เข้าสู่ระบบชายผู้ที่โลกใต้ดินขนานนามว่า พ่อค้าแห่งความตาย สามารถจัดการกับเด็กน้อยได้อย่างราวกับเป็นเรื่องธรรมดาไม่มีใครคาดคิดว่า ชายผู้ล่วงรู้ราคาชีวิตมนุษย์ในทุกหน่วยของเหรียญทอง จะเป็นคนที่รู้ใจเด็กได้ถึงเพียงนี้
เขาจัดเตรียมของเล่นมากมายไว้รอต้อนรับ หลานจิ่วอวิ๋น ทั้งของเล่นไม้งานฝีมือระดับช่างหลวง ไปจนถึงม้วนหนังสือนิทานภาพจากแคว้นใต้แม้แต่บ่าวรับใช้ที่คอยอยู่เคียงข้างเด็กชาย ก็ล้วนถูกคัดสรรมาอย่างรอบคอบ ต้องใจดี พูดเพราะ และยิ้มง่าย
เสียงหัวเราะของเด็กน้อยดังก้องอยู่ไม่ไกล สร้างบรรยากาศอันอบอุ่นที่คล้ายจะกลบกลิ่นอายเลือดที่ฝังอยู่ในกำแพงโรงประมูลแห่งนี้ ในขณะที่บุตรชายของหลานเยว่กำลังเล่นสนุกอย่างไร้เดียงสาในสวนด้านหลัง ภายในห้องรับรองชั้นในการสนทนาที่แท้จริงเพิ่งเริ่มต้น ซูจิ่งหลงวางถ้วยชาเบา ๆ ก่อนเปล่งเสียงหัวเราะต่ำ
“หึ...ยาพิษของเจ้า ยามนี้ทำให้ผู้คนทั่วแผ่นดินแทบคลุ้มคลั่ง”
น้ำเสียงของเขาไม่ใช่น้ำเสียงอ่อนโยนเช่นเมื่อครู่ แต่เป็นเสียงของพ่อค้าเลือดเย็นที่คุ้นเคยในตลาดมืด“ไม่ว่าจะเป็นขุนนาง ขุนศึก หรือเจ้าสำนักลับ...ต่างก็แย่งกันประมูลราวกับสัตว์บ้า”
หลานเยว่ ยกถ้วยชาขึ้นจิบ ดวงตาเรียบนิ่งประหนึ่งน้ำที่ไม่กระเพื่อม
“แล้ว...มันทำเงินได้มากเพียงใด” นางถามเพียงแค่นั้น ราบเรียบ ไร้แววปรารถนาในน้ำเสียง
นี่คือด้านหนึ่งของหลานเยว่ เย็นเยียบจนแทบจับต้องไม่ได้ นางไม่แยแสเลือด ไม่หวั่นไหวต่อความตายทว่าทางด้านนอก...บุตรชายของนางยังคงวิ่งไล่จับกับบ่าวรับใช้อย่างสนุกสนาน รอยยิ้มบริสุทธิ์ไร้มลทินโลกของเด็กน้อยถูกปกป้องไว้อย่างแน่นหนา…ด้วยมือของผู้ที่เป็นแม่และเป็นยมทูตในเวลาเดียวกัน
ซูจิ่งหลงยิ้มกว้างก่อนจะโบกมือเรียกข้ารับใช้ให้ยก หีบสมบัติขนาดใหญ่ เข้ามาในห้องเมื่อฝาหีบเปิดออก แสงจากทองคำแท่ง หยกสลัก และอัญมณีหลากสีสาดประกายจนห้องทั้งห้องเรืองรอง
“เจ้าเห็นหรือไม่?” เขาเอ่ยเสียงเบา“นี่คือผลของความต้องการที่ไม่มีวันสิ้นสุดพวกเขาทุ่มประมูลกันราวกับจะขอซื้อความแน่นอนในความตาย”เขาหยิบแท่งทองขึ้นช้า ๆ แล้ววางลงเบื้องหน้านาง
“ทั้งหมดนี้...คือส่วนของเจ้า ข้าได้หักส่วนของข้าไว้แล้วตามสัญญา”
หลานเยว่มองกองทรัพย์สินเบื้องหน้า...โดยไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม ปฏิกิริยาเพียงหนึ่งเดียวของนาง คือการพยักหน้าเล็กน้อย
นั่นเพียงพอแล้วสำหรับพวกเขา พ่อค้าแห่งความตาย และมือปรุงพิษผู้ไร้ชื่อ
“ส่วนสถานศึกษาของบุตรชายเจ้านั้น…คือ หอจูหมิง”เสียงของซูจิ่งหลงเปล่งออกมาอย่างมั่นคง ขณะยกถ้วยชาขึ้นจิบเบา ๆ ก่อนวางลงอย่างสงบนิ่ง
“มันคือสถานที่ที่เคยสร้างยอดคนผู้เปลี่ยนแปลงแผ่นดินเอาไว้มากมาย…บัณฑิตนับไม่ถ้วนที่จารึกชื่อในประวัติศาสตร์ ล้วนเคยฝากตัวเรียนที่นี่”
เขาหันไปมองเด็กน้อยที่กำลังหัวเราะร่าเล่นของเล่นกับบ่าวรับใช้ด้วยแววตาประเมิน หากแต่ซ่อนความเอ็นดูไว้อย่างมิดชิด
“หลานจิ่วอวิ๋น...จะเข้าสู่หอจูหมิง ในฐานะ หลานชายเพียงคนเดียวของข้า”เขากล่าวเน้นถ้อยคำในตอนท้ายอย่างจงใจ
“ด้วยชื่อเสียง และอำนาจของข้าในเมืองหลวง…ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องแม้แต่ปลายเส้นผมของเขา”
เงียบงันชั่วอึดใจ...
“...ขอบคุณ”ถ้อยคำสั้น ๆ หลุดจากริมฝีปากของหลานเยว่ แม้แผ่วเบา แต่กลับหนักแน่นและจริงใจน้ำเสียงเช่นนั้น...หาใช่สิ่งที่ผู้คนในโลกมืดเคยได้ยินจากปากของนาง ซูจิ่งหลงชะงักเล็กน้อย ก่อนหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ“ฮ่าฮ่า… เพื่อพันธมิตรการค้าระหว่างเรา ต่อให้เป็นสิ่งที่ยากกว่านี้ ข้าก็ยินดีจะทำให้”
เขาลุกขึ้น ดึงชายเสื้อคลุมให้เข้าที่ ก่อนเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้ม
“ไปเถอะ… ไปดูเรือนใหม่ของเจ้ากัน ข้ารับรองว่าเจ้าต้องถูกใจแน่นอน”
ซูจิ่งหลงไม่พูดพร่ำทำเพลง ไม่เร่งร้อนจะเดินนำทางไปยังเรือนใหม่ที่เขาจัดเตรียมไว้ให้ ท่ามกลางสายตาคาดการณ์ของหลานเยว่ เขากลับหันหลังให้กับนาง...แล้วเดินตรงไปยังเด็กน้อยที่กำลังยืนมองเขาอยู่ด้วยแววตาใสซื่อ
“ฮ่าฮ่า... หลานตัวน้อยของลุง”เสียงหัวเราะของเขานุ่มลึก เต็มไปด้วยความเอ็นดูแท้จริง “เจ้าชอบของเล่นที่ลุงเตรียมไว้ให้หรือไม่?”
เขาก้มตัวลง แล้วยื่นมือไปอุ้มหลานจิ่วอวิ๋นขึ้นมาอย่างทะนุถนอม แววตาเข้มคมที่เคยใช้ข่มขวัญเหล่าพ่อค้าเถื่อนและนักฆ่ามานับไม่ถ้วน…กลับแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนละมุนอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ต้องมีคำประกาศใด...ทุกกิริยาของเขาคือภาพสะท้อนของความจริงใจที่มิอาจเสแสร้ง เขากระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นเล็กน้อย แล้วหันไปยิ้มให้หลานเยว่
“ลุงจะพาเจ้าไปดูบ้านหลังใหม่…บ้านที่เงียบสงบ และปลอดภัยสำหรับเจ้ากับท่านแม่ของเจ้า”
บ้านที่ซูจิ่งหลงจัดหาให้นั้น...หาใช่บ้านหลังเล็กเรียบง่ายตามที่หลานเยว่ร้องขอไม่ตรงกันข้ามมันกลับเป็น จวนขุนนางเก่า หลังใหญ่ตั้งอยู่ในเขตเงียบสงบของเมืองหลวงภายในมีลานกว้าง น้ำพุ ศาลาชมจันทร์ และเรือนพักหลายหลังแยกสัดส่วน แวดล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่และรั้วสูงที่ปิดบังจากโลกภายนอก
ซูจิ่งหลงยืนอยู่หน้าประตูไม้ฉลุลาย มือประคองหลานจิ่วอวิ๋นไว้ข้างตัว ขณะที่หันไปกล่าวกับหลานเยว่ด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย“จวนหลังนี้...เคยเป็นของขุนนางผู้หนึ่ง” เขากล่าวอย่างคลุมเครือ ไม่ได้ระบุชื่อเสียงเรียงนาม ความจริง...ขุนนางผู้นั้นติดหนี้เขามหาศาล จนสุดท้ายไม่อาจใช้คืนได้ และจวนแห่งนี้ก็ถูกยึดมาโดยปริยายบัดนี้ ซูจิ่งหลงเลือกที่จะมอบมันให้นางโดยไม่คิดแม้แต่เหรียญแดงเดียว
“มันใหญ่เกินไปหน่อย”หลานเยว่เอ่ยเบา ๆ พลางทอดสายตาไปยังศาลาและเรือนฝั่งตะวันตกนางเป็นคนเรียบง่าย และไม่หลงใหลความโอ่อ่า สิ่งที่ต้องการ...มีเพียงความสงบ และความปลอดภัยให้บุตรชายของตน
แต่ซูจิ่งหลงเพียงยิ้มเล็กน้อย แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงมั่นคง“หากเจ้าอยากตัดขาดจากโลกภายนอก...สถานที่แห่งนี้ เหมาะสมที่สุดแล้ว”
เขาเว้นจังหวะ ก่อนหันไปมองหลานจิ่วอวิ๋นที่กำลังจับชายเสื้อเขาไว้แน่น“อีกอย่าง...ลูกของเจ้า กำลังจะโต จะให้ใช้ชีวิตในเรือนเล็กคับแคบ ย่อมไม่สมควร”น้ำเสียงเขาราบเรียบ ทว่าแฝงด้วยตรรกะที่ยากจะโต้แย้งหลานเยว่ไม่กล่าวตอบ ดวงตานางทอดมองจวนหลังนั้นเนิ่นนาน ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเงียบงันต่อจากนี้ไป...จวนที่เคยเป็นสมบัติของขุนนางผู้ล่มสลาย จะกลายเป็นบ้านหลังใหม่ของนางกับบุตรชาย
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







