหวคล้ายกำลังสั่นกลัวเงาร่างของสตรีผู้หนึ่งที่ยืนนิ่งอยู่ริมหน้าต่างหลานเยว่ยังคงสงบเงียบนางทอดสายตามองผ่านม่านฝนออกไปไกลแววตาเรียบนิ่งดังผืนน้ำในคืนเดือนดับ สะท้อนแสงเปลวไฟที่ไหวอยู่ในใจแล้วนางก็เอ่ยออกมาช้า ๆ เสียงเบาราวบทรำพึงที่มีเพียงเงาในห้องเป็นสักขีพยาน
“ชายชราเช่นเขา... ปราชญ์หลวงแห่งแผ่นดิน” น้ำเสียงของนางเย็นเฉียบปราศจากความเคารพมีเพียงความดูแคลนที่หลอมรวมกับความเบื่อหน่าย
“ยาวิเศษนับไม่ถ้วน ยาเสริมพลัง ยาต่อกระดูก ยาสมานเอ็น… ยาใดเขาก็มีแต่ไม่ว่าจะมีมากเพียงไหน... ก็รักษาได้แค่ เปลือกนอก เท่านั้น” นางหัวเราะเบา ๆ ในลำคอเสียงนั้นเย็นยะเยือก ราวสายลมที่พัดผ่านช่องเขา
“แขนขาที่ผิดรูป อาจกลับมาได้แต่เส้นลมปราณที่ข้าลงมือทำลาย... ไม่มีวันที่จะกลับคืนข้าเองล่ะ... อยากรู้จริง ๆ ว่า ตัวตนที่หยาบช้าเช่นเขา จะทนอยู่ได้ไหมในร่างของคนไร้พลัง” นางยิ้มรอยยิ้มบางเฉียบราวใบมีด
“หรือบางที... เขาอาจเลือกเดินบนเส้นทางสุดท้าย” เสียงของนางต่ำลง คล้ายจะกระซิบ
“แย่ง บุปผาเมฆคืนชีพ จากมือขององค์จักรพรรดิ” นางเงียบไปเพียงครู่ ราวกำลังฟังเสียงฝนแทนคำตอบ
“ตอนนี้... เหลือเพียงขวดเดียวในแผ่นดิน” เงาของหลานเยว่ทอดยาวบนพื้นเรือน แสงตะเกียงสั่นไหวเหมือนจะหวาดกลัวนางไม่ได้แค่ทำลายฟู่เหวินโหลวนางกำลังบีบให้เขาต้องเลือกยอมคลานเป็นเศษซากของอดีตหรือหาญกล้าเดินขึ้นบันไดที่ทอดตรงสู่บัลลังก์มังกร
หลายวันต่อมา...แม้ร่างกายของฟู่เหวินโหลวจะถูกฟื้นฟูจนแทบกลับคืนสภาพเดิม กระดูกที่เคยหักประสานเข้าที่ กล้ามเนื้อที่เคยอ่อนแรงกลับมาทำงานตามปกติ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจฟื้นกลับมาได้เลยก็คือ เส้นลมปราณของเขา ที่ถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง
เรื่องนี้... ไม่มีผู้ใดต้องล่วงรู้ไม่ได้เด็ดขาดเพราะหากความจริงนี้แพร่งพรายออกไป แม้เพียงครึ่งประโยค อำนาจบารมีที่เขาสั่งสมมาทั้งชีวิต... จะพังทลายลงในชั่วขณะในห้องโถงของเรือนใหญ่ เสียงสั่งการดังลั่นขึ้นกลางบรรยากาศที่อึมครึม
“พวกเจ้า! จงไปตามหาสตรีต่ำช้าที่กล้าบังอาจแตะต้องข้า! ไม่ว่าหล่อนจะอยู่ที่ใดในใต้หล้า... จงลากนางกลับมาเหยียบแทบเท้าข้าให้จงได้!”
น้ำเสียงฟู่เหวินโหลวเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ ราวกับจะชดเชยความอัปยศที่เขาเก็บซ่อนไว้เบื้องหลังรอยยิ้มความกลัวที่เคยเผชิญในคืนนั้น... มลายหายไปหมดสิ้นเพราะเขายังมีผู้ใต้บังคับบัญชาที่เปี่ยมด้วยฝีมือและในหมู่พวกเขา เขายังสามารถหลอกตัวเองได้ว่าเขายังยิ่งใหญ่ยังควบคุมทุกอย่างได้ดั่งเดิม
“ขอรับ นายท่าน!” เหล่าข้ารับใช้ประสานเสียงรับคำสั่งด้วยความกระตือรือร้นอย่างถึงที่สุดทว่าหลังจากลับหลังของชายชราแทนที่จะออกตามล่าหญิงสาวตามคำสั่งสิ่งที่พวกเขาทำ... กลับเป็นการเร่าร่อนไปทั่วเมืองป่าวประกาศเรื่องราวของ คืนอัปยศคืนที่ ฟู่เหวินโหลว ผู้สูงส่งถูกซัดลงกับพื้นเหมือนหมา ถูกกระทืบจนกระดูกแหลกในเรือนของตัวเอง
ข่าวลือแพร่กระจายราวไฟลามทุ่งผ่านคำเล่าขานจากพ่อค้า คนรับใช้ ไปจนถึงเหล่าขุนนางเมื่อข่าวลือนั้นกลับมาถึงหูของเขา...เสียงกรีดร้องด้วยความเดือดดาลก็ดังลั่นทั่วเรือน
“บัดซบ! ใครมันกล้าปล่อยข่าวสารเลวพวกนี้ออกไป!? ใครกล้าเอาเรื่องของข้าไปพูดภายนอก!”
ฟู่เหวินโหลวคำรามราวสัตว์ป่าเสียขวัญใบหน้าเหี่ยวย่นของเขาบิดเบี้ยวไปด้วยความอับอายและโทสะจนเลือดขึ้นหน้าเสียงของเขาสั่นเครือไปถึงความหวั่นไหวที่ฝังลึกในอกแม้ใจจะร้อนรุ่มแต่สิ่งที่ยิ่งกว่านั้นคือความอัดอั้นเพราะไม่รู้เลยว่าใครอยู่ข้างตน และใครอยู่ข้างนางโชคยังดี ที่ผู้คนส่วนใหญ่ในเมืองหลวง... ไม่เชื่อ
ฟู่เหวินโหลวผู้นี้ เป็นถึงปราชญ์หลวง ผู้มากอำนาจ ผู้ชี้เป็นชี้ตายแก่เหล่าขุนนางทั้งราชสำนัก จะมีใครเชื่อได้ลงว่า เขาจะถูกทุบตีเยี่ยงหมาในยามค่ำคืน?
เป็นเพียง ข่าวลือไร้สาระ เท่านั้นในสายตาของชนชั้นสูงแต่ในใจของชายชรา…เขารู้ดีว่า ข่าวนั้นมีมูล เพียงแต่มันยังไม่ปรากฏต่อสายตาใครเท่านั้นเองและตราบใดที่เขายังไม่สามารถกำจัดรากเหง้าได้เงานั้น... จะไม่มีวันจางหาย
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







