เข้าสู่ระบบจวนหลังใหญ่เช่นนี้…ย่อมมิอาจปล่อยให้ว่างเปล่าไร้ผู้คน ถึงแม้หลานเยว่จะปรารถนาความเงียบสงบเพียงใด แต่การอาศัยอยู่เพียงสองแม่ลูกภายในคฤหาสน์อันโอ่อ่าย่อมเป็นไปไม่ได้
ซูจิ่งหลงเองย่อมเข้าใจดี เขาจึงอาสาจัดหาข้ารับใช้มาให้นาง ไม่ว่าจะเป็นสาวใช้ที่รู้หน้าที่ บ่าวผู้รู้มารยาท ไปจนถึงคนดูแลเรือนครัวและสวนสวย ทุกคนถูกคัดเลือกด้วยความรอบคอบ ทั้งกิริยาและความสามารถสมฐานะ สหายทางการค้า ของเขาแต่ทว่าสำหรับ ผู้คุ้มกัน ประจำจวน…หลานเยว่กล่าวกับเขาเพียงประโยคเดียว“เรื่องนี้ ข้าจะจัดการเอง”
ด้วยสถานะของนาง…ผู้เคยสังหารคนโดยไม่ทิ้งแม้แต่เงา มือพิษผู้ทำให้โลกมืดต้องเอ่ยนามด้วยความครั่นคร้าม นางย่อมไม่อาจยอมให้จวนแห่งนี้ถูกปกป้องด้วยทหารสามัญหรือผู้คุมธรรมดาได้ พวกเขาต้อง…
โหดเหี้ยม ไร้หัวใจ และจงรักภักดีนั่นคือ เกณฑ์ ที่หลานเยว่ต้องการ
ในยามสายของวันนั้นในชุดคลุมสีเทาเรียบง่าย นางจึงออกจากจวนเพียงลำพัง มุ่งตรงสู่ ตลาดค้าทาส ที่ลือกันว่าโสมมและอันตรายที่สุดในเมืองหลวง ที่ซึ่งผู้คนหลากชนชั้นถูกซื้อขายประหนึ่งของใช้ไร้ชีวิต ที่นั่น…นางจะเลือก ดาบที่มีชีวิต มาเป็นโล่ป้องกันสำหรับลูกชายของนางผู้คนที่นางจะเลือก…จะไม่ใช่เพียง นักสู้แต่จะเป็น เครื่องมือ ที่เฉียบคม ไร้ใจ
ตลาดค้าทาสหลวง แม้จะอยู่ภายใต้การดูแลของขุนนางฝ่ายยุติธรรม แต่เบื้องหลังกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเน่าเฟะ เสียงโซ่เหล็กครืดคราด เสียงร้องขายของ และสายตาอันหิวโหยของพวกพ่อค้าทาสแผ่ซ่านไปทั่วตรอกตลาด ที่นี่คือที่รวมของผู้ไร้ที่พึ่ง ผู้ล่มจม และ...ยอดฝีมือที่พ่ายโชคชะตา
หลานเยว่ยืนอยู่หน้าแผงทาสชั้นสูง เจ้าของแผงถึงกับหน้าตึงเล็กน้อยเมื่อเห็นสตรีปริศนาในชุดคลุมเรียบสีดำ แต่เพียงสบตานางแวบเดียว เขาก็เข้าใจว่าหญิงผู้นี้...ไม่ใช่ผู้ที่ควรประมาทนางกล่าวเสียงเรียบ…แต่หนักแน่น
“ข้าต้องการทาสชั้นเลิศ ผู้มีพลังปราณ พร้อมกับประวัติภูมิหลังโดยละเอียด”
เจ้าของแผงถึงกับนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบรับอย่างนอบน้อม
“รับทราบ…โปรดรอประเดี๋ยว ข้าจะให้คนยกบัญชีรายชื่อกับประวัติขึ้นมาให้เลือกด้วยตนเอง”
หลานเยว่ไม่แม้แต่จะพยักหน้า ไม่นาน ทาสระดับฝีมือหลากหลายสายถูกรวบรวมเข้ามาไว้ในลานประลองหลังร้านชายหนุ่มในชุดนักสู้ กล้ามเนื้อแน่นตึง เด็กหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านที่แววตายังไม่ดับมอด รวมถึงหญิงสาวเงียบงันผู้มีลมหายใจเย็นเฉียบ แต่แทนที่จะสนใจรูปลักษณ์ภายนอก หลานเยว่กลับนั่งอ่านประวัติของแต่ละคนอย่างละเอียด ใบหน้าของนางไม่มีแววลังเลเลยแม้แต่น้อย
“คนนี้แม้จะมีพลังระดับปราณสูง แต่เคยข่มขืนหญิงสาวในหมู่บ้าน ข้าปฏิเสธ”“คนนี้เคยเป็นลูกขุนนาง ถูกขายเพราะข้อหาปลอมแปลงลายมือ…พิจารณาไว้ก่อน”“คนนี้…เป็นอดีตองครักษ์ของจวนแม่ทัพฝ่ายเหนือ ยอมตายเพื่อปกป้องเจ้านาย…น่าสนใจ”
สายตาของนางคมดั่งกระบี่ ประดุจสามารถแลเห็นธาตุแท้ของคนเพียงเหลือบมอง
“ข้าไม่ต้องการคนที่ฆ่าเพื่อความบันเทิง หรือปล้นฆ่าเพราะความโลภแม้จะเป็นอดีตคุณชายหรือลูกขุนนาง หากใจยังมั่น ข้ายินดีรับไว้แต่หากเป็นเศษสวะ…แม้จะฝึกปราณจนกลืนดาว ข้าก็ไม่ต้องการ”
น้ำเสียงของนางเยือกเย็น ราวกับคำวินิจฉัยจากเทพแห่งความตายการคัดเลือกในวันนี้…จะเป็นการเริ่มต้นของกองกำลังเงาในจวนใหม่ของหลานเยว่และทุกผู้คนที่ได้รับเลือก…ต้องจงรักภักดี และไร้ข้อแม้ต่อเจตจำนงของนาง
ทาสที่หลานเยว่คัดเลือกมาในวันนี้ มีทั้งชายและหญิง บางคนอายุเพียงสิบแปด ใบหน้ายังมีเค้าความเยาว์วัย บางคนอายุย่างเข้าห้าสิบ แต่กลับมีรัศมีความมั่นคงดั่งขุนเขา แม้ร่างกายจะเริ่มโรยรา…แต่จิตวิญญาณกลับยืนหยัดอย่างทรนง นางไม่เลือกตามวัยหรือรูปลักษณ์ หากแต่เลือกตาม ความแข็งแกร่งภายใน
ในหมู่ทาสที่นางพาออกจากตลาด บางคนเคยเป็นคุณชายจากจวนขุนนางที่ล่มสลาย บางคนเป็นเพียงลูกชาวนาไร้ชื่อ แต่ทุกคนล้วนผ่านรอยแผลของชะตากรรมมาอย่างหนักหน่วงรอยแผลเหล่านั้น…ไม่ได้ปรากฏบนผิวหนัง หากแต่สลักอยู่ในดวงตา
พวกเขาแต่ละคนยังคงถูกล่ามโซ่ไว้แน่นหนา สะท้อนเสียงครืดคราดดังไปทั่วทางเดินในยามที่เคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียง แต่ไร้เสียงคร่ำครวญหรือโวยวายแม้แต่น้อย พวกเขาเพียงเดินตามหลานเยว่กลับไป…อย่างเงียบงัน อากาศรอบบริเวณจวนเย็นสงบ ต้นไม้ใหญ่ลู่ไหวในสายลมเช้า เสียงแมลงป่าระงมเบา ๆ ท่ามกลางม่านหมอกเบาบางที่ยังเกาะไหล่ภูเขา
หลานเยว่ยืนอยู่เบื้องหน้าทาสทั้งร้อย ภายในลานฝึกหลังจวนใหญ่ เสียงโซ่ตรวนที่ล่ามข้อเท้าและข้อมือเงียบสงัดลงเมื่อถูกปลดออกจากทีละคู่ ทีละเส้น โดยนางเองเป็นผู้ลงมือถอดตรวนสุดท้าย...ปลดพันธนาการแห่งความเป็นทาสลงชั่วขณะ
นางโยนมีดสั้นลงเบื้องหน้าพวกเขา ทีละเล่ม จนกระทั่งครบทุกคน ใบมีดทุกเล่มสะท้อนแสงจันทร์อันหม่นมัว ราวกับเป็นคำถามที่มอบให้กับแต่ละคน
“จงเลือกเสีย” เสียงของนางไม่ดัง แต่กลับดังขึ้นในใจของทุกคน“ผู้ใดที่รู้สึกว่าชีวิตนี้ไร้หนทาง ไร้ค่าพอจะดำรงอยู่ต่อ ก็จงจบมันเสียในตอนนี้ ข้าจะไม่ห้าม ไม่รั้ง”
ดวงตาของนางเยือกเย็นจนแทบจับต้องได้...ราวกับน้ำแข็งใต้หุบเหว นี่ไม่ใช่การทดสอบ ไม่ใช่การขู่แต่มันคือ อิสระ สิ่งที่พวกเขาไม่เคยได้รับแม้เพียงครั้งเดียวในชีวิตที่ผ่านมา มือของหลายคนสั่นไหวเมื่อคว้ามีดไว้แน่น บางคนเงยหน้ามองฟ้า บางคนก้มหน้ามองพื้น บางคน...น้ำตาไหลเงียบงันอย่างไร้เสียงสะอื้น
ฉั่ว! ฉั่ว! ฉั่ว!
เสียงแทงมีดดังขึ้นต่อเนื่อง ไม่ใช่เสียงฝึกการรบ...แต่เป็นเสียงของคนที่เลือกจบชีวิตตนเอง เลือดแดงฉานกระเซ็นย้อมพื้นดิน ทาสห้าคน หกคน...ร่างไร้วิญญาณทรุดลงอย่างเงียบงันโดยไม่มีแม้แต่เสียงโอดครวญ นัยน์ตาของพวกเขาเปิดค้าง ราวกับตัดขาดจากความเจ็บปวดของโลกใบนี้ไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
“ขอให้พวกเจ้าไปสู่ภพภูมิที่สงบกว่า...”เสียงของหลานเยว่เรียบเฉย หากแต่ในแววตานั้น...มีเงาของความเข้าใจบางอย่างซ่อนอยู่นางสั่งให้ทาสที่ยังอยู่ช่วยกันนำร่างไปฝังกลบ ณ เชิงเขาด้านหลังจวน ไม่มีพิธี ไม่มีน้ำตามีเพียงแผ่นดินที่กลบเสียงอดีต
หลังจากนั้น คนที่เหลือ ยืนเรียงแถวอย่างแน่นิ่ง ทุกสายตาแน่วแน่ และนิ่งสงบขึ้นกว่าก่อนหน้าไม่มีใครปริปาก...ไม่มีใครลังเลหลานเยว่จึงก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง นางหยิบขวดยาเล็ก ๆ สีดำออกมา แกะฝาอย่างนิ่งเฉยจากนั้นหยิบเม็ดกลมเล็กคล้ายโอสถจากขวดขึ้น
“ผู้ใดเลือกจะมีชีวิตอยู่...ต้องกลืนพิษนี้” เสียงของนางไร้ความลังเล ไม่มีการโน้มน้าว ไม่มีคำอธิบาย
เพราะทุกคนต่างเข้าใจดี...
นี่มิใช่พิษที่ฆ่าทันทีแต่เป็น ตรวนใหม่ ที่มองไม่เห็น พิษร้ายชนิดพิเศษที่หลานเยว่รังสรรค์ขึ้นด้วยมือของนางเองมันไร้สี...ไร้กลิ่น...แต่หากวันใดที่เจ้าของพิษต้องการพิษนี้...จะกลายเป็นความตายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในเพียงลมหายใจเดียว
ทาสที่เหลือก้าวออกมาทีละคน รับเม็ดยา...และกลืนลงไปโดยไร้คำถามมิใช่เพราะกลัวตายแต่เพราะพวกเขาได้เลือก จะมีชีวิตอยู่
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







